เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 48 เหล่าเฉิงมีอันตราย
อวิ๋นเยี่ยตบที่หน้าผากของตัวเองเบาๆ แล้วพูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “จับเถ้าแก่โจวโยนออกไปจากเรือ ระวังหน่อย อย่าให้โดนถ้วยน้ำชา”
เหล่าโจวมองดูหลิวจิ้นเป่าที่กำลังเดินเข้ามาหาตัวเองด้วยความตกใจ กำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกหลิวจิ้นเป่าอุ้มไปที่ข้างเรือ ตั้งท่าจะโยนเถ้าแก่โจวออกจากเรือ
เหล่าโจวจับขอบเรือไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ เสียงร้องที่น่าสงสารดังเข้ามาในหู ทำให้หลิวจิ้นเป่าโยนเขาลงไปในทะเลไม่ลง อวิ๋นเยี่ยเห็นผู้คนที่ยืนอยู่บนฝั่งกำลังมองมาที่เรือ ถึงได้ให้หลิวจิ้นเป่าปล่อยเหล่าโจวไป
“เหล่าโจว เจ้าไม่กล้าไปหาท่านหญิง หารัชทายาทก็ไม่เจอ ถูกเว่ยอ๋องไล่ออกมา แล้วยังจะกล้ามาหาข้า? เลือกที่จะมารังแกข้า ไม่เลวจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าถูกฮองเฮาโกง ยังจะกล้ามาหาข้า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าจับเจ้าโยนลงทะเลอย่างนั้นหรือ”
ดูเหมือนว่าเหล่าโจวจะถูกโยนอวิ๋นเยี่ยทำเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแล้ว พอเขาได้กลับมาที่ดาดฟ้าก็สงบลงทันที กลับไปนั่งที่เก้าอี้ดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าได้ทวงเงินไปแล้ว แล้วเจ้าก็จับข้าโยนลงทะเลไปแล้ว ข้าดิ้นรนปีนขึ้นฝั่งอย่างสุดชีวิต ครั้งต่อไปหากเหล่าหวงถามเจ้า จำไว้ว่าให้ตอบเช่นนี้ อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบลง ข้าไม่รีบร้อน นี่เป็นกฎระเบียบของคลังเงิน ข้าเพียงแค่ทำตามกฎระเบียบก็เท่านั้น ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนตั้งกฎนี้ขึ้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า
เรื่องที่ข้าสนใจก็คือผลกำไรส่วนของเจียงหนานของข้า อวิ๋นโหวขายสมบัติล้ำค่าที่หมิงโจวได้ตั้งมากมาย คงจะมีรายได้ก้อนใหญ่ ขนเงินไปๆ มาๆ ไม่ลำบากแย่หรือ เพียงแค่ท่านให้พวกพ่อค้าเหล่านั้นเอาเงินมาฝากไว้ที่คลังเงิน ข้าเขียนตั๋วเงินให้ท่าน ท่านค่อยเอาไปถอนเงินสดที่ฉางอันไม่สะดวกกว่าหรือ
แล้วตอนนี้ราชสำนักก็กำลังรีบใช้เงิน ดูจากที่ฮองเฮาบุกมาเอาเงินที่คลังเงินอย่างไม่มีเหตุผลก็รู้แล้ว เช่นนี้ดีกว่า ท่านแค่เอาเงินฝากเข้าไป ฮองเฮาถอนเงินสดได้ที่ฉางอัน สะดวกและรวดเร็ว คลังเงินก็เก็บดอกเบี้ยนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนต่างก็ได้รับความพึงพอใจหรอกหรือ”
“นี่เป็นคำพูดที่ดี ท่านหญิงเป็นคนติดหนี้ ไปทวงเงินคืนจากนางก็จบ ทำกิจการก็ต้องมีท่าทางของการทำกิจการ ข้าไม่อยากให้ครั้งนี้คลังเงินแบกรับภาระหน้าที่นี้เพียงอย่างเดียว ในเมื่อเมื่อครู่เจ้าทวงเงินได้น่าเกรงขามถึงเช่นนั้น ข้าแนะนำให้เจ้าเอาเงินให้พ่อค้าที่อยู่บนฝั่งพวกนั้นยืม แล้วก็เก็บดอกเบี้ย นี่คือรายได้มหาศาล ลองคิดดูสิว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่ แค่เจ้าไม่เจอเจ้าหนี้ที่เหมือนพวกเรา มันจะต้องเป็นการค้าขายที่ดีอย่างแน่นอน”
เหล่าโจวยิ้มอย่างมั่นใจ ปรบมือเบาๆ หยิบม้วนฎีกาเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อให้อวิ๋นเยี่ยดู ขณะที่ตัวเองยืนอธิบายอยู่ข้างๆ “คลังเงินพิจารณาเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ธุรกรรมการเงินจำนวนมากในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เจอได้ยากมากในหนึ่งปี คลังเงินจึงไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป สำหรับเรื่องการทวงหนี้ ไม่ต้องกังวล คนที่กล้าไม่คืนเงินแล้วยังจับเถ้าแก่โยนลงน้ำก็มีแค่พวกเจ้าไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นกั๋วกงกับจวิ้นอ๋อง พวกเขาไม่กล้าที่จะไม่คืนเงินอยู่แล้ว”
ไม่มีอะไรน่าสั่งสอน ความคิดที่พวกเขาระดมช่วยกันคิดขึ้นมานั้นช่างสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกที่คนขี้โอ้อวดอย่างอวิ๋นเยี่ยจะหาเรื่องได้ง่ายๆ เหล่าโจวอธิบายความเชื่อมโยงสำคัญบางอย่างให้อวิ๋นเยี่ยฟัง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมจะเข้าร่วมงานประมูลสมบัติล้ำค่า
อู๋เสอมองอย่างไม่ละสายตา ทหารเรือกว่าพันนายรายล้อมรอบพื้นที่อย่างหนาแน่น มองไม่เห็นเงินอยู่ในนั้น มีเพียงแผ่นกระดาษ พวกพ่อค้าต่างพากันสนุกสนานกับธุรกรรมที่มองไม่เห็นเงินเช่นนี้ ไม่ได้กลิ่นของทองแดง รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งขึ้นมาไม่น้อย
ถูกชะมัดเลย งาช้างยาวสี่ฟุตแปดร้อยเหรียญ ควรจะทิ้งปะการังชิ้นเล็กซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของที่บ้านไปได้แล้ว ปะการังสีแดงสูงกว่าห้าฟุต เอาของชิ้นนี้ไปวางไว้ที่ห้องรับแขกถึงจะดูสง่างาม อะไรนะ? สามพันเหรียญ? นี่มันให้กันฟรีๆ…
ใช้เงินไปหมดแล้ว พวกทหารก็พากันขนสมบัติขึ้นเรือไปที่ฝั่ง พระเจ้า หยกสีเขียวที่มีน้ำหยดออกมามันคือหยกอะไร มรกต? เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน หยกขนาดเท่ากำปั้น หากให้ช่างแกะสลักมาแกะสลัก มันจะราคาเท่าไหร่
สี่พันเหรียญ? ซื้อของชิ้นนี้แค่สี่พันเหรียญ? เถ้าแก่ที่ทำกิจการเครื่องประดับอัญมณีตาลุกวาวขึ้นมาทันที กอดคอเหล่าโจวและพูดว่า “ให้ข้ายืมหนึ่งหมื่นเหรียญ ข้ายังมีที่ดินอยู่ที่ฉางอัน บ้านอีกสามหลัง หากยังไม่พอข้าเอาภรรยาของข้ามัดจำให้เจ้าก่อนก็ได้ ข้าต้องการแค่หนึ่งหมื่นเหรียญ”
เหล่าโจวช่างเป็นคนดีเสียจริง เขาตบที่มือของเถ้าแก่เบาๆ แล้วพูดว่า “เถ้าแก่หลินไปประมูลให้เต็มที่ ไม่ต้องสนใจเรื่องเงินทอง มันก็เป็นแค่เรื่องของผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ข้าให้เจ้ายืมเงิน ไม่ต้องเอาภรรยาเจ้ามามัดจำให้ข้า ให้นางได้อยู่รับใช้เจ้า ชื่อเสียงเถ้าแก่ตลอดห้าสิบปีของเจ้าเทียบกับเงินหนึ่งหมื่นเหรียญไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเงินให้มากความ”
“ทั้งๆ ที่ข้าก็รู้ว่าเจ้าจะมาดูดเลือดดูดเนื้อของข้า แต่ข้าก็จำเป็นที่จะต้องยืม ดอกเบี้ยรายปีไม่ถือว่ามากเกินไป ข้าตกลงตามนี้ เจ้าเตรียมหลักฐานการขอยืมเงินให้ข้า ข้าจะลงนาม”
หลักฐานการขอยืมเงินในมือของเหล่าโจวหมดอย่างรวดเร็ว แม้แต่ตระกูลฉู่ที่ระมัดระวังตัวที่สุดยังยืมไปแปดพันเหรียญ ยิ่งมีจำนวนมากดอกเบี้ยก็จะน้อย ยิ่งมีจำนวนน้อยดอกเบี้ยก็จะมาก นี่คือกลยุทธ์ของคลังเงิน อยากจะให้คนพวกนี้จ่ายดอกเบี้ยทุกปี ไม่ต้องคืนเงินทุน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นชื่อเสียงอันโด่งดัง เป็นกลวิธีล้ำค่าที่มาจากปากของอวิ๋นโหว
สมบัติล้ำค่าหายไปครึ่งหนึ่ง แลกมาได้แค่แผ่นกระดาษ อู๋เสอมองดูสมบัติล้ำค่าที่ถูกคนอื่นเอาไป จากนั้นก็กลับมามองแผ่นกระดาษในมือของตัวเอง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกหลอก โดยเฉพาะผู้ตรวจราชการมณฑลที่จ่ายเงินสามพันเหรียญซื้อหินตาแมวไปสองเม็ด เลือดหยดในหัวใจของเขา ยิ่งกว่านั้น เงินที่ได้จากการขายของพวกนี้ถูกชายอ้วนนามสกุลโจวเอาไปหมด ตัวเองไม่ได้สักเหรียญ เขาอยากจะเอาค้อนทุบคนพวกนั้นให้เละ แล้วแย่งของพวกนั้นกลับมา
เมื่อกลับไปยังเรือก็โยนแผ่นกระดาษพวกนั้นให้อวิ๋นเยี่ยดูด้วยความโมโห “อวิ๋นโหว สมบัติล้ำค่ากว่าครึ่งเรือของเราแลกมาได้แค่แผ่นกระดาษพวกนี้หรือ” อวิ๋นเยี่ยหยิบตั๋วเงินขึ้นมาดูอย่างพอใจ ไม่พูดไม่จา เก้าสิบสามล้านเหรียญกับหกร้อยห้าสิบเหรียญ ไม่เลว เรื่องเติมทรัพย์สินให้คลังประเทศสักครึ่งหนึ่งคงไม่มีปัญหาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ก็ผ่านมาแล้วครึ่งปี เก็บภาษีหลังจากฤดูใบไม้ร่วงเพิ่มอีกหน่อย วิกฤตทางเศรษฐกิจของหลี่ซื่อหมินก็จะหมดไป
“อวิ๋นโหว นี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ของที่เราเอาออกไปเป็นสมบัติล้ำค่าของจริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นแค่แผ่นกระดาษ ท่านไม่กลัวว่าจะถูกหลอก?” อู๋เสออดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง แต่หงเฉิงฉลาดกว่า เขาหุบปากเงียบ รอให้อวิ๋นเยี่ยอธิบาย
“น่ารำคาญ กวนไม่ให้คนได้หลับได้นอนอยู่ได้ ข้าไม่รู้จะอธิบายให้เจ้าฟังเช่นไร ทันทีเมื่อถึงเมืองหลวงเจ้าเอากระดาษพวกนี้ไปยังคลังเงินที่ฉางอัน จะมีคนเอาเงินเก้าแสนเหรียญให้เจ้า ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะเห็นทองแดง เงิน และทองคำจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เก็บไว้ให้ดี อย่าลืมประโยคที่เหล่าโจวบอก อย่าลืม พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว ให้ข้าได้นอนหลับสักตื่น”
อู๋เสอห่อกระดาษพวกนั้นด้วยผ้ามันเลื่อมอย่างระมัดระวัง ใส่ไว้ในกระเป๋าติดตัว ยังไม่ถึงเมืองหลวงเขาไม่มีทางปล่อยให้กระเป๋าใบนี้ห่างจากตัวเอง
ผู้ตรวจราชการมณฑลหมิงโจวที่เก็บภาษีได้มากขึ้นเดินยิ้มหน้าบานจากไป ส่งผักสด หมูสิบกว่าตัว แกะเจ็ดแปดตัว และเนื้อวัวมาให้อวิ๋นเยี่ยอย่างใจปล้ำ ขอบคุณในความรักของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อพวกขุนนางในท้องถิ่น ภาษีในปีนี้เก็บได้เกินจำนวนไปมาก เงินที่เหลือ จะเอาไปสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ขึ้นในดินแดนแห่งนี้ โดยสัญชาตญาณ เขาคิดว่าเมืองหมิงโจวจะต้องได้รับผลประโยชน์มากมายจากท่าเรือนี้
เพิ่มปริมาณน้ำจืด อาหาร และซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของเรือเพื่อเตรียมการออกเรืออีกครั้ง เหล่าทหารต่างพากันแสดงจิตวิญญาณที่สูงส่ง ความรู้สึกของคนมีเงินช่างดีเหลือเกิน ไม่มองแม้แต่สาวร้องเพลงที่ยืนโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่บนฝั่ง เงินของข้าจะเอากลับไปแต่งภรรยา ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ใครจะมีอารมณ์เอาให้พวกเจ้า
วั่งไฉรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก หมดช่วงฤดูติดสัตว์แล้ว มันก็ไม่สนใจม้าตัวเมียพวกนั้นอีก ทั้งเตะทั้งกัดพวกมันออกจากคอกม้าของตัวเอง นอนพักผ่อนบนกองฟางสีเหลืองอย่างสบายใจ ชดเชยพลังงานที่เสียไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
คลังเงินเลี้ยงนกพิราบไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อเหล่าโจวส่งตั๋วเงินใบนั้นให้อวิ๋นเยี่ย นกพิราบกลุ่มหนึ่งก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า มีกระบอกไม้ไผ่ผูกไว้ที่เท้าของพวกมัน แผ่นกระดาษในกระบอกไม้ไผ่เขียนตัวหนังสือแปลกๆ สองสามตัว
หลังจากที่พวกมันบินไปถึงฉางอันด้วยความยากลำบาก เมื่อถอดกระบอกไม้ไผ่ออกจากเท้า พวกมันก็จะได้กินอาหารที่ดีที่สุดและอาบน้ำอุ่น พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงส่งเสียงร้องดัง รู้แค่เรื่องกิน…
ราชสำนักของต้าถังกำลังปั่นป่วน ผมของหัวหน้ากรมคลังจั่งซุนอู๋จี้เริ่มมีสีขาว สองสามวันมานี้ยืมเงินมาจำนวนมาก ถึงสามารถเติมเต็มให้กับช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของซีเจิงได้ แต่ตอนนี้เหอเป่ยเกิดภัยแล้งอีกแล้ว เซินโจว เหิงโจว ติ้งโตว โยวโจว และเยี่ยนโจวแทบไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวเลย คลังของท้องถิ่นพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ส่งจดหมายด่วนไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก
ผู้คนในดินแดนเยี่ยนจ้าวล้วนแต่เป็นคนแข็งแกร่ง มีคนคิดไม่ซื่อแค่คนเดียวก็สามารถทำให้เกิดการประท้วงขึ้นได้ นึกถึง ‘เพลงแห่งความตายของเหลียวตง’ ที่หวางปั๋วเป็นคนร้อง เพลงนี้ทำให้แผ่นดินเหอเป่ยต้องปั่นป่วน ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่โต้วเจี้ยนเต๋อปกครองเหอเป่ย ยึดครองดินแดนแล้วยังอ้างตัวเป็นกษัตริย์ ไม่มีใครโค่นล้มได้ ตอนนี้เพื่อการโจมตีซีเจิง กองทัพทหารทั้งหมดในเหอเป่ยถูกส่งออกไปจนหมดเกลี้ยง หากมีคนที่คิดไม่ซื่อ พากันมาโบกมือส่งเสียงโห่ร้อง มันอาจจะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้คนกว่าหมื่นคนพากันส่งเสียงประท้วงขึ้นได้
“ฝ่าบาท จะบุกโจมตีซีเจิงไม่ได้ เป็นเพราะราชสำนักของเรามีการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร พระเจ้าจึงได้นำภัยพิบัติมาสู่เรา นี่เป็นสัญญาณเตือน ฝ่าบาทโปรดยุติคำสั่ง หยุดการเคลื่อนไหวของกองทัพชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงกว่านี้”
หลิงหูเต๋อเฟิน เจ้ากรมพิธีกรรมเดินออกมาพูดด้วยตัวเอง เขาเป็นคนที่เชื่อถือในหลักคำสอนของสวรรค์ เชื่อว่าภัยพิบัติทั้งหมดบนโลกมนุษย์เกิดจากการที่มนุษย์ไม่บำเพ็ญศีลธรรม ดังนั้นการที่หลี่ซื่อหมินแตะต้องผลประโยชน์ของทุกคนจึงเป็นสาเหตุของการเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ต่างหาก
“แม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายได้เดินทางออกไปทางทิศตะวันตกเป็นที่เรียบร้อย และคงกำลังเดินทางอยู่ในทะเลทราย เตรียมที่จะหลบหนีชาวถู่อวี้หุน แต่จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชนเผ่าเกาชัง และบุกเบิกทางให้กับกองทัพของข้า จะให้หยุดโจมตีซีเจิงในเวลานี้มันก็เหมือนกับการฆ่าทหารต้าถังกว่าสองหมื่นนายของข้า หลิงหูเต๋อเฟิน หรือว่าเจ้าต้องการให้พวกเขาทำตามแบบอย่างราชวงศ์ฮั่นตะวันตกของหลี่ก่วงลี่ ฆ่าฟันกันไปตลอดทาง สุดท้ายถูกฆ่าตายหมดทั้งกองทัพเช่นนั้นหรือ”
ฉินฉยงได้ยินว่าจะหยุดการโจมตีซีเจิงก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เฉิงเหย่าจินกับหนิวจิ้นต๋าเป็นคนพากองทัพของแม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายออกเดินทาง เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว หากกองกำลังเสริมไปไม่ทัน พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ถึงตอนนั้นไม่อยากเป็นหลี่ก่วงลี่ก็คงยาก
“นี่ก็เพื่อเป้าหมายใหญ่ ฉินกง ลูกชายคนเล็กของข้าก็อยู่ในกองทัพของแม่ทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายเช่นกัน เจ้าคิดว่าข้ายื่นข้อเสนอนี้ หัวใจของข้าไม่เจ็บปวดหรือ หากมีวิธีอื่น คำพูดเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ข้าจะพูดออกมาหรือ”
ถึงแม้ว่าหลิงหูเต๋อเฟินจะเป็นคนล้าสมัยแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย ศีลธรรมของเขายังคงเป็นที่ชื่นชมของทุกคน หากบอกว่าเขาจงใจทำลายการโจมตีซีเจิงก็คงจะใส่ร้ายเขาเกินไป เขาแค่กลัววาจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในสมัยราชวงศ์สุย ถึงได้ยื่นข้อเสนอเช่นนี้