เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 19 ข้าคือโอดิสซีย์?
คิดมาตลอดว่าภาษาเป็นวิธีการสื่อสารที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ค้นพบแล้วว่ารอยยิ้มถือเป็นการสื่อสารที่ดีที่สุด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสนใจที่เด็กน้อยดึงผมของเจ้ามาดูด้วยความประหลาดใจ เพียงแค่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ก็ทำให้กินข้าวปั้นกับเค้กข้าวร่วมกันได้อย่างเอร็ดอร่อยแล้ว มีผู้หญิงตาโตให้ผลไม้หวานแก่เจ้าจากนั้นก็รีบวิ่งออกไป ทันใดนั้นก็มีกลุ่มเด็กน้อยวิ่งมาหาเจ้าพร้อมกับยิงฟันแยกเขี้ยวผสมกับความอ่อนโยน ตบลงเบาๆ ที่ไหล่ของชายหนุ่มที่มีความแข็งแรงเหมือนกับลูกวัวและสนทนากันไปเรื่อยๆ
ไม่มีปัญหาเลย พี่สาวในหมู่บ้านเป็นเหมือนพี่สาวของเจ้า น้องสาวก็เป็นน้องสาวของเจ้า หากเจ้าชอบ พวกหญิงม่ายที่กำลังจะพากลับไปพักที่บ้านก็เป็นของเจ้าเช่นกัน เพียงแค่นึกอยากจะดื่มสักสองจอก น้ำสีดำๆ ที่อยู่ในไหไม่รู้ว่าเป็นเหล้าอะไร มีรสชาติเปรี้ยวต่อด้วยหวานตบท้าย ผู้คนมากมายล้อมไหเหล้านี้แล้วใช้ลำต้นอ้อดูดเพื่อดื่มสุรา รู้สึกว่าจะไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่
แต่จะไปสนใจทำไม ขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอ ใครจะไปสนใจเรื่องของวันพรุ่งนี้ เป็นคนหลอกลวงมาหลายปี ยังจะไม่อนุญาตให้ข้าได้ปล่อยวางสักครู่หนึ่งหรือ ทำเรื่องที่เป็นความจริงบ้าง
กองไฟร้อนระอุทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง พระจันทร์ดวงใหญ่ได้โผล่ขึ้นมาแล้ว ท่านผู้เฒ่ายิ้มอย่างอบอุ่น ตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ไปเรื่อยๆ แล้วเอ่ยชมวั่งไฉที่กำลังแย่งดื่มเหล้าว่าเป็นม้าดี
พวกสาวๆ ล้อมรอบเป็นวงกลม ถือกลองหนังงูพร้อมกับเต้นรำ มันง่ายมาก แค่ย่ำเท้า ก้าวไปข้างหน้า แล้วส่ายหัว หนุ่มๆ พากันรำวูซูอยู่รอบนอกควบคู่ไปด้วย ขากางเกงค่อนข้างกว้างจึงเต็มไปด้วยลม ดูเหมือนกับหัวไชเท้าที่มีขนาดใหญ่สองอัน อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกมันว่าระบำหัวไชเท้า การเต้นรำของชายชาวฮั่นที่บิดเอวและสะบัดแขนเสื้อเป็นเรื่องที่ไม่นาดูในตอนนี้ นั่นคงไม่ใช่การเต้นรำแบบของผู้ชาย
หลังจากเสียงร้อง โย โย พวกผู้หญิงก็จะดึงผ้าพันผมออก และสะบัดผมอย่างบ้าคลั่ง ผมยาวๆ ก็เหมือนกับคลื่นทะเล หนุ่มๆ เต้นรำหมุนไปมาอย่างสนุกสนาน กระโดดลอยตัวกลางอากาศทำท่าทางต่างๆ อย่างชำนาญจึงทำให้ดูสง่างามทีเดียว
ท่านผู้เฒ่าลูบหนวดเครา ชี้ไปที่ดวงจันทร์แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “บุรุษน้อย ทำไมเจ้าก้มหน้าขมวดคิ้วเช่นนั้น ดวงจันทร์สวยเพียงนี้ ในวันไหว้พระจันทร์ทำไมไม่ลุกขึ้นไปเต้นรำ ตรงนั้นมีสาวงามอยู่”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็คะยั้นคะยอให้อวิ๋นเยี่ยไปเต้นรำ เด็กหนุ่มไม่กี่คนพากันยกตัวอวิ๋นเยี่ยไปได้อย่างสบาย คนกลุ่มหนึ่งเต้นรำล้อมรอบเขา อดพูดไม่ได้เลยว่าการเต้นรำของเขาดูดั้งเดิมและสวยงามเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยพยายามรำวูซู แต่กระโดดหมุนตัวได้ไม่สูงและสง่างามเหมือนกับคนอื่นเขา ดูแล้วไม่เหมือนกับนกอินทรีย์ แต่เหมือนคางคกที่ถูกโยนทิ้งมากกว่า
ผู้คนต่างหัวเราะเขา หนุ่มน้อยหัวเราะจนตกลงมาจากที่สูง สาวๆ ก็หัวเราะจนตัวงอ ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายกลั้นหัวเราะจนเหล้าพุ่งออกมา อวิ๋นเยี่ยก็กำลังหัวเราะอยู่ ตีเครื่องทองแดงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนที่ตีจนหมดแรงแล้วก็ยังคงนอนหัวเราะอยู่บนพื้นจนน้ำตาไหล
สาวๆ ผู้มีจิตใจดีพากันพยุงเขาขึ้นมา ตำหนิเด็กหนุ่มที่ยังคงหัวเราะเสียงดังอยู่ แล้วยังแกะผมของอวิ๋นเยี่ยออก ให้เขาเต้นรำสะบัดหัวกับพวกตัวเอง
ผมไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ตอนสะบัดจึงต้องใช้แรง มือซ้ายและมือขวาจูงมือสาวๆ ไว้ ข้างหลังยังมีเด็กหนุ่มใจแคบที่พยายามจะแทรกตัวเข้ามา เต้นรำชนกันไปมาแน่นอนว่าดูไม่ดี แต่กลับสนุกเป็นอย่างมาก
เสียงกลองหยุดลงจึงพากันหยุดเต้น ที่ทรุดลงกับพื้นไม่ได้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย สาวๆ มากมายก็นั่งทรุดตัวลงกับพื้นเช่นกัน พวกเด็กหนุ่มร้อนจนเหงื่อออก มีคนใจกล้าอุ้มสาวน้อยขึ้นมาแล้วก็วิ่งออกไป…
ผู้อาวุโสทั้งหลายลากอวิ๋นเยี่ยมานั่งที่เก้าอี้ แล้วส่งจอกเหล้ามาให้ กระดกเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ เหล้าไหลลงคอช้าๆ รู้สึกชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ
ความครึกครื้นยังคงมีต่อเนื่อง พึ่งจะหยุดหอบ เสียงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเพลงจากภูเขามักจะดังกึกก้องออกไปไกล บทเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ แห่งดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ กับบทเพลง ‘บูชาภูเขา’ ของที่นี่มีความคล้ายกัน หากลูกคอไม่ดีก็จะร้องไม่ได้อารมณ์ของภูเขาและพื้นดินที่กว้างใหญ่
ว่ากันว่าในวันที่พระจันทร์เต็มดวงมักจะทำให้คนเกิดความรัก ก็เหมือนกับเหตุผลที่ว่าทำไมหมาป่าถึงชอบหอนในวันพระจันทร์เต็มดวง เสียงร้องเพลงของหญิงสาวไพเราะเหมือนกับเสียงของนกขมิ้น ราวกับนกร้องประสานเสียงกัน เสียงไพเราะสบายหู เสียงของเด็กหนุ่มเป็นเสียงสูงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ เมื่อร้องเสียงประสานกัน ราวกับนกขมิ้นและเหยี่ยวมาบินอยู่บนท้องฟ้าร่วมกัน เหยี่ยวที่สง่างามบินวนขึ้นสู่ท้องฟ้า กับนกขมิ้นที่อ่อนโยนบินเคียงคู่กันไป
เวียนหัวตาลายเป็นที่สุด จนมาถึงคราวที่อวิ๋นเยี่ยร้องเพลง ‘บูชาภูเขา’ ดูจากความหมายของเพลงก็รู้ว่าทุกคนต้องล้อมวงกันร้องเพลง ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว อยากจะเดินออกจากวง แกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่คนเดียวที่สามารถทำแบบนี้ได้มีเพียงแค่วั่งไฉ ตอนนี้วั่งไฉเมานอนหงายขาชี้ฟ้า ไม่มีทางเลือกอื่น สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่โต้วเยี่ยนซานเจอกับจระเข้
“อย่าได้ถามว่าข้ามาจากไหน บ้านเกิดของข้าอยู่ในดินแดนอันแสนไกล เหตุใดข้าจึงเร่รอนมาแสนไกล…” เสียงต่ำของบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้าได้ดังขึ้น ณ ที่ลานกว้างแห่งนั้นได้เงียบสงบลงทันที พวกเขาไม่เคยมีบทเพลงที่เกี่ยวกับความเศร้า มีเพียงบทเพลงที่เกี่ยวกับความรักหวานหยดย้อยดั่งน้ำผึ้ง
อารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยกำลังโบยบินกลับไปในสมัยที่เจริญรุ่งเรืองแล้วอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงไปของกาลเวลาที่ย้อนกลับมาในราชวงศ์ถัง ทำให้เขาต้องเรียนรู้จากศูนย์ใหม่อีกครั้ง ความฝันที่เขาไล่ตามมักมีอุปสรรค เขาไม่สามารถเข้ากับเมืองต้าถังได้ ไม่ว่าตัวเองจะพยายามเช่นไร พลังของโลกใบนี้ก็มักจะนำพาให้เขากลับไปสู่จุดเริ่มต้นเสมอ ความโกรธเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้ความรู้สึกโกรธนี้แฝงอยู่ในเพลงที่ตัวเองร้อง
“และยังมีความฝันที่จะสร้างความสามัคคี อย่าได้ถามว่าข้ามาจากที่ไหน บ้านเกิดของข้าอยู่ที่แดนไกล…” ประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยร้องติดต่อกันมาสี่ห้ารอบ จนกระทั่งน้ำตาคลอสะอื้นร้องไม่เป็นเพลงจึงได้หยุดร้อง
คนที่จิตใจดีมักจะเห็นใจผู้อื่น เด็กหนุ่มเงียบเสียงลง สาวๆ ร้องไห้ด้วยความเห็นใจ เหล่าผู้อาวุโสล้อมรอบอวิ๋นเยี่ยปลอบประโลมเขาเบาๆ ไม่มีใครโทษที่เขาทำงานไหว้พระจันทร์พัง ไม่มีใครไล่เขาออกไปเพียงเพราะเขาเป็นคนแปลกหน้า
มีเด็กหนุ่มผิวคล้ำพูดพึมพำเป็นประโยคยาวแต่ฟังไม่รู้เรื่อง ท่านผู้เฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า “เหมิงหลู่พูดว่าเจ้าน่าสงสารมาก ข้ายอมให้เจ้าตามจีบเหมิงน่าได้ ขอเพียงแค่เจ้ามีความสุข ผู้ชายขี้แงจีบเหมิงน่าไม่ติดหรอก ต้องคว้าโอกาสไว้ เหมิงน่าเป็นผู้หญิงที่มีเสียงไพเราะที่สุดแล้ว”
“ท่านผู้เฒ่าที่เคารพ ขอให้ท่านบอกกับเหมิงหลู่ว่าเหมิงน่าเป็นเด็กสาวที่งดงาม มีเพียงชายที่กล้าหาญอย่างเขาเท่านั้นจึงปกป้องนางได้ ผู้ชายขี้ขลาดอย่างข้า ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปตามจีบเด็กสาวผู้งดงาม” อวิ๋นเยี่ยกระวนกระวาย หันไปยิ้มกับหญิงสาวที่มีเครื่องประดับอยู่บนหัวเยอะที่สุด หากอวิ๋นเยี่ยไม่พูดเช่นนี้ จะให้พูดเช่นไร
ได้ยินท่านผู้เฒ่าแปลให้ฟัง เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก น่าแปลก ทำไมเด็กหนุ่มไม่เห็นว่าอะไร แต่หญิงสาวกลับเดินมาเตะที่หน้าแข้งของอวิ๋นเยี่ย เจ็บมาก ตั้งแต่ที่โดนโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาที่แคว้นหนานจ้าว ความอดทนต่อความเจ็บปวดของเขาก็พัฒนาขึ้นมาก ถึงแม้ว่าอยากจะร้องไห้ อยากจะตะโกนเสียงดังก็ตาม รองเท้าไม้ส้นเตี้ยของหญิงสาวเตะเข้าที่กระดูกหน้าแข้ง ใครบ้างจะทนไหว นางคงจะใช้วิธีนี้บ่อยๆ เด็กหนุ่มสีหน้าเต็มไปด้วยความเห็นใจและความเกรงกลัวเล็กน้อย มือลูบที่หน้าแข้งของตัวเองโดยอัตโนมัติ ดูแล้วคงจะเคยโดนมาไม่น้อย
ไม่เป็นไร ก็แค่โดนสาวน้อยเตะเท่านั้น ข้าทนไหว! ใบหน้าฝืนยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น เพียงแต่หางตากระตุกเล็กน้อย หญิงสาวโกรธมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครทำเฉยต่อการเตะของนางได้ แต่ดูอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีความรู้สึกเจ็บ หญิงสาวที่อาศัยอยู่บนภูเขาไม่เคยเชื่อเรื่องของขลังมนต์ดำ ดังนั้นจึงเตะเข้าไปอีกที…
อวิ๋นเยี่ยที่ขาทั้งสองข้างไม่ต่างอะไรจากคนพิการถูกพวกผู้เฒ่าช่วยกันแบกกลับมาอย่างรวดเร็ว ยกไหเหล้าให้เขาเพื่อเป็นการปลอบใจ เขายกไหเหล้าขึ้นมาดื่ม หลอดจากต้นอ้อเล็กเกินไปดื่มไม่สะใจ ถูกเตะไปสองที ถึงกับทรุดลงกับพื้น เจ็บจนแทบทนไม่ได้ ผู้หญิงแบบนี้มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะชอบ ความคับแค้นใจของอวิ๋นเยี่ยมีเพียงการร้องเพลงเสียงสูงและเหล้าถึงจะทุเลาความเจ็บลงได้
ดื่มยาแก้ปวดมากเกินไปก็จะมีสภาพเหมือนวั่งไฉ กองไฟที่อยู่บนภูเขาตอนนี้ได้ดับลงแล้ว กองไฟที่อยู่พื้นข้างล่างก็ดับลงเช่นกัน พวกหนุ่มๆ พากันอุ้มสาวๆ วิ่งออกไป เหล่าผู้อาวุโสและหญิงวัยกลางคนพากันส่ายหัวอย่างเอือมระอา ใช้เปลสองผืนแบกอวิ๋นเยี่ยและวั่งไฉกลับไปที่หมู่บ้าน…
ลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า ขาทั้งสองข้างยังคงมีความเจ็บปวด ถกขากางเกงขึ้นมาดู ขาสองข้างมีสีดำเหมือนรอยฟกช้ำ แม่นางผู้นี้เท้าหนักมาก เมื่อวานก็ยอมให้แล้วมิใช่หรือ หรือว่าเมื่อคืนข้าต้องอุ้มนางอย่างกล้าหาญแล้วพาไปที่ข้างหลังกองฟางถึงจะไม่โดนเตะ
ไม่สนใจอะไรแล้ว เรื่องที่ควรทำตอนนี้คือหาสมุนไพรมารักษาต่างหาก ถึงแม้จะไม่ใช่แผลใหญ่ แต่เจ็บชะมัด!
เดินกะเผลกลงมาจากหอจู๋โหลว วั่งไฉยังคงนอนหลับอย่างสบายอยู่บนกองฟาง ปากหนาๆ ของมันยังคงเคี้ยวไม่หยุด เหมือนกำลังลิ้มรสของเหล้า
ตีวั่งไฉสักหนึ่งที ม้าขี้เกียจกลายสภาพเป็นเช่นนี้หาดูได้ไม่มากนัก มันยกหัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทำตาปรือมองไปที่อวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ จากนั้นก็สลบลงไปเหมือนเดิม แล้วยังเอาหูซุกเข้าไปในกองฟางอีก
หวังพึ่งวั่งไฉไม่ได้แล้ว จึงไปหาสมุนไพรด้วยตัวเอง ยังไม่ทันได้ออกนอกหมู่บ้านก็เห็นท่านผู้เฒ่าแบกตะกร้าไม้ไผ่ในมือถือจอบเดินเข้ามา เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะแล้วพูดว่า “แขกจากแดนไกล เมื่อคืนเจ้านอนหลับดีหรือไม่ ที่เหมิงน่าเตะคงเป็นเพราะได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่ เมื่อก่อนข้าก็โดนไม่ใช่น้อย ฮ่าๆ โชคดีที่พวกเรามียาสมุนไพร ไม่เช่นนั้นก็คงเจ็บไปหลายวัน” ขณะที่พูดก็หยิบพืชชนิดหนึ่งออกมาทั้งราก ทุกต้นจะมีกิ่งอยู่สามสี่กิ่ง ทุกกิ่งจะมีเจ็ดใบ หากนี่ไม่ใช้โสมซานชี แล้วมันคืออะไรได้อีก ดูเหมือนว่ามันจะมีอายุอย่างน้อยสิบปี
สมุนไพรอันล้ำค่า โสมเป็นที่หนึ่งในเรื่องการบำรุงกำลัง ซานชีเป็นที่หนึ่งในเรื่องการบำรุงเลือด ส่วนผสมยามณฑลยูนนาน เมื่อมีมัน การทำยาให้มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก
“ท่านผู้เฒ่า นี่คือยาสมุนไพรชั้นดี รักษาบาดแผลได้อย่างน่าอัศจรรย์ ขอเพียงที่นี่มียาสมุนไพรชนิดนี้ คนในหมู่บ้านนี้ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย”
ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ สายหัวแล้วพูดว่า “การมีชีวิตที่สบายไม่ใช่เรื่องที่พวกเราหรือเจ้าพูดว่าจะสบายแล้วจะได้ความสบายจริงๆ เพียงแค่คำอวยพรไม่เพียงพอ แต่เดิมฮ่องเต้ของพวกเรา ป่วยตายที่ฉางอัน ราชากวังหมิงได้ให้ลูกสาวแต่งงานกับเขา แล้วยังมีองค์ชายที่น่ารักด้วยกัน แต่ว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่ยุ่งเรื่องราชการ นางแบ่งงานทั้งหมดให้กับผู้ดูแลตระกูลเฝิงผู้โลภมาก เมื่อก่อนพวกเราจะมีงานไหว้พระจันทร์ทุกๆ เดือนตอนนี้ครึ่งปีถึงจะจัดขึ้นสักครั้งหนึ่ง พวกเขามักจะต้องการเสบียงอาหาร ครั้งนี้เสบียงอาหารพึ่งถูกส่งมา ก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วเกินครึ่ง คนในหมู่บ้านจะอดตายกันอยู่แล้ว ทุกคนมีความเห็นว่าก่อนจะหิวตายควรจะมีความสุขสักครั้ง จึงได้จัดงานไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ขึ้น ได้ยินมาว่าคนตระกูลเฝิงกำลังขอพระราชทานงานแต่งกับองค์หญิง อยากจะเป็นพ่อขององค์ชายตัวน้อย ลูกชายสามคนของเขาแย่งที่จะแต่งงานกับองค์หญิง อยากจะเป็นฮ่องเต้ของพวกเรา”
“ได้ยินว่าองค์หญิงมีองครักษ์ที่แข็งแกร่งมากมาย เหตุใดถึงยอมให้พวกเขาล่วงเกินได้ถึงเพียงนี้”
“คนขององค์หญิงล่องเรือใหญ่ไปทางมหาสมุทร ตอนนี้เหลือเพียงทหารสองร้อยนาย ดังนั้นจึงไม่กล้าขัดขืน”
“พวกเจ้าชอบองค์หญิงหรือไม่”
“ชอบสิ พวกทหารที่มีอำนาจพวกนั้นมาเผาหมู่บ้านไล่ฆ่าฟันคนในพื้นที่แห่งนี้ ก็ได้องค์หญิงผู้จิตใจงดงามช่วยห้ามปราบพวกเขาเอาไว้ ส่งพวกเขาออกมหาสมุทรไป คนที่นี่จึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“ท่านผู้เฒ่า ข้าว่าไม่นานพวกเจ้าจะมีชีวิตที่สงบสุข เจ้าเชื่อหรือไม่”