เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 43 ชาวต้าสือ
แสงอาทิตย์ในตอนเช้ามืดค่อยๆ ปรากฏขึ้น อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นจากที่นอนซึ่งมีหลี่อันหลานนอนอยู่ข้างๆ ทางกองทัพส่งข่าวสารมา ตอนนี้คลื่นทะเลได้ซัดเข้าฝั่งอย่างรุนแรง ลมมรสุมกำลังจะมา เขาไม่อยากนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงจึงลุกขึ้นมาตรวจสอบสถานการณ์ของกองทัพเรือ
“นอนอีกหน่อยเถอะ เมื่อวานเจ้าตรวจเอกสารจนดึกดื่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสุขภาพของเจ้าจะแย่เอาได้ ตลอดทางเดินเรือมีคลื่นลูกใหญ่ซัดมาไม่หยุด เป็นเช่นนี้เจ้าจะยิ่งเหนื่อยมากกว่าเดิม” หลี่อันหลานขยี้ตาก่อนจะลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เรื่องนี้สำคัญมาก จะละเลยไม่ได้น่ะ พ่อของเจ้ากำลังมีเรื่องขัดแย้งกับพวกขุนนางในราชสำนัก ในเวลานี้เขาต้องการสิ่งเหล่านี้มากที่สุด หากส่งถึงฉางอันได้อย่างราบรื่นข้าถึงจะสบายใจ”
“เจ้าไม่ใช่คนที่ขยันขันแข็ง ครั้งนี้เจ้าตั้งใจมากเพราะว่าเขาคือพ่อของข้า หรือว่าเป็นเพราะเขาคือฮ่องเต้กันแน่”
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางอยากจะถามอะไร เขายิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จูบที่หน้าผากของหลี่อันหลานเบาๆ จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาห่มให้นางแล้วเปิดประตูเดินออกไป ได้ยินหลี่อันหลานพูดรางๆ ว่าคาดหวังให้ลมมรสุมจะไม่เกิดขึ้น
หน้าประตูใหญ่มีคนสองคนยืนอยู่ หญิงหนึ่งชายหนึ่ง ผู้หญิงใบหน้ายิ้มเบิกบาน ส่วนผู้ชายนั้นมีสีหน้าอมทุกข์ คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมดูแล้วช่างน่าขันเสียจริง
“เซี่ยวชังเซิงไปริมทะเลกับข้า ส่วนฮวาเหนียงไปหาจางจูหวน ให้นางจัดที่พักและอาหารให้แก่เจ้า” อวิ๋นเยี่ยพูดออกมาโดยที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้โค้งคำนับ หลิวจิ้นเป่าให้ม้าเซี่ยวชังเซิงไปหนึ่งตัว ส่วนตัวเองก็จูงออกมาจากคอกอีกหนึ่งตัว จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็พากันควบม้าไปที่ท่าเรือ
ช่วงนี้หงเฉิงกำลังแจกแจงทรัพย์สมบัติ ภายใต้การจัดการที่โหดร้ายทำให้พวกตระกูลที่ไม่อยากส่งมอบทรัพย์สมบัติตอนนี้ยอมบริจาคให้กับประเทศแต่โดยดีแล้ว ทั้งหมดมายืนอยู่ด้วยกันที่ริมทะเล ส่วนพวกทหารก็พากันขนทรัพย์สมบัติขึ้นไปบนเรือมู่หลาน เรือที่ลำใหญ่ที่สุด
ท่าเรือวุ่นวายไปหมด ทหารพากันแบก**บขึ้นเรือไม่หยุดไม่หย่อน เหมือนมดที่กำลังย้ายบ้าน ในบริเวณทะเลลึกมีเรือสำเภาจอดอยู่ห้าสิบหกลำและเรือมู่หลานอีกสิบลำ และเรือโคบุกซอนอีกเล็กน้อย มีไว้เผื่อป้องกันการโจมตีของเรือโจรสลัด
“เหล่าหง เรือบรรจุเต็มหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยเดินมาอยู่ข้างหลังหงเฉิงผู้เศร้าสร้อยแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อวิ๋นโหว เหลืออีกไม่ถึงหนึ่งส่วนก็จะบรรจุเต็มแล้ว คงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงขอรับ” ตอนนี้หงเฉิงรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
“อวิ๋นโหว การที่เอามีดมาจ่อคอสหายที่เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ”
เขาส่ายหัวอย่างแรง หวังจะเอาเรื่องที่ไม่สบายใจออกจากหัวให้หมด ช่วงนี้หงเฉิงฆ่าคนเยอะ ฆ่าอยู่ทุกวัน แล้วคนพวกนั้นก็เป็นเพื่อนทหารที่ร่วมรบกันในศึกสงครามมาก่อน ถูกเงินทองครอบงำจนหน้ามืดตามัว หกส่วนของทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องเป็นของฮ่องเต้ นี่เป็นมาตรฐานตายตัวห้ามเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด พวกทหารเหล่านั้นเพื่อที่จะให้ครอบครัวของพวกเขาได้รับประโยชน์สูงสุดก็พากันขอร้องบ้าง ร้องไห้โวยวายบ้าง ข่มขู่บ้าง หรือติดสินบนบ้างก็มี
หลังจากที่มีคนใช้วิธีพวกนี้ก็ทำให้มีการขัดแย้งเกิดขึ้น ภายในคืนเดียวมิตรภาพก็มหายไป หงเฉิงเป็นคนเด็ดขาด ชิงลงมือควบคุมพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะลงมือ จับกุมหกสิบเจ็ดคนที่ไม่พอใจต่อแผนการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติ หลังจากที่ย้ำเตือนหลายๆ รอบไปแล้วแต่คนเหล่านั้นก็ยังคงเฉยเมย ภายใต้การจัดการของอู๋เสอ พวกคนเหล่านั้นทั้งหมดจึงได้รับโทษประหารด้วยวิธีการตัดหัว
“เหล่าหง ก็ถือเสียว่าพวกเขาได้ตายในสนามรบที่หลิ่งหนาน เช่นนี้จึงจะจัดการได้ง่าย เพราะอย่างไรมันก็เป็นข้อเสนอของข้าเองที่ทำให้พวกเขาต้องจบชีวิต ครั้งนี้ก็นำรายได้ส่วนหนึ่งของตระกูลอวิ๋นชดเชยให้กับคนในครอบครัวของเขาซะ ข้าคิดว่าฝ่าบาทก็คงจะเห็นด้วย ทำตามแผนนี้ไปก่อน หากมีปัญหาข้าจะรับผิดชอบเอง”
ในกองทัพเรือทั้งหมดมีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจในการแจกแจงทรัพย์สมบัติ เขาไม่อนุญาตให้แตะต้องในส่วนของฮ่องเต้ ในช่วงสำคัญที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญหน้ากับพวกขุนนาง อำนาจของฮ่องเต้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม จะอ่อนแอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ความมีเมตตาของอวิ๋นโหวผุดขึ้นมาอีกแล้ว พวกที่ไม่เคารพราชวงศ์สมควรถูกประหาร ภรรยาและลูกสาวจะต้องถูกส่งมาเป็นทาส บอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ขัดขืนต่อราชวงศ์จะต้องเจอกับอะไร”
อู๋เสอเหมือนผีที่ลอยไปลอยมาได้ จู่ๆ เสียงของเขาก็ดังอยู่ที่ข้างหูของอวิ๋นเยี่ย ทำเอาอวิ๋นเยี่ยเสียวสันหลังไปหมด
“อู๋เสอ คราวหลังช่วยเดินมาแบบให้สุ้มให้เสียงหน่อยได้หรือไม่ โผล่มากะทันหันแบบนี้บ่อยๆ สักวันข้าจะถูกเจ้าทำให้ตกใจตาย ข้าเคยถูกโต้วเยี่ยนซานทำให้ตกใจ แทบจะตั้งตัวไม่ทัน”
“อวิ๋นโหวไม่พอใจที่ข้าฆ่าคนอย่างนั้นหรือ”
“เหลวไหล! เป็นคนต้าถังด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาถูกฆ่ามีหรือข้าจะไม่เสียใจ หากเป็นชาวเกาลี่ในแคว้นวอ เจ้าจะฆ่าทิ้งเล่นทุกวัน ข้าก็สนับสนุนเจ้า อู๋เสอข้าอยากจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ในกองทัพเรือนี้ข้าเป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุด หากไม่มีคำสั่งข้าเจ้าจะฆ่าใครไม่ได้ทั้งนั้น คอยอยู่บนเรือมู่หลานดูแลทรัพย์สมบัติให้ดี แล้วส่งมอบให้กับฝ่าบาทอย่างราบรื่น นี่คือเรื่องที่เจ้าควรทำ”
ได้ฟังคำสอนของอวิ๋นเยี่ย อู๋เสอกลับไม่โกรธเลยสักนิด เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “การมีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ไม่ใช่คุณสมบัติของการเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อไม่มีจิตใจอำมหิต โหดร้าย ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นขุนนางที่ดีได้เช่นไร เกรงว่าแม้แต่ตอนที่เจ้าหายตัวไป ความสำคัญของตระกูลเจ้าที่มีต่อราชวงศ์ก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตอนเจ้าไม่อยู่คนในตระกูลเจ้าได้รับความเดือดร้อน ภรรยาของเจ้ากล้าที่จะสวมชุดผู้บังคับบัญชาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ที่น่าแปลกก็คือฝ่าบาทกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย จางเลี่ยงเป็นถึงกั๋วกงยังต้องก้มหัวให้กับภรรยาของเจ้า ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าหลังจากที่เจ้ากลับไป จางกั๋วกงจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่”
“ข้าจะตัดแขนขาของจางเลี่ยงออกให้หมด ทำเป็นเยี่ยงอย่าง”
อู๋เสอหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ควงแขนหงเฉิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแล้วพูดว่า “ไม่ว่าคนคนนั้นจะโหดร้ายแค่ไหนแต่เขาก็หวังว่าจะมีเจ้านายที่มีจิตใจเมตตา ข้าน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น คาดว่าอีกหนึ่งปีข้าก็จะต้องออกจากพระราชวัง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะย้ายไปอยู่ที่สำนักศึกษา หาลูกศิษย์ที่มีความสามารถสักสองสามคนมาอบรมสั่งสอน ลองใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สักครั้ง เรื่องนี้เจ้าเคยรับปากข้าแล้ว อย่าคืนคำล่ะ”
สภาพของหงเฉิงเหมือนคนพึ่งตื่นจากความฝัน เหมือนอู๋เสอกำลังบอกกับเขาว่าอย่างไรคือวิธีการรักษาชีวิตได้ดีที่สุด ครั้งนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับขุนนางมากมาย ไม่ว่าไปที่ใดก็จะต้องพบเจอกับการแก้แค้น มีเพียงอาศัยอยู่ในสำนักศึกษาจึงจะสามารถรักษาเงินทองและชีวิตไว้ได้
มองอู๋เสอด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นก็หันไปโค้งให้กับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหวช่วยข้าด้วย!”
“หลังจากที่ข้ากลับไป หลิวเซี่ยนที่เป็นหัวหน้าสถานศึกษา ก็คงจะต้องไปรับตำแหน่งในกองทัพ หากเจ้าเก่งพอที่จะทำให้ฝ่าบาทยอมตกลงให้เจ้ามาอยู่ที่สำนักศึกษาได้ ข้าก็ไม่คัดค้านอะไร”
หงเฉิงและอู๋เสอมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็วิ่งไปที่ริมฝั่งทะเลอย่างอารมณ์ดี แล้วตำหนิพวกทหารขี้เกียจเหล่านั้นด้วยเสียงอันดัง
ในมือของหลิวเหรินย่วนถือแผนที่อยู่หนึ่งฉบับ ในปากคาบไข่เยี่ยวม้า เขาแอบเอามันมาจากห้องของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนให้ไข่ไก่ให้มีลักษณะใสเหมือนแก้วได้อย่างไร แต่อย่างไรเสียรสชาติก็ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติของปูนขาว เมื่อครู่จึงได้ลองจิ้มจิ๊กโฉ่วกิน ปรากฏว่ารสชาติอร่อยเป็นอย่างมาก
เขาดูแผนที่ในมืออยู่หลายครั้ง รู้สึกนับถือคนเขียนแผนที่เป็นอย่างมาก กล่อง**บลักษณะแบบไหนควรวางไว้ตรงไหน พื้นที่ซ้ายขวาหน้าหลังถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยทำให้มีพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่าที่พวกเขาวางกองกันไว้มั่วๆ ทำให้ประหยัดพื้นที่และเวลาเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ควรจะเรียนรู้ไว้
มีคนโง่คนหนึ่งให้คำแนะนำอวิ๋นเยี่ยว่าควรตอกตะปูเรือทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม้กระดานด้านบนก็จะไม่ถูกพายุซัด เมื่อพูดเสร็จก็ถูกหลิวเหรินย่วนต่อยจนฟันร่วงหมดปาก
หลังจากที่คนอวดฉลาดคนนั้นถูกต่อยแล้วก็ไม่มีใครอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมจึงถูกต่อย สุดท้ายก็ไปถามเอากับนักปราชญ์ในกองทัพ นักปราชญ์ตอบเขาว่าโจโฉเคยทำเช่นนี้ สุดท้ายก็ถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้วิธีนี้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในกองทัพเรือ
เริ่มมีเมฆลอยต่ำปกคลุมท้องฟ้า คลื่นซัดเข้าชายหาดดูสดใส ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าคลื่นวันนี้กับคลื่นของวันก่อนๆ แตกต่างกันอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเกิดฟองในทะเล
ตงอวี๋พยายามอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ ถึงขั้นตักน้ำในทะเลมาให้อวิ๋นเยี่ยดู แต่น่าเสียดายยิ่งเขาอธิบายอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งสับสน ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ควรมอบให้คนที่เป็นมืออาชีพดูแลจะดีกว่า ตัวเองคอยคุมอยู่ข้างหลังก็พอ
มีเพียงแค่วั่งไฉที่วิ่งตามคลื่นอยู่บนฝั่งอย่างมีความสุข แม้จะเจอเหตุการณ์ไม่ยุติธรรมมามากมายจนต้องเดินคอตก แต่ก็ยังคงมีความสุข วั่งไฉผู้น่าสงสาร มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มันได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณที่แท้จริง
“ท่านโหว มีชาวหูสองสามคนอยากจะพบท่าน” เซี่ยวชังเซิงที่หายหน้าไปนานได้ปรากฏตัวขึ้นจากฝูงชน พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทางประจบประแจง
“พวกเขาต้องการจะทำอะไร หากจะขอติดเรือไปด้วยข้าไม่ตกลง นี่คือกองทัพเรือจะพาคนอื่นนั่งไปด้วยไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกรำคาญเรื่องแบบนี้มาก ที่ปากของวั่งไฉมีปูเกาะอยู่ มันร้องด้วยความเจ็บปวด อวิ๋นเยี่ยจึงวุ่นวายอยู่กับการดึงปูออกให้มัน ใครจะมีเวลาไปเจอชาวหู
เซี่ยวชังเซิงตักน้ำจากทะเลเทลงกระดองปูอย่างชำนาญ ทำให้ปูตัวนั้นคลายก้ามออกแล้วตกลงบนพื้น วั่งไฉรีบหนีไปหลบอยู่ไกลๆ จ้องมองปูอย่างหวาดระแวง
“ท่านโหว ชาวหูเหล่านั้นมาจากดินแดนต้าสือสถานที่ที่เรียกว่าปาเก๋อต๋า อยากจะทำธุรกิจกับท่านโหว”
“ให้พวกเขาไสหัวไปตอนนี้ ข้าไม่ขาดแคลนพวกงาช้าง ไข่มุก อัญมณี ปะการัง คริสตัล กำยาน แล้วก็อำพันทะเล ต่อให้เป็นอินทผลัมข้าก็ไม่สนใจ กล้าดีอย่างไรมาหลอกข้า เซี่ยวชังเซิง เจ้าอย่ารับผลประโยชน์จากเขาแล้วรวมหัวกันมาหลอกข้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างอนาถ”
เซี่ยวชังเซิงรีบคุกเข่าลงแล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านโหว ข้าน้อยไม่มีความกล้าขนาดนั้น ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยากได้สิ่งของเหล่านั้น แต่ถ้าหากเป็นม้าดีล่ะ ม้าศึกทะเลทรายอย่างดี ข้าเห็นว่าม้าทั้งหมดสิบสองตัว ทุกตัวล้วนสูงและแข็งแรง เป็นม้าที่มีลักษณะดีทั้งหมด”
ม้าดีเสียที่ไหนกันล่ะ ม้าในทะเลทรายมักจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเมื่อไปอยู่ในทุ่งหญ้า ต่อให้เจ้าเอาม้าใหญ่และแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ปรับตัวไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์
แต่ว่าพอมองไปยังวั่งไฉผู้น่าสงสาร ทันใดนั้นก็คิดว่าหากจะหาม้าอาหรับตัวเมียให้มันสักตัวก็ถือเป็นเรื่องดี
“บอกกับพวกเขาว่าข้าต้องการแค่ม้าตัวเมียไม่เอาม้าตัวผู้แม้แต่ตัวเดียว” พูดเสร็จก็ปลดคริสตัลรูปกิเลนที่อยู่บนเข็มขัดแล้วโยนให้กับเซี่ยวชังเซิง
เซี่ยวชังเซิงประคองกิเลนอย่างระมัดระวังเดินไปที่เรือของชาวต้าสือที่อยู่ไกลๆ หลิวจิ้นเป่าเดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่นานก็จูงม้าวิ่งกลับมาห้าตัวอย่างมีความสุข เซี่ยวชังเซิงถือหมวกตัวเองไว้แล้ววิ่งกลับมาด้วย
“ท่านโหว นี่สิคือม้าชั้นดี ท่านดูที่หัวและขาทั้งสี่ข้าง ขาหลังของมันดูเป็นม้าที่สมบูรณ์แบบ เซี่ยวชังเซิงทำได้ดีมาก เอาเครื่องประดับของท่านไปแลกม้าชั้นดีมาห้าตัว แล้วยังแลกกำยานสามก้อนมาให้ภรรยารองในตระกูลอีกด้วย เป็นของชั้นดีที่ใช้ในการฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดบุตร”