เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 25 การเสียสละเล็กๆ เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
ชายคนหนึ่งที่ถูกพันด้วยผ้ากอซทั้งตัว เขาถูกลากลงมาจากเกวียน ยกไปวางบนเตียงไม้ในร้านอาหาร เมื่อใช้กรรไกรตัดผ้ากอซที่พันบนใบหน้าออกทำให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด มีบาดแผลจากคมมีดเต็มไปหมด หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าบนมือข้างหนึ่งของเขานิ้วขาดไปสองนิ้ว เท้าก็ขาดไปครึ่งหนึ่ง แทบจะเป็นคนพิการแล้ว
แม้จะไม่น่าดู แต่ผู้คนในร้านอาหารทำอย่างกับเห็นสาวงาม แต่ละคนอยากจะขยับเข้าไปใกล้เขา จะได้ฟังให้ชัดว่าเหมืองแร่นั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
“ข้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับทองคำแล้ว สภาพไม่ต่างจากผีเช่นนี้ ขอเพียงแค่ให้ข้าวข้ากินสักจานเถิด อย่าให้ข้าถึงขั้นต้องหิวตายเลย”
เฝิงจื้อหย่งหยิบจี้เงินออกมาห้าคู่ โยนลงไปบนเตียงไม้ คนพิการผู้นั้นพยายามลุกขึ้นมาขอบคุณ ไม่นานเตียงไม้นั้นก็เต็มไปด้วยเงินที่ถูกคนในร้านอาหารโยนมา คนพิการผู้นั้นรีบยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดว่า “พอแล้ว พอแล้ว ข้าเป็นเพียงคนพิการ มีห้องให้พักพิง มีเงินพอให้ซื้อข้าวกินก็เพียงพอแล้ว ทุกคนให้ข้ามากเกินไป สำหรับข้านั้นไม่ใช่เรื่องดี มีแต่จะทำให้ข้าตายเร็วขึ้น”
เฝิงจื้อหย่งผงกหัวแล้วพูดว่า:“ดีมากที่เจ้ายังรู้จักพอ เมื่อเจ้าแสดงออกเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถามเจ้าว่าเหตุใดจึงมีเพียงเจ้าที่รอดกลับมา ไม่แปลกที่คนฉลาดเช่นเจ้าจะหนีรอดมาได้ ในเมื่อได้เงินพอแล้ว เช่นนั้นก็รีบบอกมา พวกเรารออยู่ หากเจ้าโกหก ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างอนาถ”
คนพิการผงกหัวแล้วพูดว่า:“แน่นอน ท่านชาย ข้าอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาสักระยะหนึ่ง เตรียมซื้อห้องเล็กๆ อาศัยอยู่ หากท่านจับได้ว่าข้าหลอกพวกท่าน ก็มาฆ่าข้าได้ตลอดเวลา สภาพข้าเช่นนี้หนีไปไหนไม่ได้ไกลหรอก”
เฝิงจื้อหย่งผงกหัวแล้วพูดอีกว่า “หากเรื่องที่เล่าเป็นความจริง พวกเราจะกลับมาให้รางวัลแก่เจ้า ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน เจ้ารีบเล่ามาเถอะ ช่วยเล่าให้ละเอียดด้วย”
คนพิการกำลังจะเริ่มเล่า แต่กลับได้ยินเสียงบันไดดังขึ้น หลิวจิ้นเป่าสวมชุดเกราะเต็มยศเดินเข้ามา โยนจี้เงินหนึ่งอันไปที่เตียงไม้ ยืนกอดอกไม่พูดอะไร รอฟังว่าคนพิการจะพูดอะไร
“ตระกูลอวิ๋นของเจ้าได้ประโยชน์จากหลิ่งหนานไปไม่น้อย ตอนนี้แม้แต่เหมืองทองก็จะเอาไปด้วยหรือ” ชายชราเคราขาวที่นั่งอยู่ตรงประตูเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับหลิวจิ้นเป่าด้วยสีหน้าเศร้า
“เดิมทีแผนการพัฒนาหลิ่งหนานเป็นความคิดของท่านโหวของข้า สมเหตุสมผลแล้วที่ตระกูลอวิ๋นจะได้รับผลประโยชน์ หรือตระกูลจางของเจ้าไม่พอใจ หากเก่งจริงพวกเจ้าก็คิดวิธีทำมาหากินเองสิ อย่ามาหาเก็บผลประโยชน์จากท่านโหวของข้า”
หลิวจิ้นเป่าไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย เริ่มเรียกออกนาม
“หลิวจิ้นเป่า เจ้าก็เป็นเพียงองครักษ์ของตระกูลอวิ๋น รอให้ข้าขอองค์หญิงแต่งงานได้สำเร็จก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการทาสอย่างเจ้าเช่นไร”
หลิวจิ้นเป่ามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเฝิงจื้อหย่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าจำผิดแล้ว ข้าเป็นคนรับใช้นายน้อย ไม่ใช่คนรับใช้องค์หญิง ต่อให้เจ้าโชคดีได้แต่งงานกับองค์หญิง ก็ทำอะไรข้าไม่ได้ เรื่องที่เจ้าเอาอกเอาใจองค์หญิงข้าไม่จำเป็นต้องพูด อีกไม่นานท่านโหวของข้าก็จะมาถึงหลิ่งหนาน หากเจ้ากล้าก็ไปบอกเรื่องที่จะแต่งงานกับองค์หญิงให้ท่านโหวของข้ารู้ ถึงเวลาเจ้าไม่ต้องมาหาข้า ท่านโหวของข้าก็จะไปหาเจ้าเอง เตรียมตัวตายได้เลย”
เฝิงจื้อหย่งหน้าซีดพร้อมถามว่า “อวิ๋นเยี่ยจะมาหลิ่งหนานหรือ”
หลิวจิ้นเป่าเพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้สนใจเขา แต่กลับเร่งเร้าคนพิการต่อ “ที่ควรได้ก็ได้ไปแล้ว รีบบอกมาว่าเหมืองแร่ทองคำอยู่ที่ไหน ข้าเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว”
คนพิการหัวเราะอย่างน่าสังเวช ชี้ไปที่ทุกคนแล้วพูดว่า “ข้าขอเตือน ใครไม่มีสมอง ใครขี้ขลาด ก็รีบถอนตัวไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้พวกเจ้ารู้ การบอกให้พวกเจ้ารู้ก็มีแต่จะทำให้พวกเจ้าเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ยังไม่ทันได้เห็นทองคำ ก็ตายเสียแล้ว”
ไม่มีใครถอนตัว ไม่มีแม้แต่คนเดียว บนโลกนี้มีคนฉลาดอยู่มากมาย มักจะคิดว่าคนอื่นนั้นโง่ ที่คนอื่นต้องมีสภาพน่าสังเวชนั้นเป็นเพราะความโง่เขลา หากเป็นตัวเอง ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่นอน
“พวกเราเดินทางไปทั้งหมดสิบสี่คน เตรียมเข้าไปในหุบเขาลึกเพื่อไปหายาสมุนไพรชนิดหนึ่งมาให้แก่ขุนนางในเมืองฉางอัน พวกเจ้าเคยเห็นแมงมุมที่มีขนาดตัวใหญ่เท่าหน้าคนหรือไม่ เมื่อถูกกัดเข้า สหายของข้าทั้งร่างกายก็เปลี่ยนเป็นสีดำในทันที บวมพิษจนตาย พวกเจ้าเคยเห็นตะขาบสีแดงที่ยาวหนึ่งศอกหรือไม่ มันกัดเท้าข้า ทั้งๆ ที่ข้าสวมรองเท้าบูทหนัง หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ใช้มีดตัดเท้าครึ่งหนึ่งของข้าที่ถูกกัด ข้าคงตายไปนานแล้ว เดินขึ้นไปข้างบนตามทางแม่น้ำ บนกิ่งก้านของต้นไม้เต็มไปด้วยตั๊กแตน เมื่อพวกมันได้กลิ่นเนื้อมนุษย์ แต่ละตัวก็เตรียมพร้อมกระโดดมาดูดเลือด
ยังไม่ทันได้ถึงเหมืองแร่ พวกเจ้าลองนับดูว่าคนทั้งหมดสิบสี่คน ตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ แน่นอนว่าเหลือเพียงแปดคน คนอื่นๆ อีกหกคนตายหมดแล้ว และสุดท้ายพวกเราก็ได้เห็นฟ้าถล่มที่นั่น…”
สามารถได้ยินเสียงหายใจของคนทั้งห้องอย่างชัดเจน คิดไม่ถึงว่าที่ที่มีเหมือนแร่ทองคำจะอันตรายถึงเพียงนี้ ในป่าลึกอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นพวกที่ขี้ขลาดจึงเริ่มถอนตัวออกไป
“ฮ่าๆ ๆ” หลิวจิ้นเป่าหัวเราะดังลั่น “ใครขี้ขลาดก็รีบไสหัวออกไป สิ่งของล้ำค่ามักจะมีอันตรายซ่อนอยู่เสมอ บรรพบุรุษมักจะเตือนไว้เช่นนี้ หากพวกเจ้าถอนตัวทั้งหมด ตระกูลอวิ๋นของข้าก็จะไปตามหาทองคำเอง ถึงคราวนั้นพวกเจ้าอย่ามาอิจฉาก็แล้วกัน”
รู้สถานที่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ หลิวจิ้นเป่าหันหลังเดินออกจากร้านอาหารทันที คนพิการนอนถอนหายใจอยู่บนเตียงไม้ พูดมาตั้งเยอะ ดูท่าทางจะเหนื่อยล้ามาก
เฝิงจื้อหย่งสีหน้าดูไม่แน่ใจ เด็กหนุ่มข้างหลังเขาเดินออกมาพูดว่า “พี่หก พวกเรายังจะรออะไรอยู่ ตระกูลเฝิงของเราเป็นถึงตระกูลขุนนางระดับสูง เหตุใดต้องมากลัวป่าเล็กๆ เช่นนี้ พวกเราก็แค่ส่งทหารม้าจำนวนมากไปก่อน ไม่มีอะไรมาขัดขวางได้แน่นอน ก็แค่แมลงมีพิษกับสัตว์ดุร้าย มีอะไรน่ากลัวกัน ท่านพ่อฆ่ามังกรมาตั้งกี่ตัวแล้วก็ไม่รู้ ข้าเองก็อยากจะลองดาบของข้าเช่นกัน”
คนที่ออกมาพูดเป็นน้องชายคนที่สิบแปดของเขามีนามว่าเฝิงจื้อฮุ้ย เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ดังนั้นจึงสนิทมากเป็นพิเศษ นับตั้งแต่ได้พบหลี่อันหลานก็ประทับใจเป็นอย่างมาก อยากจะได้หัวใจขององค์หญิงมาครอบครอง จนลืมคำสอนของพ่อและคำตักเตือนของพี่สาม หากไม่ใช่เพราะฐานันดรอย่างองค์หญิงมีองครักษ์อยู่ภายใต้การปกครองมากมาย เฝิงจื้อฮุ่ยคงไปฉุดมาเสียตั้งนานแล้ว จากสถานะของตระกูลเฝิง ฉุดผู้หญิงมาสักคนสองคนก็ไม่มีปัญหาอะไร
“จื้อฮุ่ย เจ้ายังก่อเรื่องไม่พออีกหรืออย่างไร ไม่นานอวิ๋นเยี่ยก็จะมาถึงหลิ่งหนาน หากไม่พอใจลุกขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเฝิง เจ้าก็คือคนที่สร้างศัตรูตัวฉกาจให้กับตระกูลเฝิง ท่านพ่อระมัดระวังอวิ๋นเยี่ยมาตลอด พวกเราก็ยิ่งต้องระวังเข้าไปอีก คนคนนี้ เพื่อองค์หญิงแล้ว เขาใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะวางแผนเพื่อให้ตระกูลขุนนางทั้งหมดมีฐานะร่ำรวยในหลิ่งหนาน ทำให้หลิ่งหนานจากที่ดีๆ ก็กลายเป็นสภาพที่ซับซ้อนวุ่นวายเช่นนี้ ประมาทได้เสียที่ไหน เจ้าต้องระวังไว้ ท่านพ่อบอกไว้ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ข้ากังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป” เฝิงจื้อหย่งกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของจื้อฮุ่ย
สิ่งที่วัยหนุ่มสาวมีมากที่สุดคือความกล้า เขาไม่เคยพบอวิ๋นเยี่ย เคยได้ยินแค่ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวเอง จะไปยอมได้อย่างไร เขาไม่พอใจต่อท่าทีของพี่ชายเป็นอย่างมาก ไม่ช่วยเขาสู่ขอองค์หญิงก็ช่าง แต่ยังจะไปสนับสนุนพี่น้องคนอื่นๆ ให้ไปสู่ขอองค์หญิงด้วยกันอีก แม้กระทั่งทำให้เขามีชื่อเสียงไม่ต่างจากถู่อ๋อง ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกในบรรดาพี่น้อง ตอนนี้ยังห้ามเรื่องตามหาเหมืองแร่ทองคำอีก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าพี่ใหญ่ก็คิดอะไรกับองค์หญิงเช่นกัน
เมื่อคิดได้ก็ตะโกนออกมา “จ้าวเสี่ยวโหว ออกมา” เพียงชั่วครู่จ้าวเสี่ยวโหวก็โผล่ออกมาจากฝูงชน ไม่พูดอะไร ยืนอยู่ข้างเฝิงจื้อฮุ่ยรอคำสั่ง
“เรียกสหายของพวกเรามารวมตัวกัน พี่หกไม่ไปตามหาทองคำ พวกเราก็ต้องไปกันเอง หากรวยขึ้นมา ข้ามีส่วนแบ่งให้ก็ทุกคน!”
เสี่ยวโหวหัวเราะร่าแล้วหายกลับเข้าไปในฝูงชน เฝิงจื้อหย่งห้ามไว้ไม่ทัน เฝิงจื้อฮุ่ยพูดกับพี่ชายว่า “พี่หก ท่านนั่งรอที่เมืองยงโจว ข้าจะพาทหารม้าไปตามหาทองคำ เมื่อหาเหมืองแร่ทองคำเจอแล้ว ต่อให้อวิ๋นเยี่ยมาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เมื่อถึงตอนนั้น ชื่อเสียงตระกูลเฝิงของพวกเราก็จะกดท่านโหวนั้นให้จมน้ำตายในหลิ่งหนาน ที่นี่ไม่ใช่เมืองฉางอันที่เขาจะมาทำตัวกร่างได้” พูดจบเขาก็เดินจากไป ทำเป็นไม่ได้ยินคำสั่งห้ามของเฝิงจื้อหย่ง
ตระกูลอื่นพากันเฝ้ามอง ใครๆ ก็ชอบทองคำ แต่ว่าหากต้องแลกด้วยชีวิต เมื่อไม่มีชีวิตแล้วทุกอย่างก็ว่างเปล่า
อวิ๋นเยี่ยและหลิวฝูลู่นั่งอยู่ห้องข้างๆ ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน สองวันมานี้หลิวฝูลู่ได้ฟื้นความสง่างามในอดีตของเขาในตอนที่ยังเป็นคนของทางการ โบกพัดในมือแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ว่า “ท่านโหว ดูเหมือนว่าแผนของท่านจะไม่ได้ทำให้คนพวกนั้นบ้าคลั่งขึ้นมา หากข้าเป็นผู้ดูแล ข้าก็คงไม่อนุญาตให้พวกหัวกะทิในตระกูลข้าต้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายในป่าหรอก แล้วอีกอย่าง หลิวจิ้นเป่าก็จะไป ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังวางแผนอะไร หรือว่าเขามีความคิดที่จะไปเอง”
“แผนการทั้งหมดของวันนี้มีถึงเพียงเท่านี้ รู้ว่ามีทองคำก็พอ ความปรารถนาของคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พวกเขาจะไปที่ป่าแห่งนั้น อย่างน้อยพวกนั้นก็รู้แล้วว่าในป่ามีของมีค่าอยู่ ตอนนี้พวกเขาต้องมองไปที่ภูเขาในป่าอันห่างไกลอยู่แน่ๆ วัดความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวของตัวเอง เมื่อความปรารถนาครอบงำสติ อย่างไรก็ต้องไป เมื่อก่อนพวกเขาก็กลัวมหาสมุทรไม่ใช่หรือ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่ากล้านั่งเรือสำปั้นออกทะเลไปปล้นแคว้นเล็กๆ แล้วหรอกหรือ ต้าถังต้องการให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไป ไม่เกรงกลัวมหาสมุทร ไม่เกรงกลัวทุ่งหญ้า ไม่เกรงกลัวป่าทึบและทะเลทราย เมื่อรอยเท้าของชาวต้าถังได้ปรากฏขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดในโลก จึงจะถือว่าต้าถังนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง การกระทำของหลิวจิ้นเป่านั้นได้รับคำสั่งมาจากข้า ข้าเพียงอยากดูว่าองค์หญิงจะห้ามเขาหรือไม่ หรือว่าถูกทองคำทำให้หน้ามืดตามัวไปเสียแล้ว นอกจากความร่ำรวยก็ไม่คำนึงถึงอย่างอื่นอีกแล้วใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยจิบน้ำชา ช่วงนี้เขาหนีไม่พ้นของพวกนี้ ใครจะไปคิดว่าหลังจากที่ท่านโหวผู้หนึ่งกินปลาในถ้ำ สิ่งที่นึกถึงมากที่สุดดันเป็นชาร้อนๆ สักเหยือก
“ท่านโหว ข้าขอบังอาจพูด ข้ารู้สึกว่าจุดประสงค์ของท่านไม่ใช่เพื่อปลูกฝังจิตวิญญาณการต่อสู้ของชาวเมืองต้าถัง ยังมีจุดประสงค์อื่นอีกใช่หรือไม่ อย่างเช่นฆ่าคนสักสามสี่คน?”
ตอนหลิวฝูลู่รู้จักกับอวิ๋นเยี่ยครั้งแรก ท่านโหวผู้นี้ไม่นับว่าเป็นคนดีเท่าไหร่ หรือว่าการถูกปลูกฝังในหลายปีมานี้จะเปลี่ยนความใจแคบของคนคนหนึ่งได้? แต่หลิวฝูลู่ไม่คิดเช่นนั้น
“เหล่าหลิว จุดเริ่มต้นของจุดมุ่งหมายใดๆ ในโลกจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นขุนนาง โดยธรรมชาติแล้วก็ต้องยึดถือหลักการนี้ เบื้องหลังเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ย่อมต้องมีการเสียสละเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว มิฉะนั้นเราจะเตือนคนรุ่นหลังเรื่องความอันตรายของป่าแห่งนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าข้าสามารถควบคุมได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้เสียสละ ในกลุ่มพวกคนที่น่ารังเกียจนี้ ก็เลือกคนที่ขัดหูขัดตามาสักสี่ห้าคน มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ดวงวิญญาณคงไม่ถือโทษหรอก”
“ท่านโหวพูดได้ฉลาดมาก ข้าขอคำนับ หากตอนแรกมีคนบอกวิธีนี้ให้แก่ข้า ป่านนี้ข้าคงได้เลื่อนตำแหน่งไปนานแล้ว คงไม่ถูกลงโทษให้เกือบต้องอดตายทั้งครอบครัวเพียงเพราะยักยอกเงินสองร้อยเหรียญหรอก”