เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 28 แพะรับบาปที่แข็งแรง
ซินเย่วอุ้มลูกชายเข้ามาในพระราชวัง หากไม่มีถุงเครื่องรางของลูกชาย นางจะเข้าเฝ้าหลี่ซื่อหมินไม่ได้ แล้วยังจะถูกเฆี่ยนอีกต่างหาก ลูกชายมีตำแหน่ง ตำแหน่งองครักษ์ของของฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่โต แต่ก็สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาท ถึงแม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็มีคุณสมบัตินั้น
อุ้มลูกชายเดินอยู่บนถนนในพระราชวัง นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่ได้รับจดหมายจากอวิ๋นเยี่ย ความรู้สึกเหงาและทำอะไรไม่ถูกก็หายไปทันที อกผายไหล่ผึ่ง ขันทีคนหนึ่งถือร่มให้สองแม่ลูก ฤดูร้อนของฉางอันร้อนมาก นี่คือสิ่งที่ฮองเฮาจัดเตรียมให้เป็นพิเศษ พวกขุนนางน้อยใหญ่ที่เข้าๆ ออกๆ ต่างพากันเหงื่อแตก แลบลิ้นยืนตากแดดอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง และแน่นอน ความรู้สึกของซินเย่วคือการได้ยืนอยู่ใต้ร่มย่อมแข็งแกร่งกว่าคนยืนตากแดดพวกนั้น เจ้าดูเหงื่อที่ไหลออกมาของชายอ้วนคนนั้น นั่นมันไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำมัน ช่างน่าสงสาร ยังคงต้องรอต่อไป
เหล่ตาไปมองพวกขุนนางที่กำลังรอเข้าเฝ้าคุญกระซิบกระซาบกัน ยืดหูออกไปฟังให้ตัวเองได้รู้สึกเป็นเกียรติสมใจมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นมืออาชีพเป็นอย่างมาก ไม่อาจได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน เมื่อมีขันทีตะโกนว่าอวิ๋นน้อยนายพันอี้ฮุยเข้าเฝ้า ท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจของพวกขุนนาง ซินเย่วอุ้มลูกชายเดินเข้าไปในตำหนักไท่จี๋ แม้แต่ตู้หรูฮุ่ยที่กำลังงีบหลับอยู่ใต้แสงแดดยังรู้สึกประหลาดใจ
ลมในตำหนักไท่จี๋พัดอ่อน ผ้าม่านที่ตกลงบนพื้นยังคงแกว่งไปมา ด้านบนยังวางแผ่นไม้ที่มีน้ำแข็งเต็มไปหมด หลี่ซื่อหมินไม่ชอบอากาศร้อนเป็นที่สุด หลี่ไท่ใช้ดินประสิวทำน้ำแข็งพวกนี้ขึ้นมา เอาให้ท่านพ่อท่านแม่ตัวเองใช้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
จั่งซุนเดินออกมา อุ้มอวิ๋นน้อยจากอ้อมแขนของซินเย่วไป หยอกล้อเล่นอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แต่ไม่ได้พูดอะไร วันนี้ซินเย่วเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างเป็นทางการ ไม่มีที่ว่างให้นางพูดแทรก
“อวิ๋นซิน มาหาเรามีเรื่องอะไร สามีของเจ้ามีข่าวคราวแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินวางปากกาในมือลง เงยหน้าถามซินเย่ว
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านพี่ตอนนี้อยู่ที่แคว้นหลิ่งหนาน นี่คือฎีกาที่เขามอบให้ฝ่าบาท ต้องให้หม่อมฉันมอบให้ฝ่าบาทด้วยตัวเอง” นางถือถุงผ้าเล็กอยู่ในมือตลอดเวลา
ขันทีเอาถาดไม้มารับถุงผ้าไป เปิดดูด้วยความประหลาดใจ แล้วเอาถาดวางไว้บนโต๊ะของฮ่องเต้
หลี่ซื่อหมินถือถุงผ้าขึ้นมาดู เขย่าลิ้นจี่ในถุงออกมาสองสามลูก มีกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วยังมีม้วนฎีกาที่ปิดผนึกไว้ หลี่ซื่อหมินไม่สนใจกระดาษและม้วนกีฏานั้น หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาดู ดมกลิ่นดูอีกครั้ง เปลือกดำหมดแล้วแต่กลับไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆ เขาวางลิ้นจี่ลงและพูดกับซินเย่วว่า “ถือว่าเขามีจิตสํานึก รู้จักรายงานความปลอดภัยโดยเร็ว” จากนั้นก็สะบัดมือ ซินเย่วโค้งคำนับและเดินเข้าไปหลังผ้าม่านกับจั่งซุน ไปพูดคุยกันที่ตำหนักหลัง
หลี่ซื่อหมินหยิบกระดาษขึ้นมาดู จมูกของเขาแทบงอหมดแล้ว เห็นบนกระดาษเขียนสามตัวว่าขอลางาน
“เนื่องจากกระหม่อมถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวมาจึงจำเป็นที่จะต้องบกพร่องในหน้าที่ ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ด้วยเหตุที่ไม่อาจต้านทานได้จึงไม่สามารถมาลาได้ด้วยตนเอง นี่เป็นความผิดของหน่วยข่าวกรองและหน่วยลาดตระเวน กระหม่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โต้วเยี่ยนซานทำการสู้รบมากกว่าสามร้อยครั้ง กระหม่อมถึงหลบหนีออกมาได้ ตอนนี้กระหม่อมเร่ร่อนอยู่ที่แคว้นหลิ่งหนานเพียงลำพัง โดดเดี่ยวเดียวดาย ฝ่าบาทโปรดเมตตาให้กระหม่อมได้หยุดงานสักหนึ่งปี กระหม่อมจะได้เดินทางกลับฉางอัน กระหม่อม อวิ๋นเยี่ย”
“สู้รบสามร้อยครั้ง? เหลวไหล! โดดเดี่ยวเดียวดาย? เหลวไหล! ปีหนึ่งถึงจะได้กลับมา? คิดว่าเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ไอ้เจ้านี่ อยากจะหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเกิดอันอบอุ่นรึ ถือว่าเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงของอันหลานคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอยากจะอยู่ที่นั่นต่อใช่หรือไม่ ไหนเราดูซิว่าเจ้ายังมีความคิดอะไรอีกบ้าง หากทำให้เฝิงอั้งก่อกบฏ ข้าจะถลกหนังเจ้า!”
หลี่ซื่อหมินพึมพำหามีดสีเงิน หยิบครั่งออกมา เปิดดูม้วนฎีกาแล้วก็ตะโกนว่า “เรียกตู้หรูฮุ่ยเข้ามา!”
ขุนนางเก่าก็คือขุนนางเก่า ยืนตากแดดอยู่ตั้งนาน แต่หน้าผากกลับไม่มีเหงื่อออก ท่าทางยังคงเหมือนเดิม
“เอาน้ำซานจามาให้ตู้ชิงถ้วยหนึ่ง ไม่ได้ทำซุ้มไว้ให้พวกเจ้าแล้วหรือ เหตุใดถึงยังยืนตากแดด”
“ฝ่าบาทพูดไม่ถูกขอรับ เข้าเฝ้าฝ่าบาทจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด นี่คือสิ่งที่ควรทำ จะสุขสบายชั่วขณะได้เช่นไร บกพร่องในหน้าที่ของขุนนาง อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ กระหม่อมมิกล้าขอรับ”
ตู้หรูฮุ่ยให้ความสำคัญกับกฎระเบียบของราชสำนักเป็นที่สุด วันนี้เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้า จึงไม่มีขุนนางคนไหนกล้าไปยืนหลบแดดใต้ซุ้ม หากเป็นฝางเสวียนหลิง พวกขุนนางคงไปยืนอยู่ใต้ซุ้มตั้งนานแล้ว
“ไม่ทราบว่าอวิ๋นน้อยที่ฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้าเมื่อครู่คือใครกันขอรับ เหตุใดกระหม่อมถึงไม่เคยได้ยิน” เขาเป็นบุคคลที่อยู่อันดับสองของเหล่าขุนนาง ชื่อของขุนนางทั้งหมดบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ในหัวของเขา แต่อวิ๋นน้อยนายพันอี้ฮุยที่ถูกเรียกเข้าเฝ้าเมื่อกี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ขุนนางระดับเจ็ดขึ้นไปเขาควรที่จะรู้จัก
“นั่นคือลูกชายของอวิ๋นเยี่ย ยังไม่ได้ตั้งชื่อ จึงเรียกเขาว่าอวิ๋นน้อย ฮูหยินท่านนั้นเป็นภรรยาของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นซินมาขอลางานให้สามี เจ้าดูสิ”
ตู้หรูฮุ่ยอ่านกระดาษแผ่นนั้น เขาโมโหมาก “เหลวไหลสิ้นดี ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไปเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าสู้รบปรบมือกันสามร้อยครั้ง เร่ร่อนอยู่แคว้นหลิ่งหนาน ถึงแม้ว่าจะห่างไกล แต่ก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เวลาตั้งหนึ่งปีคลานมาก็ถึงฉางอัน ฝ่าบาท ขุนนางที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ควรได้รับการลงโทษ สั่งให้เขากลับฉางอันโดยเร็ว จะผิดพลาดมิได้ขอรับ”
“ตอนแรกเราก็คิดเช่นนี้ แต่อ่านฎีกาม้วนนี้ เราก็เปลี่ยนใจ เจ้าอย่าพึ่งโมโห ดื่มน้ำก่อน อ่านฎีกาม้วนนี้แล้วค่อยตัดสินใจ”
ตู้หรูฮุ่ยนั่งลง จิบน้ำซานจาสองอึก สงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เริ่มอ่านฎีกาของอวิ๋นเยี่ย สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเขียน เขาจะต้องไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอด พยายามอุดช่องโหว่ทั้งหมดไม่ให้มีที่ว่าง นี่คือเรื่องที่ขุนนางเห็นพ้องต้องกัน บทเรียนที่เจ็บปวดของกรมโยธาคือบทเรียนความล้มเหลวของคนรุ่นก่อนจริงๆ ช่องโหว่เพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถฉีกให้เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่จนทำให้รถม้าวิ่งผ่านไปได้ สุดท้ายความสำเร็จของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของพวกขุนนาง ครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้ว เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง มันจะทำให้พวกขุนนางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ ทำให้ขุนนางที่คิดว่าตัวเองฉลาดรู้สึกอับอาย
ในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ตู้หรูฮุ่ยยังคงอ้าปากกว้าง ถามฮ่องเต้ด้วยความสงสัยว่า “ฝ่าบาท พวกเขาได้ทำลายแคว้นไปแล้วสี่แคว้นเลยหรือ”
หลี่ซื่อหมินเกาคางและพูดอย่างปวดหัวว่า “น่าจะเป็นเรื่องจริง หน่วยข่าวกรองก็มีรายงานเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ละเอียดเท่าอวิ๋นเยี่ยบอก”
“สะสมสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอีกด้วยหรือ เครื่องเทศมากมาย เสบียงอาหารมีมากกว่าห้าล้านตันเชียวรึ” ตู้หรูฮุ่ยสูดหายใจแล้วอ่านฎีกาไร้สาระม้วนนี้ต่อไปอย่างปวดฟัน
“รวมตัวกันสามพันคน บุกเบิกไปได้ถึงพันไมล์? กระหม่อมดูแล้ว แคว้นที่จะต้องมาเยี่ยมเยียนฝ่าบาทในปีหน้าหายไปแล้วเป็นครึ่ง เจินล่า? พวกเขาไปทำอะไรที่นั่น แคว้นสิงโต? ฝ่าบาทท่านรู้จักแคว้นนี้หรือไม่”
อ่านฎีกาเสร็จ ฮ่องเต้กับขุนนางก็เงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าที่ตัวเองพยายามโจมตีเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน และเเดนเกาชาง ผลประโยชน์ที่ได้รับยังดีไม่เท่าการรวมตัวกันสามพันคน เป็นไปได้อย่างไรกันที่ดินแดนห่างไกลอย่างหลิ่งหนานจะมีสมบัติล้ำค่าและเสบียงอาหารมากมายถึงเพียงนั้นได้ พวกเขาไปปล้นมาหรือเปล่า
“พูดจาเหลวไหล!” ฮ่องเต้และขุนนางมีมติต่อฎีกาของอวิ๋นเยี่ยอย่างเป็นเอกฉันท์
“ฝ่าบาท มิเช่นนั้นให้ราชสำนักลองส่งคนไปดูดีหรือไม่” ผ่านไปสักพัก ตู้หรูฮุ่ยถึงได้ถามหลี่ซื่อหมินด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ เพราะเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ทำมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง
จั่งซุนเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง วางอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นไว้บนฎีกาของหลี่ซื่อหมินแล้วพูดเสียงเบาว่า “นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเอามาจากหลิ่งหนาน เป็นของขวัญวันเกิดของหม่อมฉัน มีชื่อเรียกว่าหัวใจของทะเล” พูดเสร็จก็เดินกลับไป
สายตาของหลี่ซื่อหมินเป็นประกาย หยิบอัญมณีขึ้นมา สีน้ำเงินไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย เขาหยิบขึ้นมาเคาะที่ฎีกา นี่มันไม่ใช่แก้ว หลี่ซื่อหมินมั่นใจ
สาวใช้เอาอัญมณีไปให้ตู้หรูฮุ่ยดู เหล่าตู้ก็หลงใหลในอัญมณีก้อนนี้ทันที ไม่มีที่ติแม้แต่น้อย นี่คือสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ บนโลกใบนี้มีแค่ชิ้นเดียว เป็นสมบัติของสรวงสวรรค์
“ตู้ชิง เราส่งคนไปเยอะหน่อยเถอะ สิ่งเหล่านี้ควรนำกลับมาด้วยหรือเปล่า ด้านตะวันตกและตะวันออกล้วนแต่ต้องการเงิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อหมินไม่พูดเสียงดัง ถึงแม้ว่าความมั่งคั่งส่วนใหญ่จะเป็นความมั่งคั่งของเหล่าขุนนาง แต่ประเทศชาติต้องการ เจ้าต้องสนับสนุน ราชสำนักก็ไม่ได้ต้องการเอาทั้งหมด เพราะยังต้องเสียภาษีครึ่งหนึ่ง
“ฝ่าบาทกังวลมากเกินไป กั๋วกงทุกท่านต่างก็ทำหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติ พรุ่งนี้ลองถามพวกเขาจะดีกว่า ว่าจะเอาของที่มาเพิ่มเติมในคลังเก็บของเท่าใด เช่นนี้ กระหม่อมจะได้นับสถิติดูว่าจะได้เงินเท่าใด เกรงว่ากั๋วกงทั้งหลายก็คงไม่รู้ว่าจะมีสมบัติล้ำค่าที่น่าทึ่งถึงเพียงนี้ พรุ่งนี้คงมีคำตอบที่ดี
หากฎีกาของอวิ๋นโหวเป็นความจริง ข้าคิดว่าเขาคงจะอยู่บันทึกข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อเป็นรากฐานที่หลิ่งหนาน ฎีกาที่เขามอบให้ฝ่าบาท เกรงว่าความตั้งใจเดิมจะไม่ได้ตั้งใจบอกฝ่าบาทว่าหลิ่งหนานมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงใด แต่กำลังหาวิธีเล่นงานตระกูลเก่าแก่ที่เคยเอาเปรียบเขา เขายอมให้ตัวเองล้มละลาย แต่ก็จะลากเศรษฐีตระกูลใหญ่โตพวกนั้นล้มละลายไปด้วย ไม่เกิดประโยชน์ต่อใครทั้งนั้น แล้วยังให้ฝ่าบาทเป็นคนแบกรับชื่อเสียงที่อื้อฉาว เขาตัดสินว่าราชสำนักไม่มีทางปล่อยเศรษฐีพวกนั้นไป ข้าคิดว่าไอ้สารเลวนี่กำลังหัวเราะชอบใจอยู่ที่หลิ่งหนานเป็นแน่”
ตู้หรูฮุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองอยู่ไม่ไกลจากข้อเท็จจริงมากขึ้นเท่านั้น เขาทุบโต๊ะด้วยความโมโห ตระกูลของเขาก็มีคนไปที่หลิ่งหนานก็ต้องได้รับผลผลิตจำนวนมากอย่างแน่นอน วันนี้ตัวเองได้รู้ความลับ พรุ่งนี้ก็จะเป็นแบบอย่างในที่ประชุม เมื่อนึกถึงสมบัติมากมายขนาดนั้นกำลังจะไหลเข้าสู่คลังของชาติบ้านเมือง จิตใจของเขาก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา นี่เป็นแผนการที่เปิดเผยของอวิ๋นเยี่ย ทำให้เขาต้องกัดฟันทำตาม แล้วยังพูดออกไปไม่ได้ หลี่ซื่อหมินเอาให้เขาดู ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพูด แต่เพราะไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นการบังคับให้ตัวเขาแสดงจุดยืน ให้ตัวเขากระโดดออกมารับผิดชอบแทนคนอื่น ฝ่าบาทก็ไม่ได้อยากทำให้ขุนนางทั้งหลายไม่พอใจในคราวเดียว ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการหาแพะรับบาป เมื่อตู้หรูฮุ่ยนึกถึงการบริจาคอย่างใจกว้างของเหล่ากั๋วกงในที่ประชุมพรุ่งนี้ เขาก็บ่นตัวเองว่าเหตุใดต้องให้ซุนซือเหมี่ยวมารักษาโรคปอดให้หาย อวิ๋นเยี่ยแนะนำให้ไปหาหมอ หรือตอนนั้นเขาเตรียมที่จะให้ตัวเองมาเป็นแพะรับบาปที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันนะ
“เจ้าไม่ต้องกังวล ไอ้เจ้านั่นสารเลวจริงๆ เจ้าดูประโยคสุดท้ายของฎีกาก็รู้แล้วว่า วันดีๆ ของเฝิงอั้งที่อยู่ในหลิ่งหนานกำลังจะสิ้นสุดลง”