เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 42 คู่รักอลวน
เซี่ยวชังเซิงหาวอย่างขี้เกียจแล้วพูดว่า “นี่เป็นบทกลอนที่ข้าอ่านจากหนังสือของห้าตระกูลในหลิ่งหนาน มีความโดดเด่นและสนุกสนาน เพียงแต่ว่าตัวอักษรบนโลกใบนี้มองดูแล้วน่าเบื่อ ดูประหลาด อย่างเช่นประโยคที่ว่า ‘ข้าเป็นคนบ้าที่ร้องเพลงเยาะเย้ยขงจื๊อ’ เจ้าเองก็เป็นคนมีการศึกษา เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็คิดว่าหากเขาเป็นคนแต่งประโยคนี้ขึ้นมาเองสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก หลี่ไป่ได้เขียนประโยคนี้ในบทกลอน ‘ท่องเขาหลูซาน’ ใครพูดประโยคนี้ออกมาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยกเว้นคนหลอกลวงที่อยู่ตรงหน้านี้ อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วกลับไปนั่งบนเบาะ พร้อมกับป้อนขนมอีกชามให้กับวั่งไฉ
ตงอวี๋ยิ้มแล้วเอามือคว้าผมของเซี่ยวชังเซิงไว้เตรียมจะกรอกน้ำใส่ปากเขา ไอ้เจ้านี่ยังดูไม่ออกว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร จนถึงตอนนี้ยังจะกล้าหลอกท่านโหวอีก นี่เป็นสิ่งที่ตงอวี๋ทนไม่ได้ ตั้งแต่เขาติดตามอวิ๋นเยี่ยมา ก็มีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าให้ใส่ แล้วตัวเองก็ยังพอหาเงินเก็บได้บ้าง เมื่อกลับไปที่ซานตงก็จะเอาเงินให้ภรรยาไว้เลี้ยงลูก เขาพร้อมที่จะติดตามอวิ๋นเยี่ย เพราะดูแล้วว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นเจ้านายที่ดี
เมื่อก่อนที่ไม่ชอบพวกขุนนางก็เพราะว่าตัวเองมักจะถูกกดขี่ข่มเหง แต่ตอนนี้สถานะของตัวเองดีกว่าเดิมตั้งสองเท่าก็เลยเลือกที่จะลืมเรื่องความยากลำบากทั้งหมดไป ร่วมมือกับพวกคนพาลพวกนั้นอย่างไร้จิตสำนึก และยังโหดร้ายยิ่งกว่าขุนนางพวกนั้น หากลงมือแล้วจะไม่มีคำว่าเมตตา นี่คือความจริงที่น่าเศร้า
เซี่ยวชังเซิงกำลังจะอ้าปาก แต่ตงอวี๋กลับกดหัวเขาลงไปในน้ำไม่ให้โอกาสเขาได้พูด มือของเขาทั้งสองข้างจับปากโอ่งไว้แน่น พยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาแต่กลับไม่ได้ผล
ฮวาเหนียงเริ่มร้องไห้อีกครั้ง นางคิดว่าเซี่ยวชังเซิงถูกกดน้ำจนตายไปแล้ว
เมื่อเซี่ยวชังเซิงถูกหิ้วตัวขึ้นมาอีกครั้งเขาก็สลบไปแล้ว ตงอวี๋โยนเขาลงกับพื้นแล้วเหยียบบนท้องของเขาพร้อมกับถ่มน้ำลายออกมา…
“ต้าถังไม่มีผู้นำคนไหนที่มีอำนาจแต่ไร้ชื่อเสียง และไม่มีสามัญชนคนไหนที่จะมายิ่งผยองกับคนชั้นสูงได้ ในเมื่อเจ้าท่องกลอนล่อให้ข้ามาที่นี่ คาดว่าเจ้าคงจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง กลอนประโยคนั้นดึงดูดความสนใจของข้าได้ ถือว่าเจ้าทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ขอเพียงแค่เจ้ากล้าแสดงออกเหมือนกับที่เจ้ากล้าท่องกลอนเมื่อครู่ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะแนะนำเจ้าต่อราชสำนัก”
เซี่ยวชังเซิงพลิกตัวอยู่บนพื้นอย่างยากลำบาก กองอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพ
“กลอนประโยคนั้นสลักอยู่บนหน้าผาของเขากงซิ่วซานที่เยว่โจว พวกชาวบ้านไม่รู้ว่าคืออะไร หลังจากที่ข้าได้เห็นมันจึงบอกทุกคนว่าข้าเป็นคนทำขึ้นมา อวิ๋นโหว ข้าเพียงแค่ยืมบทกวีประโยคนี้เพื่อหาโอกาสในหน้าที่การงาน ในเมื่อท่านมองออกแล้ว เหตุใดต้องทำให้ข้าอับอายถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สบายใจ เพราะว่าเวลาที่คนสมัยก่อนไม่มีอะไรทำก็มักจะไปแกะสลักข้อความลงบนหิน ตอนนั้นวรรณกรรมของแคว้นฉู่นั้นเป็นที่นิยม ไม่ได้สนใจในลัทธิของขงจื๊อมากนัก พวกเขาปลดปล่อยความมีเสน่ห์ไว้ในภูเขาและแม่น้ำ การที่พวกเขาจะทิ้งประโยคดีๆ ไว้บนก้อนหินก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“เซี่ยวชังเซิง เจ้าอย่าโทษที่ข้าลงไม้ลงมือกับเจ้า สาเหตุก็เพราะว่าเจ้าสมควรโดนจริงๆ ชื่อของเจ้าเพียงแค่คนได้ยินก็อยากจะต่อยเจ้าแล้ว วันๆ เจ้าไม่ทำการทำงานเอาแต่เดินเที่ยวอยู่ในหอนางโลมทั้งวัน ได้ยินเหลาเป่าจึบอกว่าเจ้ายังต้องให้คนรักของเจ้าคอยเลี้ยงดูเจ้า เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ ผู้ชายที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเลี้ยงดูไม่ได้ เจ้าคิดว่าต้าถังจะอยากได้เจ้าไปทำไม
ตัดตอนเอาบทความมาใช้ อ่านหนังสือตลอดชีวิต อยู่แต่กับกองหนังสือไม่สนใจโลกภายนอก ใช้ทักษะความรู้หลอกลวงคนอื่นไปทั่ว ถือเป็นการดูหมิ่นคนอื่น เซี่ยวชังเซิงในเมื่อเจ้าเลือกที่จะใช้วิธีนี้เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมรับความอับอาย คิดจะใช้กลอนประโยคเดียวเพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เจ้าฝันไปเถอะ”
เซี่ยวชังเซิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สองเดือนมานี้เขาคอยวนเวียนอยู่ที่หน้าจวนองค์หญิงทุกวัน เพื่อที่จะหาโอกาสแนะนำตัวเองกับท่านโหวที่มาจากเมืองหลวง หวังว่าจะยืมอำนาจของเขาพาตัวเองออกจากดินแดนทุรกันดารอย่างหลิ่งหนาน เคยได้ยินว่าคนตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองฉางอันชอบบทความของจวนหัวเป็นที่สุด ประโยคที่เขียนถึงความอันตรายและดูแปลกใหม่ล้วนเป็นที่นิยมชื่นชอบ บางคนอาศัยกวีเพียงประโยคเดียวก็สามารถเลื่อนขั้นในหน้าที่การงานได้ วันๆ เอาแต่เฉลิมฉลอง ตัวเองเจอกลอนประโยคนี้โดยบังเอิญ คิดว่าพระเจ้ากำลังอวยพรให้ ใครจะไปรู้ว่าการพูดประโยคนี้ออกมาผลกลับไม่เหมือนกับที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย มีแต่คำดูถูก
เดิมทีตัวเองเป็นลูกชายของชาวประมง ไม่ชอบอาชีพการงานของบรรพบุรุษ จึงหวังจะอาศัยการจำอักษรไม่กี่คำมาทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม แต่ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นแค่ฝันกลางวัน
“อวิ๋นโหว เซี่ยวชังเซิงเข้าใจแล้ว แต่เดิมข้าเป็นลูกชาวประมง มีความใฝ่ฝันที่จะก้าวไปให้สูงกว่านี้ หากข้าทำอะไรผิดไปก็ขอให้ท่านอภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าจะกลับบ้านไปหากองทัพเดินเรือ วาดแผนที่ทะเลเพื่อหาเงินมาไถ่ตัวให้กับฮวาเหนียง สองสามวันที่ผ่านมานี้หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ช่วยข้าเอาไว้ ไม่แน่ข้าอาจจะตายไปแล้ว ที่นางโวยวายไปเมื่อครูก็ขอให้ท่านโหวอภัยให้นางด้วย อย่าถือสาเอาความกับผู้หญิงเต้นกินรำกินเลย หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปมันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านโหว”
เมื่อคนคนหนึ่งกลับมาเป็นตัวเอง มันทำให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจน ดูไม่จอมปลอม ไม่ดูอวดรู้ มีเพียงแค่ความซื่อตรง ดังนั้นตงอวี๋จึงได้ปล่อยเขาไป มองดูเขาดันตัวเองออกมาจากโอ่งเนื้อตัวเปียกชุ่มไปหมด แล้วยกชั้นวางของขึ้น ตามด้วยช่วยฮวาเหนียงลุกขึ้นมา
“ฮวาเหนียง ข้าจะจดจำบุญคุณของเจ้า รอให้ค่าตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นร้อยเท่า แต่ตอนนี้ข้าล้มเหลว ข้าไม่ได้ทำได้ทุกอย่างอย่างเจ้าคิด ต่อไปข้าก็อาจจะยังเป็นคนจนคนหนึ่ง หากเจ้าไม่รังเกียจข้าจะหาเงินมาไถ่ตัวให้เจ้า ชาตินี้เราสองคนใช้ชีวิตร่วมกันเถอะ”
ฮวาเหนียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พวกผู้หญิงชั้นสองที่มองดูเหตุการณ์อยู่ก็น้ำตาไหล แม้แต่เหลาเป่าจึก็เช็ดน้ำตาไม่หยุด หลิวจิ้นเป่าเผลอยิ้มออกมา ตงอวี๋ก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เรื่องราวดีๆ ใครๆ ก็ชอบกันทั้งนั้น แม้ว่าตอนจบของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุขจะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมากนัก เซี่ยวชังเซิงไม่ได้มีชุดแพรสวยงามมาสู่ขอฮวาเหนียง แต่ว่าความรักของชายผู้มีฐานะต่ำต้อยคนนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกประทับใจ ในตอนนี้มีใครบ้างที่จะไม่ยกย่องว่าเซี่ยวชังเซิงเป็นผู้ชายที่เชื่อมั่นในความรัก
มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่รู้สึกโมโห เขาบอกกับตงอวี๋ว่า “จัดการไอ้หมอนี้อีกสักที น่าโมโหยิ่งนัก”
ตงอวี๋มองท่านโหวด้วยความลำบากใจ เห็นท่านโหวโมโหจนแทบจะลุกเป็นไฟก็ทนไม่ได้จึงรีบวิ่งออกไปดึงเซี่ยวชังเซิงไว้แล้วต่อยเข้าที่ท้องของเขา แต่เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงได้ยั้งมือไว้ไม่ได้ใส่เต็มแรง แต่แค่นี้เซี่ยวชังเซิงก็ตัวงอเป็นกุ้งแล้ว ฮวาเหนียงพุ่งเข้ามาด้วยความโมโห นางส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา อ้าปากกำลังจะกัดตงอวี๋ แต่กลับถูกหลิวจิ้นเป่าดึงคอเสื้อเอาไว้
บรรยากาศในหอนางโลมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อกี้ผู้คนที่เฝ้าดูสถานการณ์ยังมีรอยยิ้ม แต่ตอนนี้กลับยิ้มกันไม่ออก เหลาเป่าจึอยากจะออกโรงอยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกองครักษ์ห้ามไว้ ทำได้เพียงแค่มองอวิ๋นเยี่ยเหมือนกับนางโลมคนอื่นๆ และแขกคนอื่นๆ ในหอนางโลม ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกถึงภาพยนตร์ในยุคหลังที่คนคนหนึ่งถูกฝูงชนล้อเลียนหลังจากที่เขาทำชั่ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีอัศวินผู้ชอบธรรมปรากฏตัวขึ้นมา มีก็แต่คนดูถูก คนไร้ประโยชน์ คนโมโหโกรธแค้น และคนขี้ขลาด
รู้อยู่แล้วว่าต้องจบเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เตะก้นของเซี่ยวชังเซิงไปสองสามที จากนั้นให้ตงอวี๋พยุงเขาขึ้นมามองหน้าตัวเอง
“สารเลว เจ้าทำให้ท่านโหวอย่างข้ากลายเป็นคนชั่วในพริบตา เดี๋ยวก็ดื้อรั้นไม่ฟังใคร เดี๋ยวก็อ่อนโยนราวกับสายน้ำ เพื่อที่จะเสนอตัวเองให้กับราชสำนัก เจ้าก็ทำได้ทุกอย่างโดยไม่มีความละอายใจ ผู้หญิงที่น่าสงสารเช่นนี้เจ้าก็ยังหลอกใช้ประโยชน์จากนาง นางถูกหลอกจนหน้ามืดตามัวแต่ก็ยังคิดที่จะช่วยเจ้า เจ้ามันไม่มีความเป็นคน แสดงต่อหน้าทุกคนว่าเจ้านั้นมีความรักที่แท้จริงมอบให้แก่ผู้หญิงเต้นกินรำกินผู้นี้ แล้วยังทำให้ข้ากลายเป็นคนชั่ว เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ เพื่อที่จะแก้แค้นข้า เจ้าลงทุนไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้หลิวจิ้นเป่าถึงดึงสติกลับมาได้ ที่แท้ไอ้สารเลวคนนี้กำลังแสดงละคร เสียแรงที่ข้าแอบว่าท่านโหวอยู่ในใจ อยากจะพุ่งเข้าไปอัดไอ้สารเลวนี่ให้เละ เซี่ยวชังเซิงที่ดูทุกข์ร้อนเมื่อกี้กลับดิ้นหลุดออกจากมือขอตงอวี๋ไปได้ เขาวิ่งขึ้นไปบนหอ ยืนอยู่บนจุดที่สูงสุดแล้วพูดว่า “ท่านโหว แผนการของข้าครั้งนี้ถูกท่านมองออกจนได้ ข้าเพียงแค่อยากจะขอทำหน้าที่วาดแผนที่ทะเล ในเมื่อท่านมองออกแล้วเหตุใดไม่ตอบตกลง ข้าเป็นแค่คนผู้น้อย ท่านให้งานนี้แก่ข้าเถิด”
พูดเสร็จก็หันไปมองหลิวจิ้นเป่าและตงอวี๋ที่กำลังวิ่งตามขึ้นมา เซี่ยวชังเซิงตะโกนออกไปว่า “อย่าเข้ามา หากเข้ามาข้าจะกระโดดลงไป”
อวิ๋นเยี่ยโบกมือส่งสัญญาณว่าไม่ต้องบังคับเขา จากนั้นนั่งลงบนเบาะแล้วพูดว่า “เจ้าวาดแผนที่ทะเลได้จริงหรือ”
“ข้าวาดได้จริงๆ ข้าล่องเรือกับชาวหูมาเป็นเวลาสามปี การวาดแผนที่ทะเลไม่ใช่เรื่องยาก ข้ายังพูดภาษาของชาวหูได้อีกด้วย ท่านโหวข้าวาดได้จริงๆ หากไม่เชื่อท่านดูข้าวาดแผนที่ก็รู้แล้ว” พูดเสร็จก็หยิบกระดาษสาออกมาจากเสื้อพร้อมกับทำหน้าตาเศร้าสร้อย
“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ชาวหูมักจะวาดแผนที่ทะเลลงบนหนังแกะ เจ้าคิดจะเอากระดาษสามาหลอกข้าอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการที่เขาเอาแต่ระแวงชายคนนี้มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทีเดียว
“ท่านโหว เรื่องอื่นข้ากล้าหลอกท่าน แต่เรื่องแผนที่ทะเลหากวาดผิดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ข้าไม่มีความกล้าเช่นนั้น กระดาษพวกนี้ข้าทำออกมาด้วยความตั้งใจ ท่านก็เห็นว่าข้ายากจนแค่ไหน จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหนังแกะ กระดาษพวกนี้เป็นกระดาษที่ฮวาเหนียงแอบฉีกออกมาจากบัญชีของเหลาเป่าจึ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สบายใจ ขอเพียงแค่เจ้านี่มีความสามารถพอ เข้าไปในตระกูลอวิ๋นก็ยังค่อยๆ สอนได้ ตอนนี้พวกเหล่าเจียงคงว่างจนพากันเบื่อไปหมดแล้ว
พึ่งจะเงียบสงบลงก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมาที่ข้างหูแล้วต่อด้วยเสียงด่าทอ เห็นแต่เหลาเป่าจึท่าทางโมโห ใช้มือตีฮวาเหนียงไม่หยุด
“เจ้านี่มันจริงๆ เลย ตัวเองไปติดผู้ชายข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้ายังกล้ามาฉีกสมุดบัญชีของข้า หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้า เห็นทีว่าจะไม่มีใครทำตามกฎของหอชุ่ยเฟิ่งโหลวแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเห็นเซี่ยวชังเซิงเบือนหน้าหนี ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นฮวาเหนียงเดือดร้อน จึงพูดกับตัวเองขึ้นมาลอยๆ “ไอ้นี่มันก็ไม่ได้ใจดำอำมหิตอะไร เมื่อครู่ก่อนเจ้าก็แสดงท่าทีทำเป็นรักฮวาเหนียง แล้วเหตุใดข้าจะไม่ส่งเสริมเจ้า เซี่ยวชังเซิง อย่างไรชาตินี้หากเจ้าไม่อยากความรักก็คงไม่ได้”
หลังจากบ่นพึมพำเสร็จ ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรดีๆ ออก แล้วพูดกับเหลาเป่าจึว่า “เหลาเป่า ค่าตัวฮวาเหนียงเท่าไหร่ ข้าจะไถ่ตัวนาง”
เหลาเป่าจึยิ้มหน้าบานทันที ฮวาเหนียงอายุมากแล้ว ไม่มีแขกคนไหนเรียกหานางแล้ว ตอนนี้ท่านโหวต้องการซื้อนาง ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ขายในราคาที่ดีได้
แววตาอันสดใสของฮวาเหนียงได้หายไปในทันที มองไปหาเซี่ยวชังเซิงที่อยู่ด้านบนด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง หวังว่าเขาจะช่วยขอร้องแทนนาง เซี่ยวชังเซิงอยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก ยื่นมือมากุมมือของฮวาเหนียงไว้แล้วพูดว่า “ฮวาเหนียงจะได้เข้าประตูมังกร นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
“เหลาเป่าจึ ค่าตัวฮวาเหนียงเท่าไหร่เจ้าก็ไปเก็บที่เถ้าแก่หลิว วันนี้ข้าขอยืมสถานที่แห่งนี้จัดงานมงคล งานต้องยิ่งใหญ่ ต้องมีแขกเหรื่อเยอะแยะมากมาย อาหารต้องอร่อย จะราคาเท่าไหร่ข้าไม่สน เจ้าไปเก็บกับเถ้าแก่หลิวเอง ข้าเพียงแค่อยากให้ฮวาเหนียงและเซี่ยวชังเซิงได้ครองรักกันตลอดไป ห้ามเลิกกันเด็ดขาด!” อวิ๋นเยี่ยกล่าวด้วยถอยคำที่หนักแน่น