เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 3 ผู้ใดก็ล้วนแต่ต้องการฝึกนกอินทรี
โต้วเยี่ยนซานเอามือไพล่หลัง หันหน้าไปทางลมที่พัดแรงในหุบเขา ผมปลิวไสว ราวกับไม่มีเรื่องอะไรให้รำคาญใจ
ชีวิตเป็นครูที่ดีที่สุด ความลำบากของช่วงสองปีที่ผ่านมาสอนให้โต้วเยี่ยนซานได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่ พลาดเพียงครั้งเดียว อับอายจนต้องหลบหนีไปหลายพันลี้ ครั้งนี้ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ยที่เมืองหลวงโดยบังเอิญ เขาเลยยกเลิกแผนเดิมทันที กลับไปที่แคว้นหนานจ้าวอย่างรวดเร็ว เพราะเขาคิดว่าเป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว
ความเกลียดชังเข้ากระดูกในตอนแรก ค่อยๆ สงบลงในเวลาต่อมา เขารู้อย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร ฉายาอวิ๋นเยี่ยเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
ความมั่งคั่งของตระกูลโต้วได้ถูกราชวงค์ยึดครองไปแล้ว คนในแคว้นที่หลงเหลืออยู่บางส่วนก็ถูกโต้วจงซื้อตัวไปแล้ว สองสามครั้งที่ติดต่อกัน นอกจากให้เงินสนับสนุนจำนวนเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีอะไรอีก ในสองสามครั้งนั้นถ้าไม่ใช่เพราะว่าโต้วเยี่ยนซานรู้ล่วงหน้าว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีการเตรียมแผนไว้อยู่แล้ว ก็คงจะถูกคนในแคว้นของตัวเองจับส่งให้หลี่ซื่อหมินเพื่อเอาความดีความชอบตั้งนานแล้ว
ตอนนี้มองไปที่น้ำตกอันสวยงาม ปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น ขอแค่โน้มน้าวอวิ๋นเยี่ยได้ ตระกูลโต้วก็จะมีพื้นที่ให้ตั้งหลักปักฐานในแคว้นหนานจ้าวอันวุ่นวายอย่างแน่นอน
คนที่ตายไปอย่างลึกลับระหว่างทาง เขารู้ดีว่ามันเป็นฝีมือของอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำอย่างไร แต่เขากลับเชื่ออย่างหนักแน่นว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนทำ
ตายไปสองสามคนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร สิ่งที่โต้วเยี่ยนซานไม่ขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคน ไม่ใช่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะชอบการปกครองของตระกูลหลี่ เขามีพันธมิตรมากมายนับไม่ถ้วน
ถ้าอวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะฆ่าคนแม้แต่น้อย มันถึงทำได้โต้วเยี่ยนซานผิดหวัง
สามารถละทิ้งความเกลียดชังไปได้ไม่เป็นไร ถ้าอวิ๋นเยี่ยจริงใจที่จะร่วมมือกับเขาจริงๆ ร่วมกันก่อกบฏ ทั้งสองอาจจะกลายเป็นเพื่อนรักกันก็ได้
บางทีอาจจะมีแค่ศัตรูเท่านั้นที่รู้จักเราดีที่สุดในโลก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แต่กลับมีพรสวรรค์ คนที่มีนิสัยแปลกๆ เช่นนี้มีเพียงคนเดียว โต้วเยี่ยนซานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเยี่ยจะร่วมมือกับเขา เขาเรียกกระบวนการนี้ว่าฝึกนกอินทรี
ตอนเด็กๆ เขาเคยเลี้ยงนกอินทรีตัวหนึ่ง มันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสามขวบจากท่านปู่ของเขา มันคือนกอินทรีน้อยที่กำลังจะโตเต็มวัย ท่านปู่บอกเขาว่าเขาจะต้องฝึกนกอินทรีตัวนี้ให้เชื่อง มันถึงจะเป็นของเขา มิเช่นนั้นจะฆ่านกอินทรีทิ้ง
โต้วเยี่ยนซานใช้เวลาสองเดือนในการฝึกนกอินทรีตัวนั้น ถึงแม้ว่ามือและไหล่ของเขาจะถูกนกอินทรีข่วนนับครั้งไม่ถ้วน ตาก็เกือบจะถูกจิกบอด แต่เมื่อเขาพานกอินทรีออกล่าครั้งแรก ได้ยินนกอินทรีส่งเสียงร้องดัง เห็นมันกางปีกบินอยู่บนท้องฟ้า เห็นมันใช้เล็บที่แหลมคมตะครุบเหยื่อ เขาก็ตื่นเต้นจนน้ำตาไหล
ในสายตาของเขา อวิ๋นเยี่ยคือนกอินทรีตัวใหม่ของเขา
ถ้าหลี่ซื่อหมินรู้ว่าโต้วเยี่ยนซานกำลังคิดอะไร เขาคงจะหัวเราะไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่นกอินทรีอะไร แต่เขาคือถั่วทองแดงที่ต้มไม่สุก ต้มไม่เละ ทุบจนเสียงดังลั่นก็ไม่แตก นี่คือการพูดที่มีวาทศิลป์ ถ้าจะให้หลี่ซื่อหมินอธิบายอีกแบบหนึ่งละก็ คงไม่มีคำไหนเหมาะสมไปกว่าคำว่าเนื้อดิบ
จั่งซุนล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสอนอวิ๋นเยี่ย อยู่กับเขานานๆ นางรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้วิธีที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจถึงจะควบคุมอวิ๋นเยี่ยเอาไว้ได้ นี่คือจุดที่จั่งซุนพัวพันมาโดยตลอด ความอ่อนโยนของนางถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของอวิ๋นเยี่ย
หลี่จิ้งได้เริ่มการฝึกอบรมรอบใหม่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือโดดเด่น แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ฝึกอบรมจนจะกลายเป็นศัตรูกันแล้ว
โต้วเยี่ยนซานหันหน้าไปทางน้ำตกด้วยความตื่นเต้น ลูกน้องของเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองท่าทางที่สง่างามของท่านชายตัวเองอย่างสะเทือนใจ แต่อวิ๋นเยี่ยกลับถอดรองเท้า ล้างเท้าอยู่ที่ริมน้ำตั้งนานสองนาน แล้วยังพาวั่งไฉ่มาด้วย ล้างคราบเหงื่อไคลบนตัวของมัน
มาถึงน้ำตกหวงกั่วซู่ก็หมายความว่าตัวเองได้มาถึงเมืองอันชุ่นของมณฑลกุ้ยโจวในยุคหลังแล้ว ที่นั่นมีแม่น้ำสายหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะสามารทะลุไปถึงแม่น้ำจูเจียงได้ ถ้าเดินไปตามทางน้ำไหล ก็จะได้พบกับหลี่อันหลานได้ ตัวเองสัญญากับหลิงตังไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยมนาง ถือโอกาสไปเยี่ยมลูกชายของตัวเอง ไปดูว่าเขามีสุขภาพร่ายกายแข็งแรง สดใสร่าเริงหรือไม่
คิดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่มาน้ำตกหวงกั่วซู่ กินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวราคาห้าสิบหยวน หันไปมองโต้วเยี่ยนซานที่กำลังยืนตากลมยิ่งทำให้รู้สึกเกลียดชังเข้าไปใหญ่
ให้ตายเถอะ ถ้าสักวันหนึ่งข้ามีอำนาจขึ้นมา ข้าจะถมน้ำตกหวงกั่วซู่เฮงซวยนี่ซะ ให้ไปไหลลงที่อื่น ไม่ใช่ว่ามีน้ำตกอยู่ข้างๆ ก็จะขายก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งห้าสิบหยวน ข้าจะทำลายเส้นทางทำมาหากินของเจ้า แอบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาไปตลอดชีวิต
หลังจากที่โต้วเยี่ยนซานเหม่อลอยเสร็จ เขาก็เดินลงจากก้อนหินด้วยความพึงพอใจ น่าจะหนาวไม่เบา ตัวของเขาสั่นไปหมด
ออกเดินทางกันต่อไป ทันใดนั้นโต้วเยี่ยนซานก็ทำดีกับอวิ๋นเยี่ยมากขึ้น คืนมีดให้เขาแล้วยังเอาเสบียงให้เขา วั่งไฉ่ก็ไม่ต้องแบกถุงเสบียงที่หนักๆ อีกต่อไป
แต่กลับเป็นโต้วเยี่ยนซานที่แบกถุงเสบียงพวกนั้นด้วยตัวเอง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากสายตาดูถูกของอวิ๋นเยี่ย คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่กระปรี้กระเปร่า อยากที่จะแบกเองสักสองถุง
โต้วเยี่ยนซานไม่กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นเสือดาวและสุนัขจิ้งจอกจำนวนนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง หนีไปก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองวัน ครั้งหนึ่งอวิ๋นเยี่ยเคยเห็นหมีแพนด้าไล่ฆ่าเสือดาวอย่างดุเดือด แข็งแกร่งและกล้าหาญอย่างเทียบไม่ได้ ยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสัตว์น่ารักที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างหมีแพนด้า
บ้านของคนในแคว้นหนานจ้าวตั้งอยู่ในหุบเขา มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีที่ดินเล็กๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาได้ทำการเพาะปลูก ตอนนี้ก็สามารถมองเห็นพวกเขายุ่งอยู่กับการเพาะปลูก
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ใช้ไม้ขุดรูที่พื้นดินแล้วโรยข้าวเปลือก ใช้เท้าเหยียบสักสองสามที อวิ๋นเยี่ยมั่นใจว่าพวกเขากำลังปลูกข้าว ไม่ได้ปลูกข้าวโพดอยู่
พระเจ้า ปลูกข้าวมันไม่ควรปลูกต้นกล้าหรอกหรือ ไม่เคยเห็นการโรยข้าวเปลือกเช่นนี้ เช่นนี้จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้อย่างไร
“น่าตลกใช่ไหม อวิ๋นโหว เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำไร่ทำนา เจ้าเคยเห็นการปลูกข้าวเช่นนี้หรือไม่”
โต้วเยี่ยนซานเช็ดเหงื่อตัวเอง เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตกใจ ก็เลยหยุดพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ย
“เหล่าโต้ว ปลูกข้าวเช่นนี้จะได้ผลผลิตได้อย่างไร” แล้วก็มองดูหญิงแก่หน้าอกเ**่ยว มีหนังสัตว์พันอยู่รอบเอวกำลังปลูกข้าว
โต้วเยี่ยนซานรู้สึกชื่นชอบในชื่อเหล่าโต้วที่อวิ๋นเยี่ยเรียก และแน่นอนว่า มีแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่สามารถเรียกเขาเช่นนี้ เพราะทั่วทั้งแคว้นหนานจ้าวก็มีแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา
“ปลูกเพียงให้พอได้ผลผลิตแค่นั้น ทุกปีล้วนมีผู้คนอดตาย เสบียงไม่เพียงพอ เหตุใดข้าถึงหลอกเอาเงินเจ้า ก็เพราะว่าไม่มีเสบียง ฤดูหนาวที่แล้วข้าก็เกือบจะอดตาย เจ้ารู้ไหม เมื่อข้ากลับไปที่ฮั่นเจี้ย สิ่งแรกที่ข้าทำก็คือรีบไปที่ร้านอาหารและสั่งเนื้อมาทานทั้งโต๊ะ ทานไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ท้องอืดจนนอนไม่หลับทั้งคืน”
นึกถึงเรื่องราวที่น่าอนาถของตัวเอง โต้วเยี่ยนซานก็รู้สึกโศกเศร้า
โต้วเยี่ยนซานจะเป็นเช่นไรอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ ถ้าเขาไม่ทำให้คนกลายเป็นเทียนไข มันก็จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะยังคงเป็นท่านชายที่อิสระและมีความสุขของเขาต่อไป
หลี่ซื่อหมินกวาดล้างผู้คนจำนวนมาก อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยหายไปจากท้องพระโรง รู้สึกเสียใจ แต่ว่าตระกูลโต้ว เขาคิดว่าควรจะสูญหายไปจริงๆ หลี่ซื่อหมินทำถูกแล้ว ไม่รีบฆ่าหมาป่าชั่วร้ายที่มาคลุกคลีอยู่ในฝูงคน จะรอให้มันไปทำร้ายคนอื่นเพิ่มอีกหรืออย่างไร
ในที่ดินผืนเล็กๆ มีแต่ผู้หญิงกับเด็กเล็กที่ปลูกไร่ทำนา เด็กตัวเล็กๆ พุงป่อง เดินขุดรูตามแม่ของตัวเองอยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว เด็กพวกนั้นขุดเมล็ดออกมาจากพื้นดิน ยัดเข้าปากพร้อมกับโคลนที่ติดอยู่ และแน่นอนว่าจะต้องถูกตี ถูกตีก็ยังไม่ร้องไห้ มองหาโอกาสที่จะขโมยเมล็ดมากินต่อไป
ท้องป่องไม่ใช่เพราะว่ากินอิ่มเกินไป อวิ๋นเยี่ยรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หยิบข้าวปั้นที่ห่อด้วยใบไผ่ออกจากอ้อมแขน วางไว้ตรงหน้าเด็กแล้วก็เดินกลับไป เขาไม่อยากเห็นท่าทางการกินของเด็กๆ เพราะมันคงจะทำให้เขาเศร้าใจ แต่เขาคิดผิด ไม่เห็นยังจะเสียใจมากกว่าเห็นด้วยซ้ำ เสียงกินดังกึกก้องมาจากด้านหลัง ราวกับหมาป่าที่กำลังแย่งอาหาร กินอาหารพร้อมกับส่งเสียงขู่ร้องไม่ให้ใครมาแย่งอาหารของตัวเอง
“เหล่าโต้ว เจ้าอย่าบอกข้านะว่าผู้ชายที่นี่ถูกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะดูถูกเจ้า”
“ได้ยินมาว่าอวิ๋นโหวเด็ดขาดมาตลอด แค่คนพวกนี้ไม่กี่คน ก็สามารทำให้เจ้าโมโหได้? ข้าก็ไม่ได้ชอบฆ่าคน การฆ่าคนเป็นวิธีสุดท้าย และเป็นวิธีที่แสดงถึงความไร้ความสามารถ ข้ามีของดี ผู้ชายทุกคนต่างก็ชอบ แค่ได้ลิ้มลองรสชาติก็จะติดใจไปตลอด”
อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เขารู้ในทันทีว่าโต้วเยี่ยนซานใช้วิธีอะไร คำพูดติดอยู่ที่ปากอยู่นาน เขาถึงได้พูดเบาๆ ว่า “โต้วเยี่ยนซาน ดอกไม้ลืมทุกข์คืออะไรเจ้าก็คงจะรู้ หรือว่าเจ้าไม่กลัวบาปกลัวกรรม?”
“ความดีเป็นสิ่งมีค่า ตอนที่ข้าเป็นท่านชายอยู่ที่เมืองหลวงข้ามีจิตใจเมตตามาโดยตลอด เจอขอทานก็ให้เงิน เจอผู้หญิงที่อ่อนแอก็สงสาร ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องฆ่าคนไม่มีใครบอกข้าสักคน ท่านลุงที่สามของข้าตัดสินใจด้วยความโมโห พอข้ารู้ คนพวกนั้นก็ถูกเผาไปหมดแล้ว เจ้าปกป้องเผยอิง มิเช่นนั้นเขาอาจจะตายไปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีแค่ที่ตระกูลโต้วของข้าเท่านั้น ตระกูลอื่นก็มีเช่นกัน คนรับใช้ถูกฆ่าตาย ถูกเอาไปย่างบนไฟ เอาเนื้อที่สุกแล้วยัดเข้าไปในคอ ให้พวกเขาทานเนื้อของตัวเอง อวิ๋นโหว เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำเช่นนี้”
อวิ๋นเยี่ยปิดหูของตัวเองไม่อยากฟัง เมื่อก่อนเคยรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ แต่มันคือนิทาน คือภาพยนตร์ แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้กลับมาเกิดขึ้นในชีวิตจริง มันได้ทำลายความคิดที่เขามีต่อมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง
“อวิ๋นโหว ข้าแน่ใจว่าที่เจ้าด่าตระกูลโต้วต่อหน้าหลี่หยวน มันออกมาจากใจของเจ้าจริงๆ เจ้ามีสิทธิ์ด่า เจ้าด่าได้ ความโหดร้ายที่สุดของเจ้าก็แค่ให้คนๆ หนึ่งลดตัวลงไปเป็นขันที แต่ว่าหากพูดถึงตระกูลหลี่ ความชั่วร้ายของตระกูลหลี่มีมากว่าตระกูลโต้วเป็นร้อยเท่า เหตุใดถึงได้ยืนโทษผู้อื่นอยู่บนศีลธรรมความดีกันล่ะ ความชั่วร้ายของตระกูลโต้วล้วนแต่เรียนรู้มาจากตระกูลหลี่ทั้งนั้น พวกคนเลว ฆ่าพี่ฆ่าน้อง เหตุใดถึงได้รับความจงรักภักดีจากเจ้า เป็นเพราะว่าเขาตบหัวแล้วลูบหลัง? หากข้าสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ข้าต้องฉลาดและเมตตามากกว่าเขา อวิ๋นเยี่ย เจ้าเชื่อหรือไม่”