เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 18 แขกจากทางไกล
ทองหัววัวเป็นตำนานที่รู้จักกันมานานในบรรดาคนขุดทอง เมื่อเห็นของสิ่งนี้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเข็มขัดทองและสมบัติมากมายกองอยู่ นักขุดทองที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถอนุมานปริมาณของแร่โดยพิจารณาจากเครื่องประดับทองคำ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนรูปพรรณของทองคำตามธรรมชาติจะต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้นผู้ที่ได้ครอบครองทองคำธรรมชาติก้อนใหญ่จะได้รับความโชคดี ทองหัววัวจะทำให้เป็นใหญ่ทั่วหล้า ทองหัวสุนัขจะทำให้สร้างรากฐานครอบครัวได้ นี่เป็นความเชื่อที่สืบสานต่อกันมาหลายรุ่นของนักขุดทองในพื้นที่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
การเดินทางในถิ่นทุรกันดาร สิ่งของที่ไม่จำเป็นยิ่งน้อยยิ่งดี นี่คือกฎของการเอาตัวรอด แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะปล่อยทองทิ้งไว้แน่ สิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับไว้ ของที่เป็นของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นไม้จิ้มฟันก็จะไม่ยอมปล่อยไป
เคยได้ยินเรื่องราวที่บอกว่าจมน้ำตายเพราะแบกสมบัติเยอะเกินไป คนมากมายคิดว่าห่วงเงินแต่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเป็นการเลือกที่โง่มาก ประโยคนี้ช่างไร้เหตุผล บนโลกนี้ไม่มีเงินที่ได้มาง่ายๆ ขอเพียงแค่มีความหวังเส้นบางๆ ใครจะยอมปล่อยไป บางทีชีวิตก็ไม่ได้สำคัญเท่าทรัพย์สินเงินทอง
อย่างเหล่าเฉียน เพื่อเงินเค่สิบเหรียญเขายังยอมขายตัวเองเป็นทาส พูดง่ายๆ ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้เงินซื้อชีวิตของเหล่าเฉียนมา หากอวิ๋นเยี่ยไม่ให้เหล่าเฉียนเป็นพ่อบ้าน แต่กลับเอามาฆ่าแกงเล่น เช่นนั้นชีวิตของเหล่าเฉียนก็มีค่าเพียงสิบเหรียญ เพื่อรักษาภรรยา ระหว่างเงินกับชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าเหล่าเฉียนเลือกเงิน
มีเพียงเศรษฐีพวกนั้น ที่จะยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดูพวกที่เลือกหอบเงินทองจนถูกความหนักของเงินทองทำให้ต้องจมลงสู่ก้นแม่น้ำด้วยสมเพช เพื่อเงินแล้วเอาชีวิตมาแลกมันไม่คุ้ม แสดงให้คนยากจนเห็นว่าตัวเองนั้นฉลาด
วั่งไฉแบกของหนักมานาน บนคอห้อยหน่อไม้สามสี่หน่อ อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าห่มออกมาหนึ่งผืน เอามาห่อทองไว้แล้วมัดไว้บนตัวของตัวเอง หนทางยังอีกไกล ไม่มีเงินไม่ได้ สำหรับเรื่องในราชสำนัก อวิ๋นเยี่ยยังไม่อยากเป็นกังวล อยากจะหนีจากความเป็นจริงที่โหดร้ายเช่นนี้มานานแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ว่าราชสำนักจะต้องเผชิญอันตรายหรือไม่ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจ เขาอยากจะพักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเป็นประเทศของตัวเอง ในตอนนี้สิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากตัวเขามาก
เลือกใช้ชีวิตอย่างอย่างเรียบง่าย อยากจะนอนกลางดินกินกลางทราย นี่คือชีวิตของข้า ข้าจะเป็นคนเลือกเอง
การตายของโต้วเยี่ยนซานกระทบต่อจิตใจของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก การตายขององค์หญิงทั่นเกอทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถดีใจได้อีก หากจะบอกว่าครั้งนี้ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมา ไม่สู้บอกว่านี้เป็นช่วงเวลาที่ลำบากจากการเนรเทศตัวเองออกมาจากเมือง ยิ่งเข้าใกล้ต้นกำเนิดของเรื่องราวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น อิจฉาโต้วเยี่ยนซานในอุดมคติของเขา อิจฉาองค์หญิงทั่นเกอที่เลือกความตายได้ด้วยตัวเอง อิจฉาชวีจั๋วที่ได้พัฒนาความสามารถของตัวเอง อิจฉาคนอื่นๆ บนโลกที่ได้เลือกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จากการที่เริ่มต้นด้วยตัวเองทำให้รู้ผลของตอนจบว่าจะเป็นไปทิศทางใด สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วนี่เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง การที่มีหน้าที่ต้องคอยแก้ไขความผิดพลาดของคนอื่น อวิ๋นเยี่ยไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
ทองหนักมาก เขาที่แหลมคมจิ้มอยู่ที่หลังของอวิ๋นเยี่ย รู้สึกเจ็บใจที่ไม่ได้จัดตำแหน่งของทองไว้ให้ดี แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีสติตลอดเวลา ไม่ทำให้เขาเข้าสู่ห้วงของจินตนาการ
ความทรมานมาจากชีวิต มาจากสมอง มาจากการที่ตัวเองคิดมากเกินไป ตอนนี้อยากจะเป็นคนที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมายปล่อยสมองให้โล่ง อยากจะเป็นคนที่มีความสุข โต้วเยี่ยนซานยืนหยัดมานานถึงเพียงนี้ก็ยังต้องมาตายเพียงเพราะจระเข้ตัวเดียว ไม่สนใจแล้ว ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อสวรรค์ให้ชีวิตมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องใช้มันให้เต็มที่
เดินท่ามกลางฝนตกปรอยๆ ใช้มีดถากถางหญ้าที่ขวางทางไปเรื่อยๆ ไม่ทันเห็นงูที่เลื้อยพันอยู่บนกิ่งไม้ แล้วก็ไม่ทันเห็นดอกไม้ยักษ์ที่กำลังกลืนกินกระต่าย นี่คือเส้นทางที่นำเขาไปสู่ความตาย แต่อวิ๋นเยี่ยไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย…
เหมือนได้พบแสงสว่างอยู่ข้างหน้า ทางข้างหน้าเป็นป่ากล้วยพื้นที่กว้างใหญ่ มีสัตว์มากมายกำลังกินกล้วย โดยเฉพาะฝูงช้าง หูใหญ่ๆ ของมันสะบัดไปมา มีงาที่ยาวมาก งวงของมันดึงต้นกล้วยขึ้นมาแล้วโยนไปข้างหลัง ฝูงช้างน้อยใช้งวงดึงเครือกล้วย ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองก็เอาเข้าปากไปหมด
ลิงกำลังกิน แพะกำลังกิน หมีแพนด้ากำลังกิน หมูป่าก็กำลังกิน ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจกิน นี่เป็นการสร้างความสามัคคีในสังคม สัตว์ทั้งหมดกินกล้วยอยู่ข้างหลังช้าง
วั่งไฉกัดกล้วยดิบไปหนึ่งลูก อวิ๋นเยี่ยรีบดึงกลับมา กินกล้วยดิบแบบนี้ปากยังจะมีรสชาติกินอย่างอื่นได้อีกเหรอ เอากล้วยสุกปลอกเปลือกให้มันกิน ในตอนนี้ทั้งคนทั้งม้ากินกล้วยอย่างมีความสุข พอเริ่มมืด มีช้างพลายตัวใหญ่ที่งาหักไปครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย ในแววตาเปล่งประกาย งวงยาวของมันลูบไปที่หัวของอวิ๋นเยี่ย มองดูดีๆ อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ใกล้กับช้างมากๆ
รีบเอาเครือกล้วยสุกส่งไปให้มัน หวังว่ามันจะไม่ทำอันตรายตัวเอง บางทีช้างพลายตัวนี้อาจคิดว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีอันตรายอะไรเหมือนกับพวกแพะจึงยื่นงวงไปเอากล้วยจากอวิ๋นเยี่ยอย่างรวดเร็ว ยอมรับในตัวของอวิ๋นเยี่ยแล้ว
วั่งไฉวิ่งไปคุกเข่าประจบช้างพลายตัวนั้น ในตอนนี้พวกสัตว์ทั้งหลายคงจะพูดเป็นภาษาเดียวกันแล้ว ช้างโขลงใหญ่อึไว้ที่พื้น ยังคงสดๆ ร้อนๆ อยู่ วั่งไฉใช้ขาหน้าของมันเหยียบลงไปอย่างไม่ลังเล
ช้างพลายสะบัดหางสั้นๆ ของมันแล้วเดินจากไป หรือว่านี่เป็นวิธีให้การยอมรับของมัน? ทำไมวั่งไฉถึงรู้วิธีนี้ ม้าที่ใช้ชีวิตในผืนป่าตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีทางเคยเจอช้างมาก่อน
นี่คงเป็นประเพณีอย่างหนึ่งจริงๆ ไม่ได้มีเพียงแค่วั่งไฉที่เหยียบอึช้าง ลิงเหล่านั้นก็เอาอึช้างขึ้นมาถูบนตัวด้วย พวกหมูป่าก็วิ่งกุลีกุจอมาเกลือกกลิ้ง
ไม่ทำ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ทำ อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธวิธีนี้อย่างแข็งกร้าว ข้าเป็นคนถือเป็นสัตว์ประเสริฐ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ทำเรื่องหน้าอายเช่นนี้ ดีที่บนตัววั่งไฉมีกลิ่นแรง มีมันคอยเป็นเกราะกำบังก็พอแล้ว
อวิ๋นเยี่ยอยากจะหาร่องรอยคนของที่นี่ แต่น่าเสียดายที่มีหญ้าขึ้นรก มีเพียงป่ากล้วย คิดไม่ถึงว่าในกล้วยจะมีเมล็ดที่เป็นสีดำเนื้อแข็ง กินเข้าไปไม่มีทางย่อยได้แน่ๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่กินกล้วยแล้วต้องคายเมล็ด นี่เป็นกฎที่แย่อย่างหนึ่งของธรรมชาติ
ช้างเป็นเครื่องมือเปิดทางโดยธรรมชาติ ร่างกายที่มีขนาดใหญ่ทำให้มันมองไม่เห็นอันตราย ผิวหนังที่หนาหนึ่งนิ้วทำให้มันไม่สนว่าจะโดนงูพิษฉก เห็นทางก็เปิดทาง เห็นต้นไม้ก็ดึงออก แข็งแกร่งไม่มีใครเทียบได้
ได้เห็นแรดในทวีปเอเชีย ทำให้อวิ๋นเยี่ยมึนงงไปหมด ดูให้แน่ใจอีกครั้ง นั่นคือแรดจริงๆ สัตว์ชนิดนี้มีอยู่มานานแล้ว มีวิวัฒนาการคือผิวหนังหนาขึ้น ไม่ใช่สมอง นอที่อยู่ด้านหน้าไม่มีอะไรน่ากลัว ยืนขวางอยู่กลางทาง เท้าตะกุยดินเตรียมพุ่งมาหาช้างพลาย
ช้างพลายมีปฏิกิริยาที่เร็ว มันใช้งวงเข้ารัดที่คอแรด งายาวๆ เสียบเข้าไปที่ท้องของแรดทำให้แรดถูกแขวนอยู่บนงาช้าง ตอนนี้แรดทำได้เพียงแค่หายใจ
นักรบที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบสามสิบครั้งทำให้เจอกับความตายได้ในเพียงพริบตาเดียว แรดผู้น่าสงสารถูกแทงเข้าทะลุหัวใจแล้ว สี่ขาดิ้นทุรนทุราย ร้องอย่างเจ็บปวดและเสียใจกับการกระทำของตัวเอง เจ้าแรดกว่าจะคิดได้ก็ช้าไป อวิ๋นเยี่ยหมดคำจะพูด
ขณะที่แรดพึ่งจะตายไป อวิ๋นเยี่ยใช้แรงขุดเอานอแรดออกมาทั้งเล็กทั้งใหญ่ก็ไม่ปล่อยไว้ ในตลาดฉางอันนอแรดถูกแบ่งขายทีละหยิบมือ มีราคาสูงเสียดฟ้า
กินอิ่มแล้วก็ต้องดื่มน้ำ ชีวิตของช้างก็เป็นเช่นนี้ หากฟ้ามืดแล้วยังไปไม่ถึงริมแม่น้ำ คืนนี้ก็ต้องนอนพักอยู่ในป่า วั่งไฉแบกใบกล้วยมากองหนึ่งหวังว่าจะใช้กันยุงได้
เดินตามรอยเท้าช้างออกจากภูเขา ทางเรียบและปลอดภัย เมื่อช้างมาถึง เสือและหมาป่าต่างหลบหนี งูและแมลงต่างพากันซ่อนตัว ในภูเขาลูกใหญ่แห่งนี้ ช้างคือเจ้าของบ้านที่แท้จริง
น่าเสียดาย ไม่มีแรดตัวอื่นอีกก็เลยไม่มีรายได้เพิ่ม สายน้ำที่หลั่งไหลอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย ทำให้รู้สึกมีความหวัง
การเดินทางในตอนนี้สำหรับอวิ๋นเยี่ยเหมือนการมาเยี่ยมชมมากกว่าคนที่หนีเอาตัวรอด
แม่น้ำสายยาวราวกับเข็มขัดหยก คดเคี้ยวราวกับงู ช้างลงไปอาบน้ำในแม่น้ำอย่างมีความสุข ช้างพังใช้งวงดูดน้ำแล้วพ่นใส่ช้างน้อย ช้างน้อยใช้งวงเล็กๆ ดูดน้ำแล้วพ่นไปทั่ว ไม่ทันระวังพ่นไปโดนช้างพลายที่มีงาข้างเดียว ช้างพลายร้องคำราม ช้างน้อยรีบเข้าไปหลบอยู่ใต้ท้องแม่ช้างไม่กล้าออกมา
บอกลาฝูงช้าง อวิ๋นเยี่ยพาวั่งไฉเดินไปตามทางแม่น้ำ ทิศทางการไหลของแม่น้ำส่วนใหญ่ไหลไปทางทิศตะวันตก และแน่นอนว่ามีการเปลี่ยนทิศทางไหลไปทางเหนือได้เช่นกัน
แม่น้ำตื้นมาก สูงไม่ถึงหัวเข่า ทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดถึงแม่น้ำตงหยาง สถานที่สวยถึงเพียงนี้ไม่มีคนได้เช่นไร เมืองปากั๋วไปไหนเสียแล้ว เมืองเย่หลางกั๋วไปใหนเสียแล้ว ดูตามบันทึกประวัติศาสตร์ เมืองเหล่านั้นควรจะอยู่ที่นี่
เดินผ่านเข้าไปในป่าไผ่ เดินข้ามร่องน้ำ มองไปทางด้านทุ่งดอกคาโนลาที่เหลืองอร่ามได้เห็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ไกลๆ ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบ มีเพียงไก่ไม่กี่ตัวที่กำลังคุ้ยหาอาหารอยู่ในป่าหญ้า สุนัขสีน้ำตาลที่คนในเขามักจะพบเห็นได้บ่อยก็กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ประตูไม้ถูกเปิดไว้ ในบ้านยังมีผ้าที่ตากไว้ไม่ได้เก็บ เสื้อผ้าเป็นสีครามทั้งหมด มีลวดลายตัดผ่านเป็นสีอ่อนๆ ชามมีลักษณะเหมือนดอกเบญจมาศบาน นี่คือการย้อยสีอย่างนั้นหรือ
นอกหมู่บ้านมีเสียงเคาะของกลองหนัง ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศ แทนที่ความอบอุ่นของพระอาทิตย์ ใครกันที่ไปจุดไฟในที่ที่สูงขนาดนั้น
พาวั่งไฉเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถึงได้เห็นว่าผู้คนทั้งหมดมาอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้ บนเสื้อสีครามปักลายลูกไม้สวยงาม บนหัวโพกด้วยผ้าลินินหนาๆ ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงกลางโพกผ้าที่หัวหนาเป็นพิเศษ ดูจากเส้นผ่าศูนย์กลางแล้วคงมีความหนาประมาณครึ่งเมตร ไม่รู้ว่าหัวของเขารับน้ำหนักไว้ได้อย่างไร
“แขกผู้มีเกียรติ เจ้ามาจากแดนไกล ขอให้เจ้านำคำอวยพรที่มาจากแดนไกล ส่งให้แก่ทุกคนที่อยู่ที่นี่” ท่านผู้เฒ่าเห็นอวิ๋นเยี่ยปรากฏตัว จึงเดินออกมาจากกลุ่มคน ผายมือออกสองข้าง ยิ้มแล้วทักทายอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้จะพูดภาษาจีนกลางได้คล่องแคล้ว แต่ก็ยังมีสำเนียงของฉางอันปนมาบ้าง
ห่างกันสามลี้วัฒนธรรมจึงมีความแตกต่าง ห่างกันสิบลี้สำเนียงการพูดจึงไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา ในเขาของคนป่านี้สามารถเจอกับคนที่พูดภาษาจีนกลางได้ถือเป็นความโชคดีของอวิ๋นเยี่ย ยกสองมือขึ้นคำนับ อวิ๋นเยี่ยพูดตามภาษาของท่านผู้เฒ่าว่า “ข้าเป็นแกะตัวหนึ่งที่หลงทางมา บังเอิญเห็นกองไฟที่ท่านจุดขึ้น ความอบอุ่นและแสงสว่างนำพาข้ามาที่นี่ ท่านอาวุโสที่เคารพ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พักผ่อนที่นี่ หวังว่าท่านจะเห็นแก่สวรรค์อนุญาตให้ข้าค้างที่นี่สักคืน”
“ภูเขาลูกนี้เป็นของทุกๆ คน พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาก่อน ข้าจะเทน้ำร้อนไว้ให้ท่าน จัดเตรียมอาหารการกินเล็กน้อย ถือเป็นเกียรติแก่พวกเรา”
ท่านผู้เฒ่ายิ่งพูดยิ่งดูน่าสนใจ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีโอกาสแสดงความรู้ของตัวเองต่อหน้าผู้คนในเผ่า ตอนนี้ได้พบชาวฮั่นจึงพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงที่สง่างามตามบทกวี
เพียงแค่มองดูคนในเผ่าที่ท่าทางมึนงงของเขาก็พอรู้แล้วว่าพวกเขาฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกับท่านผู้เฒ่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน
ก็เหมือนกับชนเผ่าทั่วไป ที่คนฉลาดที่สุดมักจะได้เป็นผู้นำ ส่วนคนที่มีความกล้าหาญมากที่สุดมักจะได้เป็นผู้ปกป้องชนเผ่า สำหรับคนที่ทั้งฉลาดทั้งกล้าหาญ ทั่วไปแล้วมักจะพิจารณาว่าตัวเองจะสามารถรวบรวมดินแดนได้หรือไม่