เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 46 ดูหมิ่น
กองทัพเรือขนาดใหญ่กำลังแล่นอยู่บนทะเลสีคราม ลมมรสุมพัดแรงกระทบกับใบเรือทำให้เกิดคลื่น การล่องเรือไปตามชายฝั่งในสถานที่อันคุ้นเคยก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก ส่วนเรือที่ไม่เคยได้ล่องในน่านน้ำก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
หลิวเหรินย่วนนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของเรือ เซี่ยวชังเซิงให้คนมัดตัวเองไว้ที่หัวเรือ ในมือถือเชือกไนล่อนที่ทำสัญลักษณ์ตัวเลขไว้ แล้วหย่อนสารตะกั่วลงในทะเลจากนั้นก็ดึงขึ้นมาเพื่อรายงานจำนวนตัวเลข นักบัญชีบนเรือทำเครื่องหมายตัวเลขเหล่านี้ทีละอันลงบนแผนที่ทะเลขนาดใหญ่
กลุ่มผู้ชายที่ไม่ได้ใส่เสื้อพากันคลานอยู่บนพื้นเรือเพื่อเช็ดทำความสะอาดอย่างตั้งใจ หากพื้นเรือไม่ได้รับการทำความสะอาดจะส่งผลประทบต่ออายุการใช้งานของเรืออย่างรุนแรง เสียงนกหวีดไม้ไผ่ดังขึ้น พวกคนรับใช้ก็พากันยืนขึ้นแล้วเทน้ำสกปรกทิ้งลงทะเล จากนั้นก็ตักน้ำจากทะเลเพื่อใช้ล้างมือ แล้วนั่งเบียดกันอยู่ที่พื้นเรือ พ่อครัวแบกถังขนาดใหญ่มาแล้วตักข้าวใส่จานให้พวกเขาแต่ละคนจนเต็มจานและตักซุปปลาให้หนึ่งช้อน จากนั้นก็ให้ส้มคนละหนึ่งลูก ถึงแม้จะรสชาติเปรี้ยวเป็นอย่างมากแต่พวกเขากลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อย พ่อครัวถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เวรกรรมจริงๆ” แล้วก็แบกถังข้าวลงไปที่ห้องโดยสาร
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนดาดฟ้า เกาท้องวั่งไฉที่นอนอยู่ข้างๆ เขา มันดูพอใจเป็นอย่างมาก ในม้าตัวเมียห้าตัวมีสามตัวที่เริ่มติดสัตว์แล้ว วั่งไฉยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านหลังเรือสี่ห้าวัน พึ่งจะมีเวลาคิดถึงอวิ๋นเยี่ย เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนพื้นตัวเองจึงทิ้งตัวลงไปนอนบ้าง
“อวิ๋นโหว ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าโจรสลัดพวกนั้นทั้งหมด แต่กลับนำทาสเหล่านี้กลับไปยังฉางอัน พวกเขาไม่มีลิ้นหากอยู่ที่ฉางอันก็คงเอาชีวิตไม่รอด”
อวิ๋นเยี่ยหาวหนึ่งทีแล้วพูดกับอู๋เสอว่า “บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ว่าพวกเขาอยู่ไม่ถูกที่ หากพวกคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้าสือคาดว่าคงอยู่ไม่รอดถึงหนึ่งปี แต่ว่าหากอยู่ที่ต้าถัง มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเหมาะกับพวกเขา หรือจะพูดว่าสถานที่แห่งนั้นต้องการคนอย่างพวกเขาก็ได้ แล้วก็มีเพียงคนอย่างพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถเก็บความลับนั้นได้ แม้ว่าชีวิตนี้พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกจากสถานที่แห่งนั้นได้ก็จริง แต่ข้ารับประกันได้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่บนเรือของชาวต้าสือเป็นพันเท่า”
อู๋เสอนั่งยองๆ ลงแล้วลูบคอให้วั่งไฉ นับตั้งแต่ที่วั่งไฉคาบเค้กถั่วเขียวมาให้เขา เขาก็เริ่มรู้สึกดีกับมัน แม้ว่าจะไม่กินของที่วั่งไฉคาบมา แต่ว่าความมีจิตใจดีของมันก็ควรค่าแก่การยกย่อง
“เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าเตรียมจะพาทาสพวกนี้ไปไว้ที่ไหน” อวิ๋นเยี่ยหันไปถามอู๋เสอ
อู๋เสอตอบกลับอย่างขี้เกียจ “ข้ามีชีวิตอยู่มานานโดยไม่มีโรคภัยใดๆ รับใช้ฮ่องเต้มากว่าสามรุ่น เคล็ดลับก็คือไม่ไปยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง พวกความลับเหล่านี้ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาว คาดว่าอาจารย์หลี่กังก็คงเคยบอกท่านเช่นกัน”
“ท่านผู้รักษาความลับ ข้าค่อนข้างจะเคารพพวกคนที่อยู่มานาน ข้ามักจะคิดว่าการมีประสบการณ์มากจะทำให้ปัญญาถูกสร้างขึ้นไปด้วยโดยปริยาย ดังนั้นข้ามักจะจดจำคำแนะนำของผู้อาวุโสเสมอ หากมีโอกาสข้าก็อยากจะลิ้มลองดูรสชาติสักครั้ง ข้าเรียกรสชาตินี้ว่ารสชาติแห่งการทบทวนตัวเอง บางครั้งได้รับการสั่งสอนมากเกินไป ก็จะไม่ได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง ข้าจะเก็บคำสอนพวกนั้นสะสมไว้ จากนั้นก็หาเวลาในตอนกลางคืนที่เงียบสงบพูดคุยกับตัวเอง ทุกๆ ครั้งก็รู้สึกว่าได้รับประโยชน์อย่างมากมาย ในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปและยุ่งมากเกินไปอีกด้วย พวกเขาไม่รู้จักการนำคำสั่งสอนมาใช้เป็นประสบการณ์ รู้เพียงแต่ว่าชีวิตคนนั้นแสนสั้นแต่ว่ามีหลายสิ่งที่ยังต้องไล่ตาม เนื่องจากว่าเมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องปล่อยปละละเลยไป สุดท้ายจึงได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แต่น่าเสียดายกว่าจะคิดได้ก็สายไปแล้ว
ข้าจะไม่พลาดทุกช่วงเวลาที่ประทับใจในชีวิตไป จะรักษาไว้เหมือนกับว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่เคยสูญเสียอะไร สิ่งที่ข้าได้รับมานั้นมีมากแล้ว ข้ารู้สึกพอใจ ก็เหมือนเมื่อครู่ที่ข้าเด็ดดอกไม้มา ต้องการจะทัดหูไว้เพื่อที่จะได้ดมกลิ่นหอมของมันตลอดเวลา”
หันกลับมามองถึงได้เห็นว่ารอยยิ้มของอู๋เสอช่างงดงาม ยิ้มจนแก้มปริตาหยีจนมองเห็นตีนกา จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มออกมาอย่างสบายใจเหมือนดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง
บางทีคำพูดก็เป็นส่วนเกิน อู๋เสอลูบที่ท้องของวั่งไฉ มันส่งเสียงออกมาท่าทางผ่อนคลาย อดไม่ได้ที่จะโหยหาชีวิตหลังเกษียณที่มีความสุข
ชายแก่กับเด็กอีกสองสามคนอยู่ใต้ต้นสนที่ริมลำธารพูดคุยกันเรื่องศิลปะการต่อสู้ บางครั้งก็ดูผ่อนคลายแต่บางครั้งก็ดูจริงจัง เด็กเหล่านั้นว่านอนสอนง่ายและฉลาด พากันมาจับที่มือของตัวเองแล้วเรียกตัวเองว่าอาจารย์ จากนั้นก็ขอร้องเรื่องที่สมเหตุสมผลและไร้เหตุผลบ้างสลับกันไป
เห็นอู๋เสอกำลังตกอยู่ในภาพแห่งความฝัน อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่อยากรบกวนเขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังห้องใต้ท้องเรือ ขุนนางชาวหูคนนั้นถูกล่ามโซ่พันไว้กับเสา ไม่สามารถยืนตัวตรงได้และไม่สามารถนั่งลงได้ เพียงแค่เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเหมือนถูกน้ำราด มีกลิ่นแรงไปทั่วทั้งตัว นี่คือสิ่งที่ชาวหูไม่ชอบเป็นที่สุด ในเมื่อเหงื่อทำให้มีกลิ่นตัวทำไมถึงต้องให้มนุษย์มีต่อมเหงื่อด้วย เห็นแล้วรู้สึกสกปรก
ชาวหูเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาจึงพยายามพูดอย่างหมดแรงว่า “ปล่อยข้าไปเถิด ไม่เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสีย”
ตงอวี๋คลายโซ่ออก ชาวหูตัวอ่อนปวกเปียกทรุดตัวลงบนพื้น
“บอกข้ามาเหตุใดเจ้าจึงคิดที่จะมาต้าถัง เดินทางมาเก้าสิบวันพวกเจ้าเอาชนะบททดสอบที่โหดร้ายได้อย่างไร?”
“บรรพบุรุษของข้าคือมุลลาห์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเคยมาที่ดินแดนแห่งนี้ อาศัยอยู่ที่เมืองหมิงโจวมากว่ายี่สิบปี เขาเป็นคนมีความรู้ เขาเคยไปเรียนกับคนที่มีความรู้ในแคว้นสุย เรียนรู้วัฒนธรรมของแคว้นสุยและแต่งงานมีครอบครัว เมื่อเสียชีวิตลงก็ถูกฝังไว้ที่เมืองหมิงโจว พ่อของข้าได้ย้ายกลับไปที่ปาเก๋อต๋า และนำเรื่องนี้ไปบอกกับศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนอัศจรรย์แห่งนี้ เมื่อพระศาสดารู้เรื่องนี้เข้าก็พูดว่า ‘ถึงแม้ว่าหนทางการเรียนรู้จะยากลำบากแต่คนเราก็ควรใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ’ ประโยคนี้ทำให้พ่อข้ากลายเป็นมุลลาห์เช่นกัน ข้าเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เล็ก ที่ข้าพูดภาษาของพวกเจ้าได้เพราะข้าเรียนรู้จากการถูกแส้เฆี่ยนตีมาตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษกลับมาจากแคว้นสุยก็ได้บันทึกขนบธรรมเนียนประเพณีของสถานที่ต่างๆ ดังนั้นข้าจึงได้รู้ว่าที่ไหนที่จะทำให้พวกเราได้ของที่ต้องการ ที่ไหนที่จะสามารถหาเสบียงอาหารได้ เป็นเพราะอัลลอฮ์อวยพรให้ พวกเราจึงได้เดินทางมายังสถานที่ที่พ่อข้าระลึกถึงมาตลอดได้อย่างปลอดภัย พ่อเล่าให้ฟังเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้พูดคือคนที่นี่ไม่เพียงแต่มีคนสง่างาม ขี้ขลาด แล้วยังมีคนป่าเถื่อนน่ากลัวเช่นเจ้า
ข้าเพียงแค่จะลักพาตัวผู้หญิงสองสามคนให้แก่คนที่ฉลาดเก่งกล้าอย่างเคาะลีฟะฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วก็เผยแผ่พระประสงค์ของอัลลอฮ์ให้แก่พวกเจ้า สุดท้ายพี่น้องของข้าถูกเจ้าข้าตายจนหมด หลังจากตายไปแล้วก็ยังต้องเป็นอาหารของแร้ง วิญญาณไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้อย่างราบรื่น พวกเขามาเพื่อเผยแผ่ แต่หลังจากตายไปก็ไม่ได้มีความสุขกับหญิงสาวพรหมจรรย์ในสวนดอกไม้ เจ้าจะต้องถูกอัลลอฮ์ลงโทษ”
“มุฮัมมัดเสียชีวิตไปยังไม่ถึงสองปี แต่คำสอนของเขากลับเผยแผ่ไปถึงปาเก๋อต๋าแล้ว การเผยแผ่รวดเร็วเช่นนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง เลือดแปดเปื้อนทะเลทราย จึงได้มีตำนานที่กล่าวไว้ว่ามือหนึ่งถือดาบอีกมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอาน หลักธรรมคำสอนที่มีเมตตาไม่อาจปกปิดความโลภในตัวของพวกเจ้า สวนดอกไม้ที่มีนมและน้ำผึ้งช่างไร้สาระสิ้นดี แล้วยังมีสาวบริสุทธิ์เจ็ดสิบสองคน ผู้รับใช้ศาสดาจะมีชีวิตเป็นอมตะ และมีภรรยาที่เป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดไป พวกเจ้าจะทำได้อย่างไร
คัมภีร์อัลกุรอานยึดมั่นในความจิตใจดีมีเมตตาเป็นรากฐาน แต่เหตุใดใต้ท้องเรือของพวกเจ้าถึงได้มีกลุ่มคนผู้น่าสงสารพวกนั้น พวกเจ้าโยนศพลงทะเลไปแล้วเท่าไหร่ คัมภีร์อัลกุรอานที่เจ้านับถือไม่เห็นเหมือนกับที่ข้ารู้มา”
ชาวหูรีบดีดตัวลุกขึ้นมาด้วยความโกรธ ได้ยินอวิ๋นเยี่ยกล้าตั้งคำถามกับหลักคำสอนที่เขาเชื่อมั่น ถึงแม้ว่าจะเหลือแขนอยู่ข้างเดียวแต่ก็พร้อมที่จะแลกหมัดกับอวิ๋นเยี่ย เขาพูดสาปแช่งออกมาไม่หยุด “เจ้าจะต้องถูกก้อนหินตกลงมาจากท้องฟ้าทับตาย เจ้าจะต้องถูกตั๊กแตนนับหมื่นตัวกลืนกิน เจ้าจะถูกฝังใต้ทรายดูดที่ลึกที่สุด ไม่เน่าแล้วก็ไม่ตาย”
อวิ๋นเยี่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว พูดกับเขาว่า “สำหรับคนที่ต้องการใช้อำนาจเหยียบย่ำแผ่นดินของเรา สิ่งที่ต้าถังมอบให้มีเพียงความตายและความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับสวนดวกไม้นั้น พวกเจ้ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว ในต้าถัง ทางเลือกเดียวของเจ้าก็คือตกนรก”
รู้ในสิ่งที่ตัวเองควรรู้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กำลังเตรียมตัวจะเดินออกไป ใครจะไปรู้ว่าชาวหูคนนั้นจู่ๆ ก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา วิ่งเอาหัวชนเหลี่ยมเสาจนหัวตัวเองแทบจะแตกออกเป็นสองซีก ก่อนตายยังคงสวดมนต์ หวังว่าอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจจะยกโทษให้เขาที่ไปได้ยินคำดูหมิ่นแต่เขากลับไม่สามารถปกป้องพระเจ้าได้
มองดูศพของเขา อวิ๋นเยี่ยชะงักอยู่นาน พลังแห่งความศรัทธาสามารถเอาชนะการกลัวความตายได้ เขารู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้เขาตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนเหล่านี้ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ามาก อย่างน้อยในวินาทีนี้พวกเขาก็ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ความตายไม่ได้มีผลกระทบต่ออวิ๋นเยี่ยมากนัก แต่พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับการสู้รบทางตะวันตกในภายภาคหน้า หากจำไม่ผิด การโจมตีทางตะวันตกของเกาเซียนจือต้องพบกับความพ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลต่างๆ นานา แต่หลังจากต้าถังที่แข็งแกร่งแพ้ศึกสงครามในครั้งนี้ก็สูญเสียอำนาจการควบคุมดินแดนทางตะวันตกไปจนหมด จำต้องรีบคิดหาวิธีแก้ การที่มุฮัมมัดให้ความมั่นคงทางจิตวิญญาณแก่พวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ที่คลังแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของผุพังที่เก็บรวบรวมมาจากการสู้รบ แต่ทว่าก็ยังเรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี ชามเงินอันงดงาม พรมแสนหรูหรา งาช้างสีขาวนวล โมราหลากสี กำยานจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งของชั้นดีเกินกว่าของที่อาลาดินมอบให้แด่อวิ๋นเยี่ย น่าเสียดายที่แม้ตอนตายเขาก็ไม่ยอมพูดชื่อตัวเองออกมา
เมื่อเรือแล่นมาถึงเมืองหมิงโจวก็ได้กำจัดสิ่งของผุพังทิ้ง จากนั้นก็แจกจ่ายของให้กับทหารที่ไปทำสงคราม ส่วนทหารที่เฝ้าค่ายก็ได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าได้จำนวนไม่มากนัก