เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 49 ภาพลวงตา
ภัยแล้งในเหอเป่ยทำให้เกิดไฟไหม้ ถึงฤดูเก็บเกี่ยวแต่กลับไม่มีผลผลิตอะไรให้เก็บเกี่ยว เสบียงอาหารในฉางอันขึ้นราคากว่าสองเหรียญอย่างเงียบๆ ราคาเพิ่มขึ้นตั้งครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อวิ๋นเยี่ยเคยบอกแล้วว่าข้าวราคาถูกเป็นการทำร้ายชาวนา แต่ตัวเองยังหัวเราะเยาะเขาที่คิดแต่จะหาเงินเข้ากระเป๋า ภายใต้ยุคที่เจริญรุ่งเรือง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าวที่ราคาถูก วิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเลี้ยงปากท้องคนหลายสิบล้านคนได้ ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยยังเถียงอีกว่า สักวันหนึ่งท้องตลาดจะปรับราคาข้าวขึ้นเอง อำนาจของฮ่องเต้แทบจะต่อต้านเรื่องนี้ไม่ได้ นอกจากการไล่ฆ่าฟันผู้คน มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเองไม่มีวิธีหยุดราคาข้าวที่พุ่งขึ้นสูงพวกนั้นได้ ท้องตลาดตะวันตกก็ถูกตัดหัวไปแล้วสิบกว่าคน แต่น่าเสียดายที่ร้านขายข้าวกว่าหลายสิบแห่งได้หายไปอย่างรวดเร็ว การฆ่าคนไม่ใช่วิธีที่ดี หลี่ซื่อหมินรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ตอนนี้คำพูดของหลิงหูเต๋อเฟินได้แทงเข้ามาในใจของเขาอีกครั้ง อยากจะโมโห แต่ก็ไม่มีเหตุผล ดินแดนเยี่ยนจ้าวช่างวุ่นวาย กว่าโยวโจวถึงจะสงบลงได้ตัวเองจะต้องฆ่าคนอีกกี่คน ส่วนโต้วเจี้ยนเต๋อกับลัวอี้ ตัวเองจะฆ่าพวกเขาไม่ได้ ดินแดนแห่งนั้นมักจะมีศัตรูที่วุ่นวายที่สุด ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา
หากไม่เอาสี่แสนเหรียญที่ฮองเฮาหามาไปให้กับกรมยุทธการทั้งหมด ตัวเองก็อาจจะพอมีเงินอยู่ในมืออยู่บ้าง การสู้รบเท่ากับการค้าขายที่เผาผลาญเงิน แต่ดูเหมือนว่าการโจมตีทูเจวี๋ยครั้งก่อนไม่ได้ผลาญเงินมากนัก รอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมา ค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ เจ้านี่อาจจะทำเงินในหลิ่งหนานให้เราได้ไม่น้อย!
ขณะที่หลี่ซื่อหมินนั่งบนเก้าอี้มังกรก็นึกถึงเรื่องของตัวเองไปด้วย ไม่ได้คิดจะสนใจความวุ่นวายในราชสำนักตอนนี้ ความจริงเขามีแผนการสำหรับการโจมตีซีเจิงและดินแดนเยี่ยนจ้าวอยู่แล้ว การทะเลาะวิวาทของพวกขุนนางก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น แต่ว่าเพราะเหตุใดบนใบหน้าของพวกขุนนางเหล่านั้นถึงได้มีรอยยิ้มอยู่ได้ ประเทศชาติกำลังเดือดร้อน พวกเจ้ามีความสุขมากนักหรือ
กำลังจะโมโห แต่กลับเห็นขันทีคนหนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “กราบทูลฝ่าบาท เฉิงเผยซื่อ หนิวเจียงซื่อ อวิ๋นจ้าวซื่อ ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพะยะค่ะ”
ฉินฉยงหลับตาลงด้วยสีหน้าอเนจอนาถ วันนี้เขาจะทำเพื่อราชสำนักเป็นครั้งสุดท้าย ข่าวลือเรื่องการหยุดโจมตีซีเจิงได้ถูกพวกคนที่มีเจตนาแอบแฝงแพร่กระจายข่าวออกไปแล้ว ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลอวิ๋นจะไม่รู้ได้เช่นไร เฉิงเหย่าจินกับหนิวจิ้นต๋าออกเดินทางไกลไปสู้รบ หากไม่โจมตีซีเจิง พวกเขาอาจจะต้องตายโดยไม่มีที่ฝังศพ เมื่อวานพวกเขาก็ขอความคิดเห็นจากฉินฉยง นี่เป็นวิธีสุดท้าย ทำลายวงค์ตระกูลเพื่อสนับสนุนการโจมตีซีเจิง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าทหารที่ออกเดินทางก่อนเวลาจะกลับมาอย่างปลอดภัย
หลี่ซื่อหมินคิดว่าพวกนางทั้งสามคนจะมาอ้อนวอนร้องไห้ ขอให้ทำการโจมตีซีเจิงต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยิน และเหล่าฮูหยินของตระกูลอวิ๋นไม่ร้องไห้โวยวาย แต่เฉิงฮูหยินกับหนิวฮูหยินสีหน้าซีดเซียว มีแค่เหล่าฮูหยินของตระกูลอวิ๋นพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท เดิมทีตำหนักไท่จี๋ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงอย่างพวกหม่อมฉันจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ แต่ได้ยินมาว่าราชสำนักจะหยุดการโจมตีซีเจิง สาเหตุเพียงเพราะว่าเกิดภัยพิบัติในประเทศชาติ เสบียงอาหารขาดแคลน
พวกทหารกำลังต่อสู้เพื่อประเทศชาติอยู่ที่ชายแดน พวกเขาจะขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าได้เช่นไร ผู้หญิงอย่างพวกหม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการทหาร พวกผู้หญิงและเด็กๆ ที่บ้านลำบากนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่รู้สึกว่าจะเอาเปรียบพวกทหารที่ชายแดนได้เช่นไร ซุนอวิ๋นเยี่ยไม่เคยยับยั้งชั่งใจในเรื่องของการใช้เงิน ตระกูลอวิ๋นรวบรวมเงินทั้งหมดได้แปดหมื่นเหรียญ รวมกับเงินของตระกูลเฉิงและตระกูลหนิว ทั้งหมดหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญเพคะ ฝ่าบาทโปรดใช้เงินพวกนี้ไปซื้อเสบียงอาหารให้กับประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ช่วยชีวิตได้อีกชีวิตหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
หลังจากพูดเสร็จ นางก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนถาดที่ขันทีถือ พาเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินโค้งคำนับฮ่องเต้แล้วเดินออกไป
ในตำหนักเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ไม่เลวจริงๆ ต้าถังของข้ามาถึงจุดๆ นี้แล้ว มาถึงจุดที่ต้องแย่งเสบียงอาหารมาจากพวกผู้หญิงและเด็กๆ ก็แค่บุกโจมตีซีเจิงมิใช่หรือ ขาดแคลนเสบียงอาหารไม่เท่าไหร่ก็ทำให้พวกเจ้าตกใจกลัวถึงเพียงนี้? ดินแดนเหอเป่ยก็ได้รับความเสียหายแค่สี่เมือง แต่พวกเจ้าทุกคนกลับตกใจกลัวถึงเพียงนี้? ความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ราวกับเสือของพวกเจ้าหายไปไหนหมด หรือว่าใช้ชีวิตสงบสุขนานเกินไป ถึงได้ขี่ม้าไม่เป็น จับธนูไม่เป็น ฆ่าศัตรูไม่เป็นแล้ว? ตอนนั้นยังมีจิตใจที่กล้าหาญ แต่ตอนนี้กลับถูกภรรยานางสนมทำลายความเป็นวีรบุรุษสุดท้ายไปหมดแล้วเช่นนั้นหรือ”
จั่งซุนอู๋จี้ลุกขึ้นกราบทูลฝ่าบาท “ฝ่าบาท ดาบของกระหม่อมตะโกนร้องอยู่ทุกคืน ม้ารบที่อยู่ในคอกม้าก็อยู่ไม่เป็นสุข ขอแค่ฝ่าบาทมีคำสั่ง ถึงแม้ว่าจะยากลำบากเพียงใดกระหม่อมก็จะไม่ยอมแพ้”
คำพูดสวยๆ เช่นนี้ หากไม่พูดออกมาตอนนี้ ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้พูดแล้ว ใครๆ ก็ดูออกว่าหลี่ซื่อหมินอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้ว หากมาพูดขัดแย้งเขาในเวลานี้ คงจะตายโดยไม่มีที่ฝังศพเป็นแน่
ทันใดนั้นราชสำนักก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่มีเสียงแปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ไม่ได้ต้องการกิจการของตระกูลเฉิง หนิว อวิ๋น และฉินทั้งสี่ตระกูล สิ่งที่เขาต้องการก็คือรากฐานที่มั่นคงและความปรองดองของราชสำนัก
ไม่มีใครรู้ว่ามีตั๋วเงินเก้าแสนเหรียญอยู่ในแขนเสื้อของฮ่องเต้ และนี่คือแหล่งที่มาของความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา จั่งซุนเป็นคนยัดใส่ให้เขาก่อนที่จะเข้ามายังตำหนักนี้ บอกว่านี่คือผลกำไรส่วนหนึ่งของหลิ่งหนาน ส่วนอื่นๆ ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยจัดการเสร็จก่อนถึงจะส่งกลับมายังฉางอัน เพราะอย่างไรก็ตามสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อราชสำนักในเวลานี้
เสบียงอาหารกว่าหลายล้านตันอยู่บนทะเล เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเทียบท่าที่โยวโจว ก็จะสามารถบรรเทาความหิวโหยในดินแดนเยี่ยนจ้าวได้ แล้วยังอาจจะมีเสบียงอาหารเหลืออีกมากมาย
เมื่อเทียบกับความลำบากของหลี่ซื่อหมินในราชสำนัก นับว่าอวิ๋นเยี่ยรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขทีเดียว เนื่องจากเมื่อมาถึงทางตอนเหนือ พบว่าบนทะเลมีเรือค้าขายมากมายไปๆ มาๆ กันอย่างครึกครื้น บนท้องทะเลมีความเจริญรุ่งเรือง เมฆลอยนิ่งกลางทะเล นอกจากนี้ทิวทัศน์ที่สวยงามของหมู่เกาะยังเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆ เมื่อตงอวี้กลับถึงบ้านเกิด เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย แนะนำบ้านเกิดของตัวเองให้วั่งไฉฟังอย่างมีความสุข คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
หากไม่ใช่เพราะว่าได้เจอกับเรือสามลำของแคว้นวอ อวิ๋นเยี่ยก็คงจะอารมณ์ดีเช่นนี้ต่อไป เพราะเพียงแค่ออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะส่งเรือทั้งสามลำนั้นไปเจอกับราชามังกรใต้ทะเลโดยไม่สนใจว่าเป็นโจรสลัดจริงหรือไม่ อย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็เชื่อไปแล้ว กองทัพทหารเรือก็พร้อมที่จะเชื่อว่านี่คือกลุ่มเรือโจรสลัด อย่างมากก็แค่ไปรวบรวมวัตถุหลักฐานมา เขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่ามันจะต้องมีวัตถุหลักฐานอยู่ อู๋เสอคิดว่ามันจะต้องมีแน่ เหตุผลคือขอแค่ผ่านมือของอวิ๋นเยี่ย มันก็ยากที่จะไม่มี
เตรียมหน้าไม้วัวแปดตัวไว้เรียบร้อย ปืนใหญ่ก็ใส่ก้อนหินที่มีขนาดเท่าหัวคนลงในตะกร้าไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันหมุนหามุม เตรียมพร้อมที่จะขว้างก้อนหินรอบแรกออกไป โจมตีเรือเล็กทั้งสามลำให้ราบคาบ
ขุนนางต้าถังใส่เสื้อคลุมสีเขียวปรากฏตัวอยู่บนหัวเรือของชาวแคว้นวอ ตะโกนใส่กองทัพเรือไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยจึงได้ออกคำสั่งหยุดการโจมตี เขาขว้างก้อนหินใส่คนของตัวเองไม่ลงจริงๆ
เรือลำเล็กออกไปรับขุนนางใส่เสื้อคลุมสีเขียวคนนั้นมา อวิ๋นเยี่ยถามด้วยความโมโหว่า “ขุนนางระดับหกอย่างเจ้า เหตุใดถึงได้ไปเบียดอยู่บนเรือลำเดียวกันกับพวกแคว้นวอพวกนั้น อับอายขายขี้หน้า ต้าถังของข้าไม่มีเรือแล้วหรือ”
“เรียนท่านโหว ข้าน้อยเป็นคนของวัดหงหลู ได้รับคำสั่งให้ไปยังแคว้นวอ ตอนนี้กำลังจะกลับไปรายงานที่ฉางอัน”
“เจอกับองค์หญิงคนนั้นของพวกเขาแล้วหรือ เธอย้อมฟันดำด้วยหรือเปล่า หน้าก็ถูปูนขาวด้วยใช่หรือไม่ แล้วทำไมกัน เขาไม่ได้ให้เจ้าไปหาเมียที่นั่นหรอกหรือ มองดูหน้าตาที่แดงก่ำของเจ้าแล้วดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนมักมากเช่นนั้นนะ”
“อวิ๋นโหวล้อเล่นเกินไปแล้วขอรับ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ไปทำภารกิจที่แคว้นวอ เพราะว่าฝ่าบาทได้ยินมาว่าดินแดนของพวกเขามีเงินมากมาย ให้ข้าน้อยไปสำรวจ หากมีมากจริงๆ ก็จะสั่งให้แคว้นวอส่งเงินมาให้ฉางอันทุกๆ ปี ข้าน้อยผ่านความเป็นความตายมามากมายกว่าจะถึงแคว้นวอ คนที่ติดตามมาด้วยก็ป่วยตายกันหมดแล้ว เหลือเพียงข้าน้อยคนเดียว”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย ที่แท้ก็ไปดูเงิน ไม่ได้ไปดูพวกผู้หญิงของแค้วนวอ เขาช่างน่าสงสารเสียจริง น้ำลายไหลขณะมองไปยังชามขนมของวั่งไฉ วั่งไฉขี้งกกลัวว่าเขาจะไปแย่งมันกิน รีบงับขนมชิ้นสุดท้ายหมดอย่างรวดเร็ว แล้วหันก้นมาทางขุนนางที่ชื่อเหอจงอู่คนนั้น
เหอจงอู่ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความอับอาย ถูมือไปมาไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไร แล้วยังหน้าแดงเหนียมอายที่จะพูดออกมา อวิ๋นเยี่ยจะไม่รู้ได้เช่นไร ไม่รู้ว่าเขาต้องเจอกับความยากลำบากที่แคว้นวอมาตั้งเท่าไหร่ สิ่งที่เขาอยากกินที่สุดตอนนี้คงจะเป็นบะหมี่ชามโต ชาวกวนจงขาดบะหมี่ไม่ได้
ลูกผู้ชายตัวใหญ่ถือชามบะหมี่ร้องไห้ กินไปได้คำหนึ่ง ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม น้ำตาหยดลงในชามบะหมี่ ไม่มีใครพูดอะไร อวิ๋นเยี่ยถือบะหมี่ชามใหญ่กินเป็นเพื่อนเขา ผู้ชายสูงกว่าสองร้อยเซนติเมตรร้องไห้จนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
ผ่านไปสักพัก เหอจงอู่ถึงได้หยุดร้อง กำมือและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขออภัยขอรับท่านโหว ข้าน้อยอยู่ที่แคว้นวอมาสองปี ตอนแรกยังคิดถึงคนที่บ้าน ต่อมาในความฝันของข้าน้อยมีแต่บะหมี่ ฝันว่าได้กัดขนม แต่พอตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นว่าตัวเองกัดหมอนไม้ทั้งคืน คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน”
“หุบปากแล้วรีบกินซะ กลับไปถึงบ้านเดี๋ยวก็ดี ข้าก็กำลังจะกลับไปฉางอัน เจ้าก็กลับไปกับข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็มาอยู่บนเรือของเรา ไม่ต้องไปเบียดอยู่กับชาวแคว้นวอ”
“ข้าน้อยรับทราบ แต่ว่าบนเรือมีทูตแคว้นวอของต้าถังแปดสิบหกคน จะรับพวกเขามาบนเรือของเราด้วยหรือไม่ เรือของพวกเขาไม่ใช่ที่ที่ให้คนอาศัยอยู่จริงๆ ทั้งเล็กและสกปรก”
เหอจงอู่ช่างเป็นคนมีพรสวรรค์ สามารถกลืนบะหมี่ไปด้วยพูดไปด้วยได้ มาตรฐานผู้ชายชาวซีเป่ย ความสามารถนี้ไม่ใช่ว่าจะฝึกฝนวันสองวันก็ทำได้
“สนใจตัวเองเถอะ เรือของเราเป็นเรือรบ ไม่ใช่เรือพลเรือน เจ้าเป็นขุนนาง ขึ้นมาได้ไม่เป็นไร แต่ชาวแคว้นวอพวกนั้นจะมีสิทธิ์ขึ้นมาได้เช่นไร หากเมื่อครู่เจ้าไม่ออกมาทักทาย พวกเขาคงถูกจับไปป้อนเป็นอาหารปลาใต้ทะเลหมดแล้ว ยังจะกล้าขึ้นมาอีก?”
กินบะหมี่หมดไปสองชาม เหอจงอู่ตบๆ ที่ท้องของตัวเองเบาๆ ชื่นชมฝีมือของพ่อครัว เรียกอาหารแคว้นวอที่ตัวเองกินมาสองปีว่าอาหารหมู การดำรงชีวิตอยู่ยังเทียบม้าของต้าถังไม่ติดด้วยซ้ำ
ขนกระเป๋าของเขาขึ้นมา พูดแล้วก็สงสาร มีแค่เงินสองเม็ด แล้วยังเป็นเงินธรรมชาติ เขาอยากจะใช้เงินสองเม็ดนี้เป็นหลักฐานให้ราชสำนักเพื่อบอกว่าแคว้นวอมีเงินจำนวนมากจริงๆ
ดื่มเหล้ารสเลิศของจวนอวิ๋นไป ไม่มีใครที่ไม่หลับไปในทันที เหอจงอู่ก็เช่นกัน เมาเหล้า รวมถึงความไม่สบายใจได้หายไปแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองอย่างมีความสุข
ภูเขาอันสวยงามปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าอย่างเลือนลาง ลอยอยู่บนผืนน้ำทะเล ราวกับภูเขาเทพเซียนในต่างแดน
“ดูสิ เกาะเฝิงไหลเซียน” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนออกมา ทุกคนที่นอนอยู่ข้างเรือมองไปยังเทพเซียน มีบางคนที่นับถืออย่างเคร่งครัดเริ่มก้มหน้าลง
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนหัวเรือ ชื่นชมความงามของภาพลวงตาที่หายากนี้อย่างละเอียด เขามักจะรู้สึกคุ้นเคยกับภูเขาลูกนี้ เหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด