เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 41 ข้านั้นเป็นคนบ้า ร้องเพลงหัวเราะเยาะขงจื้อ
หลี่อันหลานยิ้มและเห็นด้วย จากนั้นจึงหยิบจดหมายบนโต๊ะสองฉบับขึ้นมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ เหตุใดท่านถึงยังมัวพูดเรื่องครอบครัว ในช่วงสงคราม แม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่างจ้าวเซอได้รับมอบหมายหน้าที่ทุกครั้ง เขาไม่มีทางพูดถึงเรื่องครอบครัวแน่ เจ้าควรจะเรียนรู้จากเขาบ้างนะ”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ยอมรับฟังความคิดเห็น จากนั้นก็ดันหลี่อันหลานออกไปนอกประตูแล้วพูดกับนางว่า “เราสองคนพ่อลูกต้องศึกษาเส้นทางของกองทัพ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาเจอข้า อีกสิบปีข้าและเจ้าถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง”
พูดเสร็จก็ปิดประตู หลี่อันหลานเตะประตูอยู่ข้างนอกสองสามครั้ง เห็นว่าไม่มีใครเปิดประตูให้นางจึงเดินจากไป
“ลูกชาย พ่อไม่ชอบผู้หญิงที่ชอบบงการเช่นนี้ วันนี้ข้ากลายเป็นจ้าวเซอ วันข้างหน้าเจ้าอาจจะกลายเป็นจ้าวคั่ว เรื่องของผู้ชายจะเป็นการไม่ดีหากผู้หญิงเข้ามายุ่มย่าม สำหรับข้า นี่คือบทเรียนที่เจ็บปวด เมื่อนึกถึงก็รู้สึกเสียใจไปถึงสามชาติ เจ้าต้องเชื่อฟังคำสอนของข้า เมื่อโตขึ้นข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปยืนหลบหลังของผู้หญิงอย่างไร้ประโยชน์เด็ดขาด”
เด็กน้อยส่งเสียงร้องตอบรับอวิ๋นเยี่ย อ้าปากกว้างจนน้ำลายไหลออกมาไม่หยุด
หลี่ซื่อหมินเคยเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นคนแข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมา หลายปีมานี้เขาไม่เคยแพ้ศึกสงครามเลย โจมตีที่เมืองไหนก็ไม่มีใครกล้าแข็งข้อ คนๆ เดียวที่สามารถทำเขาเสียหน้าได้อย่างข่านเจี๋ยลี่ ตอนนี้ก็มีชีวิตอย่างตายทั้งเป็นในวัดหงหลู เมื่อฮ่องเต้นึกถึงเขาทีไร เขาก็จะถูกลากออกมาทำการแสดงเต้นรำให้ขุนนางต้าถังดู ครั้งที่แล้วได้ยินเฉิงฉู่มั่วบอกว่าที่เอวของเขาถูกผูกด้วยกลองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บนหัวปักด้วยดอกไม้สีแดง ร้องเพลงและเต้นรำในงานเฉลิมฉลอง ท่าทางการร่ายรำงดงาม เหนือกว่าทุกการแสดงในราชสำนัก หลี่ซื่อหมินให้รางวัลเขาเป็นพิเศษด้วยทองหนึ่งร้อยชั่ง อนุญาตให้เขาออกไปเดินเล่นเยี่ยมชมเมืองฉางอันได้ทุกปี แต่ให้เวลาเพียงสามชั่วโมง
หลี่ซื่อหมินประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองมากเกินไป ไม่มีทาง เขาคือคนที่ปลอมเป็นหมูเพื่อมาสยบเสือ ทุกครั้งที่หลี่ซื่อหมินแกล้งทำเป็นโง่ อวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากชัยชนะแล้ว ครั้งนี้เขาต้องการจะทำอะไร?
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้กังวลเรื่องการขนส่งเสบียง เพียงแค่ล่องไปตามทิศทางลมก็พอแล้ว ลมแรงขนาดนี้นั้นสามารถหอบตัวเองไปส่งยังคาบสมุทรเหลียวตงได้ และจะไม่มีพายุใหญ่ในช่วงนี้ นี่คือของขวัญจากสวรรค์ ขอเพียงแค่เรือไม่รั่ว ล่มลงไปเอง ก็จะไม่มีอันตรายอะไร แต่ว่าเขาวาดแผนที่ทางทะเลไม่เป็น การเดินทางครั้งนี้สำคัญมาก ต้องทำเครื่องหมายตามแนวปะการังเป็นจุดๆ ในการเดินทางทางน้ำจะต้องให้ความใส่ใจกับสภาพทางอุทกวิทยา จำเป็นต้องมีการสำรวจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่บางแห่ง จะต้องส่งคนไปวัดความลึกในบริเวณพื้นที่ที่สามารถเปิดเป็นท่าเรือได้
เรือลำข้างหน้าที่ใช้ในการเบิกเส้นทางนั้นถือว่าอันตราย แต่ว่าหากไปหาคนอย่างตงอวี๋มาช่วยดูแลก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาชอบเวลาเรือล่ม ตงอวี๋มักจะพูดให้หลิวจิ้นเป่าฟังว่าหากเรือล่ม เขาจะพาท่านโหวขึ้นฝั่งได้อย่างแน่นอน ระยะทางในทะเลยี่สิบสามสิบลี่นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เจ้าบ้านี่ พูดแบบนั้นไม่ใช่ว่าอยากเห็นข้าจมน้ำหรืออย่างไร อยู่กลางทะเลเช่นนี้ยังจะพูดเรื่องเรือล่ม อัปมงคลจริง
ความอบอุ่นจากในอ้อมแขนทำให้อวิ๋นเยี่ยตื่นจากความคิด ลูกชายนอนหลับไปในอ้อมแขนของตัวเองแล้ว นกเขาน้อยปล่อยน้ำพุ่งออกมา ไม่กล้ารบกวนลูก รอให้ลูกฉี่เสร็จแล้วจึงวางลูกไว้บนโต๊ะแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
สมกับที่เป็นลูกข้า ขนาดฉี่ยังฉี่อย่างมีทิศทาง ไม่เลอะเสื้อผ้าของตัวเองแม้แต่นิด แต่กระเด็นมาโดนเป้ากางเกงพ่อจนเปียกเป็นวงกว้าง อย่างกับว่าตัวเองนั้นฉี่ใส่กางเกงซะอย่างนั้น
“ฉลาดมากลูกพ่อ วันหลังจะทำอะไรก็ต้องฉลาดเช่นนี้ นี่สิจึงจะเป็นมาตรฐานกลยุทธ์ของคนชั้นสูง”
เรียกให้หลี่อันหลานเข้ามา แต่ไม่มีคนตอบรับ จึงได้ไปหาที่ห้องโถงด้านหน้า พึ่งจะผ่านพ้นประตูมา ก็ได้ยินเสียงประจบสอพอของหลิวฝูลู่
“องค์หญิง ตอนนี้ในหลิ่งหนานล้วนถูกท่านโหวกวาดล้างไปจนเกลี้ยง ที่จริงนี่เป็นโอกาสที่ดีในการปฏิวัติ เทพภูเขาตีกลองกำจัดคนเกเรไปหมดแล้ว ตอนนี้ท่านแค่ต้องส่งทหารไปห้าร้อยนาย ส่วนที่เหลืออีกห้าร้อยนายเหลือไว้คอยรับใช้ มอบให้ข้าเป็นคนควบคุม ข้าขอรับรอง ไม่เกินสามปีดินแดนเหลียวจะต้องถูกปฏิวัติจนเจริญรุ่งเรืองเป็นแน่ เช่นนั้นท่านก็ไว้ใจได้ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะมีเวลากลับไปอยู่ที่ฉางอัน จะอยู่ถึงปีครึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“เฮ้อ ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิง ไม่เหมือนผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่สามารถทำการใหญ่ได้ ข้าต้องการเพียงแค่ปกครองแผ่นดินให้เจริญรุ่งเรืองและสงบสุข เพื่อในอนาคตจะได้มอบให้แก่ลูกชาย แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้จะแสร้งทำเป็นน่าสงสารทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ถึงแม้ว่าทำแบบนี้จะทำให้พวกหลิวฝูลู่จงรักภักดีต่อตัวเอง แต่ว่ามันทำให้ตัวเองดูไม่มีหน้ามีตา
อวิ๋นเยี่ยโมโหมาก ลืมไปว่ากางเกงของตัวเองนั้นยังเปียกอยู่ อุ้มลูกน้อยเดินเข้าไปพูดกับหลิวฝูลู่ว่า “ปกครองหลิ่งหนานให้ดีเช่นนั้นหรือ? หากกลายเป็นการกบฏขึ้นมา ไม่แน่หากกลับไปเมืองกวนจง ชาวกวนจงก็จะไม่ให้เข้าเมือง ทำแบบนี้ต่อไปมีแต่จะทำให้พวกเจ้าต้องขุดหลุมฝังตัวเอง หากทำให้ดินแดงแห่งนี้ต้องเสียหาย ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นเพื่อนกับหมีตาบอดในป่าลึก”
พวกขุนนางที่มีโทษติดตัวสิบกว่าคนโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยอำนาจของท่านโหวทำให้ทุกคนต้องเดินออกจากห้องโถงอย่างตัวสั่นเหมือนลูกนกกระทา
“ตายจริง ท่านโหวที่ฉี่รดกางเกงดูมีอำนาจบารมีมากเลย ครั้งนี้ข้านับว่าได้เห็นบารมีของท่านแล้ว เพียงแต่ว่าท่านช่วยเปลี่ยนกางเกงก่อนไม่ได้หรือ มาอบรมลูกน้องทั้งแบบนี้จะดูสูญเสียความสง่างามเอาได้”
“สภาพอากาศในหลิ่งหนานร้อนและแห้งแล้งทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด ข้าจึงต้องการฉี่ของเด็กน้อยเพื่อคลายความร้อน ลูกของข้าเห็นข้ารีบร้อนจึงฉี่ใส่ข้าเพื่อให้ข้าคลายความกังวล เรื่องก็เป็นเช่นนี้ มีอะไรไม่เหมาะสม แต่เจ้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว มาพบปะกับพวกคนเหล่านี้ที่ห้องโถง ไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย และยังไม่มีคนรับใช้คอยติดตาม ผิดจารีตของหญิงที่แต่งงานแล้ว เหตุใดจึงกล้าทำเช่นนี้”
หลี่อันหลานได้ยินก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าถูกจับได้เสียแล้ว ท่านพี่คิดจะทำเช่นไร หากข้าเข้าไปในบ้านของตระกูลอวิ๋น อาจทำให้ท่านต้องเป็นกังวล หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้ามีนิสัยเอาแต่ใจ ตอนนี้คนที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลอวิ๋นควรจะเป็นข้า และหรงเอ๋อร์ก็จะเป็นที่รู้จักกันดีในนามของนายน้อยตระกูลอวิ๋น ส่วนซินเย่วอย่างมากก็เป็นได้แค่ภรรยารอง มีหรือจะกล้าขึ้นเสียงกับข้า หรือว่าพรุ่งนี้ข้าจะเขียนฎีกาถึงท่านพ่อ แต่งงานใหม่กับท่านอีกครั้งดีหรือไม่ ท่านเป็นคนพรากความบริสุทธิ์ของข้าไป แต่งกับข้า อย่างไรท่านก็ไม่เสียเปรียบ”
อวิ๋นเยี่ยเขี่ยจมูกเบาๆ บอกให้ตัวเองอย่าไปสนใจ อธิบายอย่างไรนางก็คงไม่เข้าใจ ผู้หญิงที่ใสซื่อมักจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ ไม่รู้ทฤษฎีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่อย่างไรก็คิดว่าผู้ชายไม่มีเหตุผล คนอย่างข้าไม่ถือสาผู้หญิงหรอก สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินหลบไปจะดีกว่า
“ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ท่านจะหนีไปไหน มีที่ไหน ท่านโหวของหลิ่งหนานที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นฉี่” ตอนนี้หลี่อันหลานรู้แล้วว่าเรื่องนี้ควรพูดได้แค่ไหน เห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังจะเดินหนีไปก็รู้สึกเจ็บปวด แต่กลับไม่แสดงออกบนใบหน้า สองปีแห่งความทรมานทำให้ผู้หญิงที่มีความหยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนแอ
เขาพาวั่งไฉออกมาจากคอกม้า เจ้านี่วันๆ ช่วงนี้ไม่ไปไหน ทั้งวันเอาแต่เดินไปมาบริเวณรอบๆ คอกม้าตัวเมีย อวิ๋นเยี่ยบอกกับคนเลี้ยงม้าไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้วั่งไฉเข้าใกล้ม้าตัวเมีย ม้าทางตอนใต้นั้นมีลำตัวขนาดเล็ก เพื่อลูกหลานของวั่งไฉ ต้องให้มันอดทนอีกสักหน่อย ฤดูติดสัตว์ของม้าอย่างมากก็แค่หนึ่งเดือน อดทนอีกสักหน่อยก็ผ่านไปได้แล้ว
พึ่งจะเดินออกมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่บนราวบันไดของหอชุ่ยเฟิ่งโหลว ตะโกนร้องเสียงดังว่า “ข้านั้นเป็นคนบ้า ร้องเพลงหัวเราะเยาะขงจื๊อ” ได้ยินประโยชน์นี้อวิ๋นเยี่ยแทบจะงงไปหมด เลือดเริ่มสูบฉีดขึ้นสมอง ไม่คิดว่าจะได้เจอหลี่ไป่ที่นี่ โชคดีจริงๆ
พาวั่งไฉเดินเข้าไปในหอชุ่ยเฟิ่งโหลว เตรียมตัวเข้าไปคำนับคนที่เป็นต้นแบบในดวงใจ เหลาเป่าจึเห็นผู้ชายสามคนและม้าหนึ่งตัวเดินเข้ามา ก็รีบไปต้อนรับ แต่กลับถูกแขนของหลิวจิ้นเป่ากันออกไป ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้ชายที่ท่องบทกวีเมื่อครู่คือใคร ไปเรียกเขามา นายท่านของข้าต้องการเจอเขา”
เหลาเป่าจึมีความเป็นมืออาชีพสูง ถึงจะถูกผลักออกไปแต่ก็ไม่แสดงอาการโกรธ หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านกำลังถามหาเซี่ยวชังเซิงหรือ เขาไม่มีเงินคิดจะเบี้ยวเงินแล้วหลบหนีไป แต่ถูกฮวาเหนียงลากกลับมา ท่านเป็นเพื่อนของเขาหรือ” เหลาเป่าจึถามกลับ ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา ตงอวี๋ก็พูดไม่เป็น เช่นนั้นจึงต้องถามหลิวจิ้นเป่า
“พาเขาออกมา ข้ามีเรื่องจะถามเขา” อวิ๋นเยี่ยนั่งลงบนเบาะนุ่นๆ แล้วหยิบขนมบนโต๊ะป้อนให้วั่งไฉ
หลิวจิ้นเป่าผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าเป่าจึนั้นรู้จักดี เมื่อเจอเขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนหลบอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่ม รู้ทันทีว่าควรทำอย่างไร
“ฮวาเหนียง เอาผู้ชายของเจ้าลงมา มีแขกต้องการเจอเซี่ยวชังเซิง เร็วๆ หน่อย” พอพูดเสร็จนางก็รู้สึกแปลกๆ มาถึงหอนางโลมไม่ต้องการเจอสาวงาม แต่กลับรีบร้อนจะเจอผู้ชาย หลายปีมานี้ไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน
มะปรางของหอนางโลมมีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว สีเหลืองอร่ามใครเห็นก็ชอบ อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวช้าๆ เพื่อรอเซี่ยวชังเซิงออกมา อยากจะรู้ว่าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงท่องบทกวีของหลี่ไป่ได้ ความสามารถนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่มี หรือว่าที่มาของเด็กคนนี้ก็คลุมเครือเช่นกัน?
หญิงอ้วนสวมใส่ชุดแพรแบกคนเมาที่ใส่ชุดสีครามเดินลงมาจากบันได เดินเข้ามาแล้ววางผู้ชายคนนั้นลงบนเบาะนั่งแล้วพูดว่า “นายท่าน เซี่ยวชังเซิงเป็นเพียงศิษย์ที่ฐานะต้อยต่ำ อาจจะปากเสียอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้นายท่านต้องขุ่นเคือง”
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร หันไปพูดกับตงอวี๋ว่า “ทำให้เขาตื่น”
ตงอวี๋ยิ้มแล้วเดินออกประตูใหญ่ไป แขนทั้งสองข้างยกโอ่งเก็บน้ำฝนที่มีน้ำอยู่เต็มโอ่งขึ้น จากนั้นเอาเข้ามา วางโอ่งน้ำฝนไว้บนพื้น วิธีการทำให้เขาตื่นก็คือดึงเซี่ยวชังเซิงขึ้นมาแล้วจับหัวเขากดลงไปในโอ่ง หัวยังไม่ทันจมลงไปเขาก็สำลักน้ำเสียแล้ว
ฮวาเหนียงรีบร้อนจะเข้าไปช่วยเซี่ยวชังเซิง แต่ว่าถูกแขนของตงอวี๋กันออกไป ฮวาเหนียงจึงได้งับแขนของเขา
ตงอวี๋ขมวดคิ้ว สะบัดแขนออก ผลักฮวาเหนียงกระเด็นออกไปชนกับชั้นวางดอกไม้ ถูกชั้นวางดอกไม้ล้มทับก็ร้องไห้กองอยู่กับพื้น
“หยุด…เดี๋ยวนี้ มีเรื่องอะไร ก็มาลงที่ข้า สุภาพบุรุษอะไรรังแกผู้หญิง”
เซี่ยวชังเซิงเกาะอยู่ขอบโอ่ง ลูบน้ำบนใบหน้า พูดอย่างติดๆ ขัดๆ
อวิ๋นเยี่ยคายมะปรางทิ้ง ผลไม้ชนิดนี้กินมากจะทำให้ปากมีรสขม เช็ดมือแล้วนั่งลงถามเซี่ยวชังเซิงว่า “ได้ยินบทกวีนั้นมาจากที่ไหน”