เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 38 เรือมู่หลาน
อวิ๋นเยี่ยหันกลับไปมองหลิวเหรินย่วน รอให้เขาอธิบายเกี่ยวกับคนพิการผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนมีความอดทนสูงมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่เป็นเพราะปกติคนแบบนี้มักจะทำอะไรสุดโต่ง เขาพูดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไร ความโมโหทำให้ใจขุ่นมัว อาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้ง่าย เขาไม่อยากนั่งอยู่บนเรืออยู่ดีๆ แล้วถูกคนจับโยนลงจากเรือ
“อาจารย์ ตงอวี๋เป็นคนพิการ ขอร้องท่านอย่างได้ถือสาเขาเลย เขาเป็นกะลาสีที่ดีที่สุดในกลุ่มคนบนเรือลำนี้ ศิษย์จะให้เขาเงียบปากเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้เห็นสีหน้าของหลิวเหรินย่วนก็รู้ได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี อวิ๋นเยี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มที่ชื่อว่าตงอวี๋แล้วพูดกับเขาว่า “ลิ้นขาดไปครึ่งหนึ่ง แต่หูไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า อวิ๋นเยี่ยพูดอีกว่า “เป็นลูกผู้ชายขอแค่มีอันนั้นอยู่ก็เพียงพอแล้ว ข้าคิดว่าต่อให้อวัยวะส่วนอื่นถูกตัดไปก็ไม่มีปัญหาอะไร สงครามโม่เป่ย ข้าตัดนิ้วเท้า นิ้วมือ และหูด้วยตัวเองมานับไม่ถ้วน พวกคนเหล่านั้นไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะขอให้คนอื่นปฏิบัติต่อตัวเองแตกต่างจากคนปกติ แต่เหตุใดพอมาถึงกองทัพทหารเรือของเจ้าจึงกลายเป็นข้อยกเว้นไปเสียได้”
ชายหนุ่มผู้นั้นคำรามออกมา แทบจะกระโดดพุ่งข้ามตัวหลิวเหรินย่วนไป หลิวจิ้นเป่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของเรือ เห็นคนไม่เคารพต่อท่านโหวจึงใช้มือดันตัวเองกระโดดข้ามขอบเรือขึ้นมา เท้าขนาดใหญ่ก้าวข้ามลำตัวของหลิวเหรินย่วน เตะเข้าไปที่ท้องของตงอวี๋อย่างแรง ชายหนุ่มผู้นั้นเซถอยหลังไปหลายก้าว ร้องคำรามออกมาเสียงดัง เหยียบขึ้นไปบนขอบเรือแล้วกระโดดพุ่งเข้ามา น่าเสียดาย หลิวจิ้นเป่าเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้มีหลิวจิ้นเป่าสิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตงอวี๋ แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้อยู่บนเรือ หลิวจิ้นเป่ายืนอยู่บนเสาเรืออย่างมั่นคง เพียงแค่ใช้มือเดียวก็กำรอบคอของตรงอวี๋ได้อยู่หมัด ที่ผิวของเขาดูเหมือนจะถูกทาด้วยน้ำมัน แค่ขยับตัวไปมาก็หลุดจากมือของหลิวจิ้นเป่าแล้ว
หลิวจิ้นเป่ากระแอมเบาๆ ปล่อยมือขวาที่จับเสาเรือไว้ พอกดสปริงอาวุธก็ได้ยินเสียงมีดพุ่งขึ้นมาจากปลอกมีด ดาบเล่มยาวสีขาวพุ่งไปปาดเข้าที่คอของตงอวี๋ หลิวเหรินย่วนตกใจเป็นอย่างมาก อยากจะร้องห้ามแต่ก็สายไปเสียแล้ว
มีดยาวของหลิวจิ้นเป่าเขี่ยอยู่บนคอของตงอวี๋ ร่างของตงอวี๋ตกลงมากองอยู่ที่พื้น เซลล์ในร่างกายยังคงกระตุกอยู่ แต่คนนั้นสลบไปแล้ว
“หลิวเหรินย่วน นี่หรือคือทหารที่ถูกฝึกมา เมื่อผู้บังคับบัญชากำลังตักเตือน ใครอนุญาตให้เขาบังอาจคำรามออกมา ในเมื่อกล้าล่วงเกินผู้บังคับบัญชา เหตุใดเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้”
“ท่านโหว ตงอวี๋คือคนขับเรือที่เชี่ยวชาญซึ่งศิษย์หามาได้จากทะเลตะวันออก แต่เดิมเป็นชาวประมง ต่อมามีเรื่องขัดแย้งกับทางการจึงได้หนีออกทะเล ศิษย์ได้ช่วยชีวิตเขาบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทร สงสารเขาที่ไม่เหลืออะไร แต่ยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง จึงได้ดึงเข้ากองทัพ ขอท่านโหวได้โปรดเห็นใจ”
เหงื่อบนใบหน้าของหลิวเหรินย่วนหยดลงบนพื้น ไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายการกระทำของตงอวี๋อย่างไร การหาคนเข้ากองทัพโดยพละการก็ถือว่าเป็นโทษใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตงอวี๋เป็นกบฏว่าจะมีโทษใหญ่ขนาดไหน
ตงอวี๋ฟื้นขึ้นมาจากสลบไสล มองไปรอบๆ ด้าน พบว่าผู้นำของตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อขอความเมตตาให้กับตัวเอง แต่ท่านโหวผู้นั้นกลับเอามือไขว้หลังหันหน้าไปชมวิวมหาสมุทร
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ เพียงแค่ไปมีเรื่องกับพ่อค้าที่บ้านเกิดของตัวเองก็ทำให้ตัวเองต้องหนีมาถึงเกาะกลางมหาสมุทรกลายเป็นคนเถื่อน ตอนนี้ดันมามีเรื่องกับคนที่มีตำแหน่งมากกว่าพ่อค้าอีก จะต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่ ที่คอก็โดนสันมีดไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนนี้ยังคงมีอาการเวียนหัวตาลายอยู่เลย ทั้งตัวเมื้อยล้าไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจเบาๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอความตาย
“ตงอวี๋เจ้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของข้า เจ้าบอกข้าทีว่าตรงไหนที่ไม่เหมาะสม หากข้าพูดผิด เช่นนั้นโทษของเจ้าก็ถือว่าเจ๊ากันไป แต่หากข้าไม่ได้พูดผิด วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า”
ตงอวี๋เป็นผู้เชี่ยวชาญทางทะเล เหตุใดจะไม่รู้ว่าที่อวิ๋นเยี่ยพูดนั้นสมเหตุสมผล เพียงแค่ใต้จิตสำนึกของตัวเองไม่ชอบคนของทางการก็เท่านั้น คิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่กินอยู่อย่างสบายจนอ้วนพี แล้วเมื่อนึกถึงภรรยาและลูกของตัวเองที่บ้านเกิด ในใจก็รู้สึกโกรธเคือง กัดฟันไม่พูดอะไร อยู่ต่อหน้าคนของทางการยิ่งพูดก็ยิ่งผิด ไม่พูดจะดีกว่า หลับตาลงรอถูกตัดคอ
“หลิวเหรินย่วน จงนำทหารของเจ้าไปที่เรือฝั่งตรงข้าม ดูเรือมู่หลานและทำความเข้าใจสักนิดว่ากองทัพเรือที่เดินทางไกลควรมีลักษณะอย่างไร กองทัพของเจ้าเหมาะแค่ลอยอยู่ในอ่างน้ำเท่านั้นแหละ พาเด็กคนนั้นไปด้วย ข้าจะทำให้เขายอมแต่โดยดี”
ฝั่งตรงข้ามก็คือกองทัพเรือของอวิ๋นเยี่ย ซื้อมาจากหลี่เซี่ยวกงในราคาสูงลิบลิ่ว เรือที่ตัวเองสร้างนั้นยังคงเทียบอยู่ที่อู่ต่อเรือ รอเพียงเวลาใช้ล่องในน้ำ
ปีนขึ้นมาบนเรือมู่หลาน เรือลำนี้มีความยาวถึงสามสิบฟุต ทำให้หลิวเหรินย่วนอิจฉาเป็นอย่างมาก นี้คือเรือลำใหญ่ในตำนานที่สามารถบรรจุทหารได้เป็นพันนาย คลื่นน้ำด้านนอกกระทบตัวเรืออยู่เรื่อยๆ พอกระทบเข้ากับตัวเรือสีแดงเข้มก็แตกกระจายออก อวิ๋นเยี่ยที่เมื่อครู่ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงในเรือของตัวเอง ตอนนี้กลับยืนได้อย่างมั่นคงในเรือมู่หลาน ลูกชายของเหล่าเจียงเป็นผู้นำของกองทัพเรือตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะมีเรือเพียงลำเดียว แต่ก็เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดในอ่าว
อวิ๋นเยี่ยตบที่ขอบเรือเบาๆ อย่างสบายใจ ตอนแรกคิดว่าราคาแปดพันเหรียญของหลี่เซี่ยงกงนั้นแพงเกินไป ตอนนี้ดูจากสิ่งที่ได้มาแล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าราคาที่หลี่เซี่ยวกงต้องการนั้นถือว่าสมควรแล้ว ที่นี่เหมือนโลกแห่งไม้ ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเหลาทุกมุมที่แหลมคมให้กลมมน เพื่อให้คนบนเรือรู้สึกปลอดภัย แต่ว่ามุมที่หัวเรือนั้นถูกหุ้มด้วยทองแดงไม่สามารถเหลาได้ เขาบอกกับทุกคนว่าเรือลำนี้ยังสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธในการสังหารได้อีกด้วย
“ท่านโหว ท่านอยู่ในเรือของพวกเราก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องไปใส่ใจกับคนงี่เง่าเหล่านั้น ล่องเรืออยู่ได้แค่ในอ่างน้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่ข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าคำแนะนำของท่านช่วยชีวิตคนมาแล้วเท่าไหร่ ตอนนี้กองทัพเรือหลวงก็กำลังเรียนรู้จากพวกเราเช่นกัน เสนาบดีของวังชั้นในได้เชิญข้าไปดื่มกับเขาอยู่หลายรอบ” พอขึ้นเรือมา หลิวจิ้นเป่าก็บอกเหตุการณ์ของเรื่องทั้งหมดแก่เจียงหยวน ได้ยินคำบรรยายของหลิวจิ้นเป่าแล้วเจียงหยวนมีท่าทีอยากจะกำจัดพวกงี่เง่าทิ้งให้หมด
หลิวเหรินย่วนก้มหน้าลง มองดูเรือของอวิ๋นเยี่ยว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นแค่เรือที่ถูกประดับประดาสวยงามเท่านั้น หรือว่าเป็นเรือที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกันแน่ เรื่องพวกนี้ปิดบังเขาไม่ได้หรอก เขาไม่ใช่แค่รักการเดินทะเล แต่เรียกได้ว่าถึงขั้นคลั่งไคล้
สะอาดสะอ้าน เรียบร้อย วัตถุที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมดถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา เชือกถูกม้วนไว้อยู่บนเสาเรือ ส่วนที่พึ่งทาน้ำมันทำให้เรือทั้งลำดูมีความเก่าแก่ บนแผ่นวงกลมมีด้ามจับอยู่เจ็ดแปดอัน มีสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่ต้องให้คนไปบังคับหางเสือทั้งสองด้านแล้ว ยืนอยู่ในห้องเล็กๆ ก็สามารถบังคับหางเสือได้ แน่นอนว่าสบายกว่าไปยืนอยู่ท้ายเรือ
ตงอวี๋หมุนพวงมาลัยสองครั้ง จากนั้นก็วิ่งไปที่ท้ายเรือเพื่อดูทิศทางของหางเสืออย่างอยากรู้อยากเห็น ตงอวี๋วิ่งไปวิ่งมาเพื่อทำความเข้าใจ ทำให้เขาลืมเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยจะตัดหัวเขาไปเสียสนิท
อาหารกลางวันกินกันบนเรือ อวิ๋นเยี่ยจะนั่งกินอยู่ข้างหน้าสุดของโต๊ะคนเดียว กับข้าวก็พิเศษกว่าคนอื่นๆ นี่คืออาหารของกัปตัน มีเพียงกัปตันเท่านั้นที่จะได้กินเช่นนี้ แต่เดิมมีเจียงหยวนคนเดียวที่ได้กิน แต่ตอนนี้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเท่านั้น เพื่อสร้างอำนาจขึ้นเป็นกัปตัน อวิ๋นเยี่ยทนลำบากมาไม่น้อย จึงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป
หลิวเหรินย่วนถือจานไปรับอาหารที่ช่องหน้าต่าง เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ที่โรงอาหารของสำนักศึกษาก็เป็นเช่นนี้ พ่อครัวชุดขาวตักอาหารให้เขาเต็มจาน สุดท้ายยังให้ส้มเขียวหวานครึ่งลูก และไวน์ส้มอีกหนึ่งชาม
ตงอวี๋งงไปหมด เดินไปหยิบจานข้าวตามผู้นำของตัวเองแล้วส่งให้พ่อครัว พ่อครัวโผล่หัวออกมาจากหน้าต่างมองดูรูปร่างของตงอวี๋ จากนั้นก็ตักอาหารให้เขามากมาย คนที่ดูแข็งแรง มักจะกินข้าวเยอะอย่างแน่นอน เห็นว่ามีเหล้า ตงอวี๋ก็ซดหมดภายในครั้งเดียว จากนั้นก็ยื่นชามกลับไป เพื่อที่จะให้พ่อครัวเทให้ตัวเองเต็มชาม พ่อครัวโยนชามของเขาออกมาทางหน้าต่าง งี่เง่า ที่นี่มีกฎให้ดื่มเหล้าได้แค่วันละหนึ่งครั้ง
ตงอวี๋โมโหมาก ฐานะที่ต่ำต้อยทำให้ความเคารพในตัวเองของเขานั้นลดลง ยกจานขึ้นมาเพื่อที่จะขว้างกลับไป แต่ว่าเสียดายอาหารจึงวางจานลง ร้องออกมาเสียงดังด้วยความโมโห หลิวเหรินย่วนรีบดึงเขาไว้ ชี้ไปที่ถ้วยเหล้าของตัวเองแล้วพูดว่า “ทุกคนก็ได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน แม้แต่ท่านโหวก็ไม่มีข้อยกเว้น”
ตงอวี๋ยืดคอมองไปรอบด้าน พบว่าหลิวเหรินย่วนไม่ได้หลอกเขา รู้สึกละอายใจเล็กน้อยจึงยกจานอาหารของตัวเองกลับไปที่โต๊ะ กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อกินข้าว แต่กลับถูกคนที่นั่งอยู่ใช้สายตาจ้องมาที่เขาทั้งหมด จึงทำได้เพียงนั่งก้มหน้า
ช่างดีอะไรเช่นนี้ เมื่อเห็นกับข้าวตงอวี๋ก็ร้องออกมาอย่างดีใจ ที่บนสุดของข้าวมีน่องไก่อยู่หนึ่งชิ้น มีผักแล้วก็ยังมีเต้าหู้ ข้างล่างสุดคือข้าวสีขาวสวย
หยิบน่องไก่ขึ้นมาดม ถอนหายใจแล้วค่อยๆ เริ่มกินข้าว ไม่มีตะเกียบ มีเพียงช้อนหนึ่งคัน เขากินอย่างละเอียด เนื้อบนน่องไก่กินหมดแล้ว แม้แต่กระดูกก็เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปจากนั้นก็เริ่มกินข้าว เขาชอบกินข้าวแบบนี้ นี่สิถึงจะเป็นกับข้าวที่คนกินกัน
เขาไม่ยอมกินข้าวคำสุดท้าย เหลือมันไว้อยู่ในจานอย่างนั้นราวกับเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆ เวลาที่เขาได้กินของอร่อยตอนอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง เขาจะไม่กินมันจนหมด จะเหลือไว้บ้างเล็กน้อย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าในภายภาคหน้าจะยังมีกินต่อไป
“ทำไมไม่กินให้หมด” มีทหารคนหนึ่งเดินมา ที่แขนเสื้อของเขามีปลอกสีแดงสวมอยู่ นี่คือความคิดของอวิ๋นเยี่ย เขามักจะนำสิ่งที่คุ้นเคยในยุคปัจจุบันมาใช้กับคนยุคนี้โดยมีรู้ตัว
“ที่บ้านเกิดของตงอวี๋ การทำแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าในปีหน้าจะยังมีเสบียงเหลืออีกมากมายน่ะ” หลิวเหรินย่วนตอบแทนตงอวี๋
“กินให้หมด คนเดินสมุทรจะเชื่อในเรื่องของราชามังกรทะเลเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำความเชื่อเรื่องอื่นๆ มาใช้บนเรือลำนี้”
ตงอวี๋ต้องกินข้าวคำสุดท้ายที่เหลือไว้อย่างจำใจ คิดว่าจากนี้ตัวเองคงไม่มีโชคได้กินอาหารดีๆ เช่นนี้อีกแล้ว หลิวเหรินย่วนถอนหายใจ เขารู้กฎของตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างดี ในสำนักศึกษาก็มีกฎเช่นนี้ อย่างเช่นไม่อนุญาตให้ดื่มน้ำที่ยังไม่ผ่านการต้ม ไม่อนุญาตให้ขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่อนุญาตให้เหลือข้าวในจาน แต่หลี่ไท่ก็เคยแอบเทอาหารทิ้งหนึ่งครั้ง สุดท้ายถูกอาจารย์หลี่กังจับได้ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเว่ยอ๋องได้รับโทษอย่างไร แต่ว่าหลังจากครั้งนั้นจานข้าวขององค์ชายสะอาดยิ่งกว่าสุนัขเลียเสียอีก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย หลิวจิ้นเป่า หลิวเหรินย่วน แล้วก็ตงอวี๋
“หลิวเหรินย่วน ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าการเดินทางไกลต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้ารู้หรือไม่ เมื่ออยู่บนเรือแล้ว ชีวิตของคนเหล่านี้ก็จะอยู่ในกำมือเจ้า ไม่ใช่ว่ามีเรือดีๆ สักสองสามลำแล้วจะสามารถออกผจญภัยในมหาสมุทรได้ เรือของเจ้าเล็กเกินไป ครั้งนี้ของที่เราต้องส่งนั้นมีมาก เพื่อให้ราชสำนักเชื่อมั่นในการขนส่งทางน้ำ ดังนั้นการเดินเรือครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น จะล้มเหลวไม่ได้ เจ้าจะต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ”
ไม่รอให้หลิวเหรินย่วนได้พูด ก็หันไปพูดกับตงอวี๋ว่า “เจ้าต่อต้านผู้บังคับบัญชาโดยไร้เหตุผล ไม่ฟังคำสั่ง แต่เดิมมีโทษประหารตัดหัว เห็นแก่ที่เจ้าทำผิดเป็นครั้งแรก ข้าจะลงโทษเจ้าโดยการเฆี่ยนสามสิบทีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง”