เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 39 ทะเลสีครามที่โหยหา
กองทัพเรือมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากริมทะเลมองไปมีแต่ใบเรือกางเต็มไปหมด แต่มีปัญหาก็คือในเรือไม่มีอะไรเลย ซุนเหรินซือยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดออกมาว่าเขาฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ฮ่องเต้บอกแล้วว่าให้อวิ๋นโหวเอาของใส่เรือให้เต็มแล้วล่องกลับไปที่เมืองซานตง เมื่อถึงเวลาก็จะมีกองทัพมารอรับเอง
ใส่อะไรล่ะ? จะใส่ก้อนหินก็คงไม่เหมาะ กลับไปจะต้องถูกหลี่ซื่อหมินเอาก้อนหินมาปาใส่หัวแน่ๆ ในปีนี้เมืองเหอหนานและเมืองเหอเป่ยเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดีนัก หลี่ซื่อหมินจึงได้ยกเว้นภาษีของทั้งสองเมืองนี้ไปแล้ว ตอนนี้กำลังตั้งตารออวิ๋นเยี่ยที่จะกลับมาพร้อมกับเสบียงอาหารและสมบัติอีกมากมาย การลงมืออย่างง่ายๆ นั้นที่แท้ก็ได้ผลเช่นนี้นี่เอง
ไม่หวังอะไรกับหลิ่งหนานแล้ว เฝิงอั้งส่งคนให้นำเสบียงอาหารหนึ่งแสนตันและสมบัติอีกหนึ่งลำเรือ แต่กลับถอยทัพไปอยู่ที่กว่างโจวไม่ยอมโผล่หัวออกมา หลบอยู่แต่ในบ้านรอสมน้ำหน้าอวิ๋นเยี่ย ในฐานะที่เป็นคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่าตัวเองไม่เพียงแต่จะต้องส่งผลผลิตของแต่ละตระกูลกลับไป แต่ยังต้องหาวิธีการรวบรวมเสบียงอาหารในพื้นที่เหล่านั้นด้วย
หลี่ซื่อหมินก็เป็นคนเช่นนี้ หากไม่ทำก็คือไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ยิ่งใหญ่ รู้ว่าเขาต้องการจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของหลิ่งหนานออกไปในคราวเดียวเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเตรียมการสำหรับผู้ยากไร้ในดินแดนหลิ่งหนาน
ในอดีตฮ่องเต้ได้ย้ายครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวยทั้งหมดมาไว้ที่ฉางอัน เพื่อให้เศรษฐกิจของเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้น อย่างเช่นฮ่องเต้ฮั่นอู่เองก็เคยทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว บ้านเมืองพึ่งจะเริ่มมั่นคง จะให้เกิดความวุ่นวายไม่ได้ เขาต้องการจะเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถเลื่องลือโดยเร็วที่สุด พร้อมจะฆ่าศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เพื่อในอนาคตตัวเองจะได้กินอยู่และตายในวังหลังอย่างสงบ ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ได้อีกหลายปี แล้วจะไปเอาเงินมาจากไหน? โชคดีที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าที่หลิ่งหนานมีเงินและเสบียงเยอะแยะ และยังมีคนโง่อีกไม่น้อย เขาคิดขึ้นได้ว่าตัวเองเกือบจะลืมไปว่าที่ดินผืนนั้นเป็นของตัวเอง เพราะนอกจากจะส่งคนของทางการสองสามคนไปยังหลิ่งหนานแล้วก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเมืองนี้อีกเลย เขาหวังว่าจะได้ผลผลิตที่ดีในดินแดนแห้งแล้ง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว
“จริงๆ เลย ตอนนี้ข้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนปอกลอกไปแล้ว”
หลี่อันหลานรีบลูบหลังอวิ๋นเยี่ยเพื่อให้ใจเย็นลง เพราะกลัวว่าเขาจะโกรธ ตั้งแต่มาที่ทะเลกับอวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีอะไรราบรื่นสักอย่าง บรรดาแม่ทัพที่มาจากต่างแดนต่างมารวมตัวกันในกระโจมใหญ่ คนนี้ก็ต้องการเสบียง คนนั้นก็จะให้ชดเชยให้ ยังมีอีกหลายคนที่บอกว่าเรือผุพังแล้วต้องการซ่อมแซม แล้วยังบอกอีกว่ามีหอยเกาะที่ท้องเรือมากเกินไป จำเป็นต้องดึงเรือขึ้นมาเพื่อขูดสาหร่ายและหอยออก และที่แย่ที่สุดคือพวกเขาแต่ละคนต่างก็มาด้วยหน้าตาอันห่อเ**่ยวน่าสงสาร หากจะบอกว่าเป็นทหารไม่สู้บอกว่าเป็นคนขอข้าวกินจะดีกว่า แม้ว่าเครื่องแบบทหารของต้าถังจะดูไม่ดี แต่ก็ยังดีที่สามารถห่อหุ้มร่างกายได้ แต่ก็หุ้มได้ไม่หมดทุกส่วน
เมื่อเห็นสภาพของทหาร อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะออกมา ต้าถังพึ่งจะสร้างรากฐานได้หลังจากที่รบไปเป็นร้อยครั้ง ทหารจึงมีความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ทักษะการฆ่าคนยังมีอยู่ในตัว พึ่งจะเปลี่ยนเครื่องแบบให้ทหารไปไม่กี่คน ทหารเหล่านั้นก็เอามือทุบอกแล้วบอกว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับอวิ๋นโหว
ผ้าลินินที่เอามาหลอกชาวพื้นเมืองตอนนี้ได้กลายเป็นเสื้อผ้าของเหล่าทหารหมดแล้ว เสบียงอาหารหนึ่งแสนตันที่เฝิงอั้งส่งมาก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นอาหารของเหล่าทหารไปแล้ว ซุนเหรินซือบอกกับอวิ๋นเยี่ยหลังจากที่นับจำนวนคนแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นผู้บัญชาการที่มีกำลังทหารมากถึงสองหมื่นคนแล้ว
จากการฝึกฝนในระยะเวลาหนึ่งเดือน ชีวิตที่ยากลำบากในหลิ่งหนานทำให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นชาวบ้านที่ผิวดำคล้ำ เหลือเพียงแค่ฟันที่มีสีขาว
รอต่อไปไม่ได้แล้ว ในอีกหนึ่งเดือนก็จะเริ่มมีลมมรสุมอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยเหลือเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว เสบียงอาหารที่ปล้นมาจากเมืองหงเฉิงยังคงอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของช่องแคบทางทะเล ตามที่บอกมามีราวๆ ห้าแสนตัน แต่ว่านี่ก็เป็นจำนวนที่ไม่แน่นอน เขาไม่ได้เหลือคนไว้ดูแล เพราะหากเหลือคนไว้มากเกินไปก็จะไม่มีกำลังพลในการบุกเข้าโจมตี แต่ถ้าหากเหลือไว้น้อยก็จะถูกชาวเมืองโจมตีจนแตกกระจาย ดังนั้นจึงไม่รู้จำนวนที่แน่นอนว่าจะเหลือคนไว้เท่าไหร่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยต้องการรวบรวมเสบียงใหม่ทั้งหมด
ให้หลี่อันหลานรออยู่ที่นี่ เพื่อเตรียมข้าวของที่จำเป็นแก่กองทัพในการเดินทางกลับ ส่วนตัวเองออกมากับกองทัพเรือเพียงลำพัง กระโจนข้ามช่องแคบเหมือนกับตั๊กแตน
สองวันที่เดินทางมานี้ ท้องทะเลสีครามช่วยทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกสบายใจ ข้างหน้ายังมีปลาโลมาคอยว่ายเปิดทางให้ ข้างหลังก็มีฝูงนกนางนวลบินตาม น้ำทะเลที่ใสสะอาดทำให้มองเห็นปลานานาชนิดแหวกว่ายไปมา
หลิวจิ้นเป่าใช้เชือกผูกลูกธนูแล้วยิงไปที่ปลา แต่ว่ากลับไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ รู้สึกโกรธจึงมองหาปลาตัวใหญ่เพื่อลองยิงใหม่อีกครั้ง แต่อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมให้เขาฆ่าปลาโลมา
ตงอวี๋ที่กำลังเดินตามอวิ๋นเยี่ยมองหลิวจิ้นเป่าด้วยความสมเพช จากนั้นก็กระโดดลงไปในทะเล เด็กคนนี้ว่ายน้ำเร็วกว่าปลาในน้ำเสียอีก มุดดำลงไปในน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาพร้อมกับปลาที่คาบอยู่ในปากและที่กำอยู่ในมืออีกสองข้าง โยนปลาขึ้นมาบนเรือ จากนั้นตัวเองก็ดึงเชือกเพื่อปีนขึ้นเรือมู่หลาน แล้วหัวเราะเย้ยหลิวจิ้นเป่า
เดินเรือไปตามแนวชายฝั่งของทะเล ป่าโกงกางเติบโตเขียวชอุ่ม สีเขียวมรกตและสีน้ำเงินอมฟ้าเป็นเส้นแบ่งของสองฝั่งอย่างชัดเจน ช่างสวยงามยิ่งนัก ในยุคปัจจุบันคงไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนี้
หลังจากที่เรือได้ล่องผ่านช่องแคบทางทะเล อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าเมืองเจียวโจวก็มีผู้บัญชาการเช่นกัน เป็นถึงระดับถันกั๋วกงมีนามว่าชิวเหอ ไม่เคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มาก่อน เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจียวโจวมีถึงสิบเมือง มีคนหนึ่งที่ต่อต้านเขา คนผู้นั้นมีนามว่าหลี่เจี่ยวเป็นผู้ดูแลเมืองรื่อหนานโจว เขาขึ้นมานั่งบนเรือและยื่นฎีกาให้สองฉบับ ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงไปหมด
“อวิ๋นโหว ชิวเหอถูกลงโทษให้ประพฤติในศีลธรรมอยู่สี่ปีจึงได้กลับเข้าสู่ราชสำนัก หลี่เจี่ยวก็พ่ายแพ้ให้กับพวกเราแล้ว ในอนาคตฮ่องเต้คงจะถามข้าว่าภาษีของสิบกว่าปีนี้หายไปไหน ทำไมไม่เห็นลงอยู่ในบัญชีของกรมคลัง”
ซุนเหรินซือหัวเราะแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเราสามารถขอเสบียงอาหารได้อย่างเป็นทางการเช่นนั้นหรือ”
“แม่ทัพทั้งสองคนที่พ่ายแพ้จะต้องก้มหัวภายใต้บารมีของท่านโหวอย่างแน่นอน เอาล่ะ ข้าไม่กล้าพูดอะไรมาก ทหารสองหมื่นนายของพวกเราท่านก็ได้บุกฝ่าเข้ามาถึงจนได้ หากไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจเห็นทีว่าคงไม่ได้ อย่างไรเรือสามร้อยกว่าลำนี้ก็ต้องถูกบรรจุให้เต็มลำ”
“เหล่าซุน ข้าใช้วิธีการเดาความคิดของคนมาตลอด ดังนั้นข้าก็มักจะคิดตลอดว่าสิ่งของที่ได้รับมามักจะเป็นของข้าเสมอ ไม่รู้ว่ากองทัพของเจ้าจะช่วยข้าควบคุมพวกเขาได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาขัดขืนได้ สิ่งที่ข้าต้องการข้าก็จะไปเอามันมาด้วยตัวเอง เมื่อได้มามากพอแล้วก็กลับบ้าน เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ท่านโหวฉลาดมาก ข้าคิดว่าในอนาคตหากฮ่องเต้ต้องการเอาทุกอย่างไปจากเจียวโจว ข้าคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องบุกไปตามแนวชายฝั่งไล่ไปตั้งแต่เมืองเจียว เมืองเฟิง เมืองอ้าย เมืองเซียน เมืองยวน เมืองซ่ง เมืองซือ เมืองเฉี่ยง เมืองเต้า และเมืองหลง ทั้งหมดสิบเมือง และยังมีเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจียวโจว อย่างเช่นเจียวจื่อ หวยเต๋อ เมืองหนานติ้ง และเมืองซ่งผิง สถานที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์เช่นนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซุนเหรินซือ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
อำนาจที่ยิ่งใหญ่ทำให้เมืองเจียวโจวเปิดประตูเมืองให้เข้าไปทันที หลังจากที่รับประกันว่าจะไม่ละเมิดทรัพย์สินของชิวเหอ ถันกั่วกงผู้นี้ก็สั่งเปิดดินแดนทั้งหมด เงินและเสบียงอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมืองหงเฉิงก่อนหน้านี้ถูกขนขึ้นเรือรบ ตอนนี้คลังเก็บเสบียงและสมบัติจึงว่างเปล่าจนหนูสามารถออกมาวิ่งเล่นได้
เห็นลักษณะของเมล็ดข้าวแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เอาแต่สาปแช่งเทพเจ้าไม่หยุด มีเมล็ดข้าวที่ไหนมีลักษณะแย่ยิ่งกว่าเมล็ดวัชพืชเสียอีก การปลูกข้าวแล้วได้ผลเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมากตลอดมา แต่ที่นี่เพียงแค่กำข้าวที่พร้อมปลูกแล้วหว่านลงบนดิน พอผ่านไปสามเดือนก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว เหล่าทหารที่เคยมาจากครอบครัวชาวนากอดกระสอบข้าวไว้ไม่ยอมปล่อย เพราะรู้ว่านี่คือสมบัติอันล้ำค่า
คนพื้นเมืองที่นี่คิดว่ากองทัพของอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อจับตัวผู้หญิงไปจึงได้ให้ภรรยาและลูกสาวของตัวเองไปหลบอยู่ในป่า หากทหารของต้าถังยังไม่กลับไปก็ไม่อนุญาตให้ออกมา แต่แล้วได้พบว่าพวกเขาไม่ได้สนใจผู้หญิงเลย เอาแต่ขนเสบียงอาหาร ชาวบ้านมองตาปริบๆ ดูทหารของต้าถังท่าทางมีความสุขในการใช้กระสอบขนข้าวฟ่างออกไปจนหมด และตอนนี้ข้าวที่อยู่ในนาก็เริ่มจะแก่แล้ว
หนูตกถังข้าวสารก็คือความรู้สึกของทหารต้าถังในตอนนี้
ชิวเหอก็รู้สึกเช่นนั้น เมืองเจียวโจวไม่เคยขาดแคลนเรื่องเสบียงอาหาร ท่านโหวหนุ่มขี้ระแวงผู้นั้นไม่จำเป็นต้องกักขังตัวเองไว้ ฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหม่ใกล้มาถึงแล้ว เมล็ดข้าวในคลังเสบียงจะเต็มอีกครั้งในปีหน้า หรือว่าต้าถังอยู่ในจุดที่ขาดแคลนเสบียงอาหารเป็นอย่างมาก?
นี่เป็นครั้งแรกที่ทหารของต้าถังมาเหยียบแผ่นดินเจียวโจว หากอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มีไว้สำหรับข้า เช่นนั้นแคว้นหลินยี่ที่ใฝ่ฝันก็คงจะได้มาอย่างง่ายๆ?
อวิ๋นเยี่ยวุ่นวายอยู่กับการนับจำนวนเสบียงจนไม่สามารถพักได้ ลูกคิดที่ทำขึ้นมาใหม่ถูกเขาใช้นิ้วเขี่ยจนกลายเป็นเสียงเพลง คนอื่นได้ฟังจะบอกว่าหนวกหู แต่อวิ๋นเยี่ยกลับชอบเสียงนี้มาก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกคิดกระทบกันนั่นหมายความว่ามีเสบียงอาหารขึ้นมาบนเรือเป็นจำนวนมาก
“ไม่มีเวลาไปเจอกับถันกั๋วกงหรอก ตอนนี้ข้าแทบจะต้องแยกร่างอยู่แล้ว ใครจะมีเวลาไปสนทนากับเขา”
“ท่านโหว เขาบอกว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ท่านยังไม่ได้ไป หากท่านไป อย่าว่าแต่เสบียงอาหารอีกเลย แม้แต่สมบัติก็จะเติมเรือรบของท่านด้วย” หลิวจิ้นเป่านำความมาบอกให้กับอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่สักพัก วางงานในมือลง เอนหลังพิงเบาะนุ่มแล้วพูดว่า “สิ่งที่เขาจะขอก็ไม่พ้นเรื่องการขยายดินแดน ตอนนี้ทางด้านทิศใต้ของเขามีหลี่เจี่ยวคอยขวางทางอยู่ หากจะขยายไปทางทิศตะวันตกก็มีแคว้นหลินยี่ ดังนั้นเขาก็แค่ต้องการใช้อำนาจของพวกเราเพื่อบรรลุเป้าหมาย ข้าไม่อยากให้เขาหลอกใช้ ถึงแม้ว่าการถูกหลอกใช้ก็แสดงว่าพวกเรามีค่าพอให้หลอกใช้ แต่ว่าข้าอยากรู้มากว่าเขาจะจ่ายไหวหรือไม่ ไปบอกเขาว่าทองสองหมื่นชั่งคือราคาที่จะให้ข้าช่วยโจมตีแคว้นหลินยี่ แต่หลี่เจี่ยวเป็นข้าราชบริพารของต้าถัง ข้าจะไม่ลงมือกับเขา” พูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็ยุ่งอยู่กับการคำนวณของเขาต่อ
เมื่ออำนาจอยู่ในมือก็นำคำสั่งมาใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่คือจุดเด่นของอวิ๋นเยี่ย หากไม่เปลี่ยนอำนาจเล็กๆ ให้กลายเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ ก็ถือว่าตัวเองบกพร่องในหน้าที่ กองทัพเรือของต้าถังต้องขาดแคลนเสบียงอาหารถึงเพียงนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็รับไม่ได้
ต้าถังที่ตั้งอยู่ดินแดนที่ราบสูงเหลืองอร่าม ได้ละเลยความโหยหาที่มีต่อท้องมหาสมุทรสีคราม ตอนนี้ได้เวลามองไปที่ทะเลแล้ว
คิดถึงเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็วางปากกาในมือลง หากจะเป็นโจรก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุด นำกองทัพที่แข็งแกร่งส่งให้ไปอยู่ในมือของหลี่ซื่อหมิน คาดว่าจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะเขาคือโจรอย่างแท้จริง
ชิวเหอหาทองสองหมื่นชั่งมาไม่ได้ แต่เขาบอกว่ามีอยู่ที่เมืองหลินยี่ เพียงแค่กองทัพบุกเข้าไปที่เมืองหลินยี่จะต้องรวบรวมทองคำได้มากแน่ๆ ได้ยินมาว่าตำหนักของฮ่องเต้พวกเขาประดับไปด้วยทองคำ
ซุนเหรินซือ หลิวเหรินย่วน และบรรดาแม่ทัพอีกมากมายเริ่มตาลุกวาว แต่น่าเสียดาย เหอชิวบอกช้าเกินไป มรสุมกำลังจะมาแล้ว ต่อให้อวิ๋นเยี่ยจะเสียดายแค่ไหน แต่ก็ต้องกลับบ้านแล้ว มิฉะนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่คือการถูกลงโทษอย่างร้ายแรง
ตอนมาถึงมาตัวเปล่าแต่ตอนจะกลับมีข้าวของเต็มไปหมด เมื่ออวิ๋นเยี่ยออกคำสั่ง เสบียงอาหารจำนวนมากก็ถูกวางไว้ที่ชายฝั่ง ชิวเหอโกรธและผิดหวังมากจึงโยนหยกในมือเข้าไปในกองเสบียงอาหาร หลังจากนั้นก็เดินทางกลับเมืองเจียวโจวโดยไม่หันกลับมามองอีก
ข้าวสวย โจ๊ก ข้าวหลาม ข้าวปั้น เค้กข้าว วิธีการกินพวกนี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนเดินเรือ ข้าวกับปลาเค็มทำให้พวกเขาประทับใจไม่รู้ลืม มองไปที่ขบวนเดินเรือที่ใหญ่ที่สุด หัวใจของหลิวเหรินย่วนรู้สึกเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ซัด เรือรบที่แข็งแกร่งสามารถทำให้เมืองอื่นยอมจำนน แล้วยังนำความมั่งคั่งกลับมาอีกนับไม่ถ้วน สิ่งนี้นับว่าเป็นตำนาน
ซุนเหรินซือกำลังคิดถึงชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเจียวโจว เต็มไปด้วยความภูมิใจอยู่เต็มอก มองดูลูกน้องที่กำลังทำความสะอาดดาดฟ้าอย่างวุ่นวาย เมื่อคิดถึงเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำ จากนั้นก็พูดออกมากับตัวเองโดยไม่รู้ตัวว่า “สิ่งนั้นมันเป็นของข้า”