เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 40 ผลกระทบจากข้อพิพาท
มองดูคนสองคนข้างๆ ที่กำลังใช้ความคิด อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางบอกพวกเขาว่าเมืองแห่งทองคำที่ชิวเหอพูดถึงไม่มีอยู่จริง เมืองเจียวโจวเต็มไปด้วยคนป่าเถื่อน ไม่ได้เต็มไปด้วยทองคำ คิดว่ากลุ่มคนป่าเถื่อนที่กินผลไม้ป่าจะสร้างเมืองแห่งทองคำได้อย่างนั้นหรือ
อารยธรรมของที่นี่ล้วนมาจากชาวจงหยวนนำเข้ามา จนกระทั่งขบวนทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ผ่านมาที่หลิ่งหนาน ทหารของกองทัพจิ๋นซีสามแสนคนได้เข้าสู่ดินแดนที่แห้งแล้งแห่งนี้ทำให้ที่นี่มีอารยธรรมอย่างแท้จริง อารยธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคต่อมาเป็นเพียงแค่การสืบสานต่อจากอารยธรรมของชาวฮั่น แล้วยังมีศาสนาพุทธของอินเดียที่ค่อยๆ นำเข้ามา และศาสนาอิสลามที่ถูกเผยแผ่ไปทางทิศใต้ ทำให้วัฒนธรรมของทวีปนี้มีความรุ่งเรือง
ชิวเหอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าจะต้องใช้วิธีหลอกลวงก็จะต้องให้กองทัพของต้าถังช่วยเขากวาดล้างเมืองหลินยี่ให้ได้ อย่างไรก็เป็นเพียงแค่แคว้นเล็กๆ ที่มีชาวฮั่นปกครองอยู่แล้ว จากนั้นจัดการหลี่เจี่ยวไปด้วยเลย เช่นนี้ทั่วทุกพื้นที่ป่าเขาก็จะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว
แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยในภายหลังก็ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็คงถูกทหารของต้าถังเข้าค้นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตัวเอง พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาอาจจะเอาเสบียงอาหารหรือของจำพวกอัญมณีซึ่งเขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิด
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดที่จะเชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป้าหมายของตัวเองนั้นคือเสบียงอาหาร เมื่อได้เสบียงอาหารก็พอใจแล้ว นำกลับไปที่ฉางอันได้ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จแล้ว จะไปสนใจสิ่งของอย่างอื่นอีกทำไม
มีอัญมณีมากไปก็เท่านั้น เมื่อกลับไปที่ฉางอันของพวกนี้ก็ไม่มีราคา ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าพวกเครื่องทองและอัญมณีนั้นมีมากพออยู่แล้ว จู่ๆ มีสมบัติล้ำค่าพวกนี้ขึ้นมามากมาย เจ้าจะไม่พิจารณาเรื่องความต้องการทางตลาดสักหน่อยหรือ
ตลาดที่ขายของหายากนั้นถือว่าเป็นตลาดที่ดี หากบนหัวของผู้หญิงทั้งเมืองฉางอันบนหัวประดับไปด้วยอัญมณีเต็มไปหมด เช่นนั้นจะยังเรียกว่าของล้ำค่าได้อีกหรือ เช่นนั้นก็คงกลายเป็นเพียงแค่ก้อนหินที่ส่องแสงได้เท่านั้นแหละ
ในเวลานี้เสบียงอาหารมีประโยชน์ยิ่งกว่าอัญมณีเสียอีก น่าเสียดายที่คนจนอย่างซุนเหรินซือไม่เข้าใจ คนที่มีความทะเยอทะยานสูงอย่างหลิวเหรินย่วนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขายังตามหาอัญมณีจำนวนมากมาไว้ในครอบครอง
ตอนนี้ตัวเองกำลังเดินทางข้ามอ่าว นั่นคืออ่าวตังเกี๋ยที่มีชื่อเสียงในยุคหลัง มีท่าเรือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมและแหล่งตกปลาอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำหลายสายมาบรรจบกันที่นี่แล้วไหลลงสู่ทะเล ทำให้มีทรัพยากรทางน้ำที่หลากหลาย ที่นี่ควรจะเป็นพื้นที่ที่ใช้ปลูกข้าวและเลี้ยงปลา แต่น่าเสียดายที่มีคนอาศัยอยู่น้อย
นี่เป็นการสิ้นเปลืองของขวัญจากธรรมชาติไปอย่างเปล่าประโยชน์ อวิ๋นเยี่ยมองดูเรือแคนูที่อยู่ระยะไกล เห็นคนเถื่อนถือหอกไม้ไผ่เพื่อแทงปลาก็รู้สึกเสียใจ ดินแดนกวนจงที่น่าสงสารถูกบุกเบิกมาแล้วนับหลายพันปีทำให้พื้นดินไม่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะรักในดินแดนบ้านเกิดทำให้ผู้คนที่ขยันทำมาหากินเหล่านั้นยังคงเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพื้นที่แห่งนี้
สายตาของต้าถังยังคงจ้องมายังทั้งสองฝั่งของแม่น้ำใหญ่ แต่กลับไม่รู้ว่าแม่น้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์มานานแล้ว ต้าถังจะเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่จะได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้ เมื่อราชวงศ์ถัดไปได้เริ่มขึ้น แม่น้ำสายนี้จะกลายเป็นเลือดและเริ่มคร่าชีวิตคน…
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนหัวเรือและตั้งเตาย่างขนาดเล็กที่ใช้ย่างปลาขนาดใหญ่ไม่ได้ เนื้อปลาสีแดงถูกทาด้วยน้ำมันถั่วเหลืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โรยด้วยเกลือเม็ดละเอียดและทาน้ำมันพริกเผา ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องเทศอื่นอีก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจพวกเครื่องเทศมากนัก รู้สึกไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ รสชาติตามธรรมชาติของเนื้อปลาก็อร่อยอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวพยาธิเขาจะต้องชอบปลาดิบของต้าถังมากแน่ๆ
เนื้อปลาสุกแล้ว กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว แม้แต่ซุนเหรินซือที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องน้ำลายไหล อวิ๋นเยี่ยกินเข้าไปหนึ่งคำพบว่ารสชาติไม่ดีเท่าไหร่จึงไม่กินต่อ ชี้ให้หลิวจิ้นเป่าดูเพื่อจะบอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขากินได้
แน่นอนว่าซุนเหรินซือไม่กินของเหลือ แต่หลิวจิ้นเป่าและตงอวี๋ไม่คิดมากในเรื่องนี้ หยิบเนื้อปลาขึ้นมาคนละหนึ่งชิ้น เพลิดเพลินกับความสุขอย่างคนที่มีฐานะต่ำต้อย
ยื่นเหล้าให้ซุนเหรินซือหนึ่งจอก จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองที่ขอบเรือ
“ท่านโหว ทั้งๆ ที่พวกเรายังมีเวลาอีกตั้งห้าวัน เหตุใดท่านจึงล้มเลิกการโจมตีแคว้นหลินยี่ ท่านก็รู้ว่าประเทศเล็กๆ แบบนั้นต่อต้านการโจมตีของพวกเราได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว ข้าไม่เข้าใจเหตุใดท่านจึงได้ล้มเลิกเป้าหมายนี้”
“แม่ทัพซุน เป้าหมายที่ล่อตาล่อใจมากเกินไปมักจะเป็นของปลอมเสมอ สงบจิตสงบใจแล้วลองคิดดูให้ดีๆ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าในป่าจะมีเมืองที่ว่านั่นอยู่จริงๆ ถ้าหากมี เฝิงอั้งอยู่หลิ่งหนานมาหลายปี มีหรือที่เขาจะไม่รู้ จะเหลือมาถึงพวกเราได้อย่างไร เจ้าคงไม่คิดว่าเฝิงอั้งไม่สามารถโจมตีเมืองเล็กๆ แบบนี้ได้หรอกนะ”
“ชิวเหอกล้าดีอย่างไรมาหลอกพวกเรา ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่” หลังจากที่หายจากการถูกทองบังตา ซุนเหรินซือก็กลับมาเป็นคนฉลาดเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ทันที
“เหล่าซุน เจ้าเป็นแม่ทัพของต้าถัง ครั้งนี้พวกเรามาเพื่อขนเสบียง ไม่ใช่มาทำศึกสงคราม ถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถจัดการเมืองหลินยี่ได้อย่างเงียบๆ แต่หลังจากจัดการได้แล้วจะทำอย่างไรต่อ? ยอมให้ชิวเหอขึ้นเป็นใหญ่คนเดียวอย่างนั้นหรือ? ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหนเจ้าก็เห็น พวกเราเอาเสบียงอาหารไป ไม่เกินสองเดือนพวกเขาก็จะมีเสบียงอาหารมากมายเช่นเดิม เขาหลอกพวกเราแล้ว พวกเราจะไปทำอะไรเขาได้ อย่างมากก็ทำได้แค่หาผลประโยชน์ อย่างไรก็ฆ่าเขาไม่ได้ ฝ่าบาทไม่มีทางอนุญาตให้เราทำเช่นนี้ เว้นแต่ว่าฝ่าบาทจะส่งทางการมารวบแผ่นดินแห่งนี้ เจ้าจึงจะสามารถกำจัดแคว้นหลินยี่ได้อย่างสบายใจ”
“ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ หากได้ครอบครอง อิทธิพลของต้าถังก็จะมีมากขึ้นทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหาร สามารถส่งกองทัพออกรบได้ทั่วทุกแห่ง”
แม่ทัพมักจะพิจารณาจากมุมมองของทหารเสมอ เมื่อมีเสบียงอาหาร อันดับแรกเลยก็คือสามารถนำไปเป็นเสบียงของทหารได้ การปฏิบัติงานให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับแผ่นดินที่ได้มานั้นจะทำอย่างไรต่อไป นั่นเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่พลเรือน เรื่องนี้อยู่นอกเหนือหน้าที่ของเขา
คุยเรื่องเศรษฐกิจการปกครองกับซุนเหรินซือทำให้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองคุยผิดคนแล้ว แม่ทัพก็เหมือนกับค้อนขนาดใหญ่ เขาปฏิบัติต่อศัตรูก็เหมือนกับเอาค้อนตอกตะปู ตอกครั้งเดียวไม่ลง เช่นนั้นจึงตอกสองครั้ง สามครั้ง จนกว่าจะตอกตะปูลงไปได้ ใช้ชีวิตแบบนี้มาเนิ่นนาน ตอนนี้มองอะไรก็ดูเหมือนเป็นตะปูไปซะหมด บางทีก็เผลอตอกตะปูแบบไม่รู้ตัว เมื่อมีค้อนแล้วเครื่องมืออื่นๆ ก็ไม่จำเป็น
ระหว่างที่ขนเสบียงอาหารกลับมา อู๋เสอยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เดินไปดูเรือทุกลำด้วยตัวเอง ถึงแม้อากาศจะร้อนแต่ก็ลงไปที่ใต้ท้องเรือเพื่อตรวจสอบเสบียงอาหาร ข้าวเย็นของวันนี้ไม่ต้องจัดเตรียมให้เขาแล้ว เพราะว่าเขากำเมล็ดข้าวฟ่างจากเรือทุกลำมาแกะชิมเพื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รอเขาชิมเสบียงอาหารเสร็จคาดว่าก็น่าจะอิ่มพอดี
ห้องโดยสารเรือไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการเก็บเสบียงอาหาร หากเปียกน้ำทุกอย่างก็จบ แล้วตอนนี้ฤดูฝนของหลิ่งหนานก็ใกล้จะมาถึงแล้ว จะต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนฤดูฝนจะมาถึง ล่องไปตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรเพื่อแล่นไปตามแนวชายฝั่งอย่างช้าๆ อ้อมไปครึ่งเมืองต้าถังเพื่อเอาเสบียงอาหารไปส่งที่ซานตง จากนั้นก็ขนส่งทางบกไปยังเมืองจี้โจว เดินทางเลียบคูคลองขนาดใหญ่ส่งไปถึงเมืองฉางอัน
การเดินทางไกลแน่นอนว่าไม่มีทางราบรื่น การเดินทางครั้งนี้ซุนเหรินซือได้เตรียมการไว้นานแล้ว และดำเนินการอย่างรอบคอบ
คิดแล้วก็น่าเศร้า การขนส่งที่สำคัญเช่นนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งราชสำนักแทบจะไม่มีใครสนใจเลย ปล่อยให้ข้าราชการเด็กๆ ไปจัดการแบบเดาสุ่มกันเอง อู๋เสอเก็บความลับลึกดังก้อนหินในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่ฉางอันเกิดอะไรขึ้น ผู้นำประเทศต่างก็พากันจับจ้องไปยังฉ่าวหยวน พวกเขาเลือกที่จะลืมเมืองซึ่งห่างออกไปทางตอนใต้
ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่เจ็บปวด เขาถึงขั้นโมโหเสียด้วยซ้ำ หลี่ซื่อหมินเอากำไรจากพวกเขาไปถึงหกส่วน ถึงแม้ว่าคนจะมีเสื้อผ้าไว้ปกปิดร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่าราชวงศ์นั้นคอยขัดขวางการเติบโตของตระกูลขุนนางได้
“ขนกลับมา อย่างไรก็ต้องขนกลับมา” จดหมายสั้นๆ ของหลี่ซื่อหมินทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงความกดดันเป็นอย่างมาก ดูแล้วหลี่ซื่อหมินคงไม่ส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาจัดการเรื่องนี้ ทหารเรือรับใช้ที่เคยมาจากที่นั่นก็จะรู้จักคำพูดที่ว่า ‘กลัวว่าเรือที่ให้มาจะเล็ก กลัวว่าเจ้าหน้าที่ที่ส่งมาจะอายุเยอะ กลัวว่าเงินเดือนที่ให้แก่ผู้นำทัพจะมากเกินไป’ ทั้งราชสำนักต่างใช้ประโยคนี้แสดงความไม่พอใจต่อหลี่ซื่อหมิน
เมื่อหลี่ซื่อหมินขึ้นครองบัลลังก์ เขาได้สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา ไม่ทอดทิ้งคำปฏิญาณ ไม่มีการกบฏ หลายปีมานี้หลี่ซื่อหมินทำผลงานได้ดี การที่ให้รางวัลแก่เหล่าขุนนางทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น แต่การแบ่งชนชั้นก็มีประโยชน์ในตัวของมันเอง แต่บางครั้งก็ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ
หม่าโจวผู้น่าสงสารยังคงคิดว่าความคิดเห็นของเขาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้แล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าหลี่ซื่อหมินกำลังใช้เขาเป็นสัญญาณให้กับขุนนางที่ไม่รู้จักพอเหล่านั้น หวังว่าพวกเขาจะหยุดความคิดเช่นนั้นลง แต่ผลกลับไม่ดีอย่างที่คิด หม่าโจวกลายเป็นบุคคลที่ถูกคนทั้งเมืองรุมสาปแช่ง นี่คือบุคคลที่ฮ่องเต้ยกย่อง แต่กลับถูกย่ำยีถึงเพียงนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครไว้หน้าฮ่องเต้แล้ว
ครั้งนี้จั่งซุนอู๋จี้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลี่ซื่อหมิน ทำให้ความโกรธของฮ่องเต้ผู้โดดเดี่ยวพุ่งถึงขีดสุด
การที่อวิ๋นเยี่ยพเนจรมาจนถึงหลิ่งหนานทำให้เขาพอมีความหวังขึ้นมาบ้าง บางทีเด็กคนนี้อาจจะทำให้เขามีโอกาสฝ่าฝันอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ การปรากฏตัวของโต้วเยี่ยนซานทำให้ฮ่องเต้แทบจะคิดว่าพระเจ้ากำลังช่วยเหลือตัวเองอยู่ มิเช่นนั้นก็ไม่มีวิธีที่จะอธิบายเหตุผลของการเกี่ยวข้องกันของเรื่องราวต่างๆ นี้ได้
หลังจากพิจารณาถี่ถ้วนแล้วหลี่ซื่อหมินก็ไม่ได้มอบพระราชโองการให้อวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งที่สอง แต่เป็นการเขียนจดหมายในรูปแบบจดหมายครอบครัว เขาเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะเข้าใจความลำบากของเขาและทำทุกวิถีทางเพื่อนำเสบียงอาหารกลับมา
คลังเสบียงของฉางอันถูกนำไปใช้จนหมดด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ตอนนี้หลี่ซื่อหมินกำลังพนันว่าอวิ๋นเยี่ยจะสามารถนำทรัพย์สินทั้งหมดกลับมาได้เพื่อเติมเต็มให้กับคลังที่แห้งแล้ง
จดหมายจากฮองเฮาจั่งซุนให้กำลังใจเขาได้มาก จั่งซุนต้องการเพียงให้อวิ๋นเยี่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้พูดถึงเสบียงอาหารและสมบัติ ไม่มีแม้แต่คำเดียว แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยได้เห็นความรีบร้อนสื่อออกมาจากตัวอักษรที่เขียน
ส่วนจดหมายของซินเย่วนั้นเรียบง่าย ไม่ได้เขียนอะไร มีเพียงรอยมือและรอยเท้าของอวิ๋นโซ่ว รอยเล็กๆ ทำให้อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหลดั่งสายฝน จดหมายของฮ่องเต้และฮองเฮาถูกโยนทิ้งไปทันที มองดูรอยมือรอยเท้าอย่างใกล้ชิดและละเอียด นี่คือลวดลายที่สวยงามที่สุดในโลก
“นี่คือรอยเท้าและรอยมือของโซ่วเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”
หลี่อันหลานเอาจดหมายมาดู ยกมือขึ้นมาทาบแล้วพูดว่า “มือและเท้าไม่ใหญ่เท่าหรงเอ๋อร์ ซินเย่วเลี้ยงลูกอย่างไรกัน กวนจงเป็นสถานที่ที่ดีในการเลี้ยงเด็ก แต่กลับไม่แข็งแรงเท่าเด็กที่ถูกเนรเทศมาเลี้ยงที่หลิ่งหนาน”
พูดเสร็จก็อุ้มลูกน้อยมาอวดอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกแล้วยกแขนอ้วนๆ ของลูกขึ้น ดูใต้รักแร้ จากนั้นก็สำรวจที่ก้นของลูกเพื่อดูว่ามีรอยผดผื่นหรือไม่ ที่หลิ่งหนานอากาศร้อนชื้นทำให้มีผลต่อผิวของเด็กเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผิวบริเวณข้อพับจะอับชื้นได้ง่าย หากไม่ระวังจะลามไปทั้งตัว ที่นี่ไม่มีแป้งฝุ่น ทำได้เพียงตรวจสอบบ่อยๆ อาบน้ำบ่อยๆ เอา
“เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ก็เหมือนเป็นชีวิตของข้า รีบโตเร็วๆ เข้าล่ะ หลี่อันหลาน เมื่อเจ้าไปเมืองหลวงจะต้องเอาลูกไปด้วย ท่านย่าเอาแต่พูดตลอดว่าอยากจะเจอหลานชายคนโต เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ครั้งนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า บางทีมันอาจจะกระทบต่อจิตใจของท่านย่าเป็นอย่างมาก”