เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 50 อวิ๋นโหวเกรียงไกร
ท้องฟ้าและพื้นดินราวกับกลายเป็นม่านผืนใหญ่ ภาพลวงตาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมองเห็นนกอินทรีตัวใหญ่สองตัวบินวนเวียนอยู่รอบๆ ภูเขา
เห็นนกอินทรี จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงภูเขาที่เห็นเมื่อวานนี้ขึ้นมา มีแค่นกอินทรีดำสองตัวบินอยู่ไม่ใช่เหรอ ตัวเองยังจะอยากจับตัวเล็กๆ มาเลี้ยงสักสองตัว ถามหลิวจิ้นเป่าว่าจับมาได้หรือไม่ แต่หลิวจิ้นเป่ากลับหันหน้าวิ่งหนีไป ผ่านไปสักพักก็พาตงอวี๋ที่หัวเราะคิกคักมาแนะนำให้กับเขา บอกว่าเจ้านี่สามารถจับนกอินทรีได้
รังแกคนดีๆ ไม่ลงจริงๆ จึงล้มเลิกแผนการที่จะจับนกอินทรี ใครจะรู้ว่าตอนนี้จะเห็นเข้าอีกแล้ว เสาสีดำเล็กๆ สองสามต้นปรากฏอยู่ในภาพลวงตา นกอินทรีบินหนีไปด้วยความกลัวและหายลับไปกับตา เมื่อเสาพวกนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ถึงได้เห็นชัดเจนว่ามันคืออะไร
“พายุทอร์นาโด ฮ่าๆ พายุทอร์นาโด ราชามังกรทะเลกำลังจะเดินผ่านไป ตอนนี้เขาเซียนจะต้องได้รับความเดือดร้อน ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพเซียนกับราชามังกรทะเลใครจะเก่งกว่ากัน”
หัวใจของอวิ๋นเยี่ยเต้นแรงราวกับถูกตี ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ถึงความรุนแรงของพายุทอร์นาโด และเขายังรู้ถึงความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นก็คือพายุทอร์นาโดกำลังไล่ตามก้นของเขามา ต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกถอนรากถอนโคลน กองทัพเรือเหล่านี้ของตัวเอง หากอยู่ต่อหน้าพายุทอร์นาโดก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นเล็กๆ ถูกดูดขึ้นไปบนฟ้าก็ยังเป็นไปได้
อวิ๋นเยี่ยตะโกนร้องเสียงดังแล้วพูดกับหลิวเหรินย่วนว่า “รีบแล่นเรือไปทางภาพลวงตา ช้ากว่านี้อีกหน่อยไม่มีใครรอดแน่”
“แต่ว่าท่านโหว นั่นมันเป็นแค่ภาพลวงตา เมื่อครู่ท่านยังบอกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ให้เราตื่นตาตื่นใจเกินไป”
เมื่อวานวิ่งมาตั้งหลายสิบไมล์ อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าพายุทอร์นาโดกำลังจะมาในไม่ช้า
“หลิวเหรินย่วน ข้าสั่งให้เจ้ากางใบเรือ บอกให้เรือทุกลำตามเรามาให้เร็วที่สุด หากขัดคำสั่ง ตัดหัวทันที!”
อวิ๋นเยี่ยพูดเสียงดังฟังชัด ถึงแม้ว่าหลิวเหรินย่วนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ยอย่างจงรักภักดี เสียงแตรดังขึ้น เรือทุกลำก็รีบแล่นตามมา เสียงแตรหมายถึงอันตรายกำลังจะใกล้เข้ามา ทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม
อวิ๋นเยี่ยมองออกไปทางท้ายเรือด้วยความกระวนกระวาย ปากก็เอาแต่เร่งหลิวเหรินย่วนให้รีบขับเรือไม่หยุด โชคดีที่นี่เป็นกองทัพเรือที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ผ่านไปไม่นาน กองทัพเรือที่ล่องอยู่บนทะเลก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คลื่นน้ำที่หัวเรือสาดเข้ามาบนดาดฟ้า จู่ๆ วันนี้ลมก็แรงขึ้น กางใบเรือเต็มลำเรือมันจะอันตรายมาก เรือลำอื่นๆ ก็ส่งสัญญาณขอคำอธิบายไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยแค่ตอบว่าต้องตามมาให้ติดๆ มิฉะนั้นจะลงโทษตามกฎของทหาร
เหอจงอู่ขยี้ตาเดินออกมาจากห้องโดยสาร เขาถูกเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายและเสียงแหลมของแตรปลุกให้ตื่น ด้วยความที่นั่งเรือมาเนิ่นนาน เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าเสียงแตรที่ดังขึ้นหมายถึงอะไร
“อวิ๋นโหวเกิดอะไรขึ้นขอรับ เจอศัตรู? บนท้องทะเลของเรามีศัตรู?”
อวิ๋นเยี่ยทำท่าทีเย็นชาแล้วพูดกับเขาว่า “หุบปาก กลับไปที่ห้อง อย่าออกมา อันตรายกำลังจะมา ทางที่ดีเจ้าควรจะภาวนาขอให้เราผ่านพ้นไปได้ดีกว่า”
ภาพลวงตาช่างน่าอัศจรรย์ กองทัพเรือยังคงแล่นไปข้างหน้าไม่หยุด แต่ดูเหมือนมันกำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ พายุทอร์นาโดหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงภูเขาที่ถูกพัดถล่มจนมีสภาพเละเทะ นกอินทรีสองตัวบินกลับมาอีกครั้ง บินวนไปรอบๆ ภูเขา
นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีมากนัก การหายตัวไปของพวกมันบ่งบอกว่าพวกมันได้บินออกมาจากตำแหน่งภาพลวงตา และกำลังบินไล่ตามกองทัพเรือ
“อวิ๋นโหว พวกชาวแคว้นวอทำไมไม่ตามมา” เหอจงอู่ยังมีอารมณ์ถามถึงชาวแคว้นวอ เมื่อครู่ตอนที่กองทัพเรือเริ่มหนีเอาชีวิตรอด พวกเขากลับเอาแต่ชี้พลางหัวเราะเยาะ ตายไม่ตายเกี่ยวอะไรกับข้า
ท้องฟ้ามืดลงทันที หลิวเหรินย่วนชี้ไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว พูดไม่ออก ไม่ต้องพูดว่าพายุทอร์นาโดกำลังจะมา ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากำลังหมุนวน พายุทอร์นาโดกว่าห้าลูกส่งเสียงแปลกประหลาดและไล่กวดตามหลังมาด้วยความรวดเร็ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่เหนือธรรมชาติ พลังของมนุษย์มักจะอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงเสมอ ตงอวี๋ขับเรือที่อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ไปทางช่องแคบอย่างบ้าคลั่ง เขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก เขารู้ว่าที่ไหนสามารถซ่อนตัวได้ชั่วคราว เรือที่อยู่ข้างหลังก็ตามมาติดๆ ตอนนี้ไม่มีใครถามว่าทำไมเรือผู้นำถึงบ้าคลั่งขึ้นมา และก็ไม่มีใครถามว่าทำไมต้องขับเรือไปทางภาพลวงตา
เรือเล็กสามลำของชาวแคว้นวอที่พึ่งจะเริ่มขับหนีพายุทอร์นาโดตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว พายุทอร์นาโดสองลูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม น้ำทะเลสีครามถูกดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นมังกรสีน้ำเงินตัวใหญ่ หมุนขึ้นไปเชื่อมกับท้องฟ้าแล้วหมุนตกลงมา หมุนดูดเรือของชาวแคว้นวอหายไป เหอจงอู่หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แต่อวิ๋นเยี่ยกลับเบิกตากว้าง มองดูพายุทอร์นาโดฉีกเรือพวกนั้นเป็นชิ้นๆ ดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงขั้นสามารถมองเห็นจุดสีดำสิบกว่าจุดที่เต้นอยู่ในอากาศ นี่คือสิ่งมหัศจรรย์บนโลกมนุษย์
ในที่สุดตงอวี๋ก็ขับเรือเข้ามาในช่องแคบได้สำเร็จ ตะโกนสองสามที ทันใดนั้นก็มีกะลาสีใช้ขวานตัดเชือกที่ผูกไว้กับใบเรือ จากนั้นใบเรือก็ตกลงจากเสาเรือทันที ความเร็วของเรือมู่หลานก็ลดลง ทันใดนั้นในช่องแคบก็มีเสียง “เก็บใบเรือ ทิ้งสมอ” ดังขึ้นมา
ท้องทะเลในตอนนี้ราวกับนรก คลื่นทะเลพลุ่งพล่าน สายฟ้าสีม่วงฟาดลงบนผืนทะเลไม่หยุด มีควันสีขาวลอยขึ้นมา พายุฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก อวิ๋นเยี่ยผูกตัวเองไว้กับเสาเรือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาภาวนาขอร้องให้พระเจ้าคุ้มครอง หากมีพายุทอร์นาโดเพียงลูกเดียวเข้ามาในช่องแคบ สิ่งที่รอคอยกองทัพเรืออยู่ก็คือหายนะ
โลกดูเหมือนเข้าสู่ภาพยนตร์ที่เงียบสงัด ในหูเต็มไปด้วยเสียงลม เม็ดฝนสาดลงบนตัวอย่างเจ็บปวด อู๋เสอเดินเข้ามาหาอวิ๋นเยี่ยทีละก้าว แต่เดินมาได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกลมพัดไปที่อยู่ข้างเรือ ขยับไปไหนไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยได้ยินเสียงแตกหักของเรือมู่หลานก็เงยหน้าถอนหายใจขึ้นบนฟ้า ตัวเองรู้สึกตัวช้าเกินไป หากรู้สึกตัวเร็วกว่านี้อีกสักหน่อยอาจจะมีโอกาสเข้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ท่าเรือ เพราะตอนนี้ห่างจากท่าเรือแค่สิบกว่าเมตร
น้ำฝนตกลงในจมูก ในปาก และในหู เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าน้ำฝนมีรสชาติเค็ม ไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่น้ำฝน นี่มันคือน้ำทะเลที่ถูกพายุทอร์นาโดดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกเช่นนี้ ก็แทบจะตะโกนร้องออกมาด้วยความกลัว น้ำฝนไม่เป็นอะไร นอกจากน้ำแล้วก็ไม่มีอะไร แต่ในน้ำทะเลมีอะไรตั้งมากมาย ปลา ปู กุ้ง และอย่างอื่นอีกมากมาย รวมทั้งพวกชาวแคว้นวอ ถูกปลาฆ่าตายยังพอรับได้ แต่หากถูกพวกชาวแคว้นวอฆ่าตาย อวิ๋นเยี่ยคงจะตายตาไม่หลับ
ทำไมเมื่อกี้ไม่ไปหลบอยู่ในห้องโดยสาร อยากจะมาเป็นวีรบุรุษอะไรอยู่ที่ดาดฟ้า กลอกสายตาไปรอบๆ ดูว่ารอบตัวของตัวเองไม่มีชาวแคว้นวอ ตอนนี้ถือมีดไว้อยู่ในมือ หากเจออะไรผิดปกติเขาก็จะตัดเชือกขาดทันที ยอมลอยขึ้นไปบนสวรรค์ แต่จะไม่ยอมถูกดูถูก
ตอนนี้หลิวจิ้นเป่าเหมือนว่าวที่ลอยอยู่ในอากาศ มีเชือกผูกอยู่ที่เอว โบกมือร่ายรำอยู่ในอากาศ วั่งไฉยื่นหัวออกจากห้องโดยสาร ส่งเสียงร้องไม่หยุด ภาพทั้งหมดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บปวดที่ใจ มีปลาจวดสีเหลืองลอยผ่านมา อวิ๋นเยี่ยเห็นอย่างชัดเจน มันเป็นปลาจวดสีเหลืองจริงๆ ตัวปลาสีทองเหลืองว่ายอยู่ภายใต้สายฟ้าดูสูงส่งงดงาม ก่อนจะสะบัดหางพุ่งเข้าหน้าอวิ๋นเยี่ยเต็มๆ
เจ็บมาก เจ็บมากๆ ตอนที่กำลังจะสลบลงอวิ๋นเยี่ยถึงได้นึกขึ้นได้ว่าปลาจวดสีเหลืองมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปลาหิน ในหัวของมันมีก้อนหินแข็งๆ อยู่สองก้อน…
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่ามันเป็นวันที่มีแสงแดดอีกหนึ่งวัน หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดรุนแรงบนใบหน้า อวิ๋นเยี่ยคงจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป มีมัมมี่ตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นหลิวจิ้นเป่า ส่วนชายแก่ที่ฟันหักไปสองซี่ ผมเผ้ารกรุงรังคนนั้นน่าจะเป็นอู๋เสอ ตอนนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋ฉื่อได้แล้ว บนหัวของตงอวี๋มีเนื้องอกสีม่วงขนาดเท่าไข่ไก่ เหอจงอู่ก็หน้าบวมไปหมด เฮ้อ ได้รับบาดเจ็บกันหมด อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าส่องกระจก เขารู้ว่าสภาพของตัวเองต้องแย่มากแน่ๆ ถูกปลาจวดตัวใหญ่กระแทกเข้าที่หน้าเต็มๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“เสียหายไปเท่าไหร่ เรายังมีเรืออยู่กี่ลำ ตายไปกี่คน” ได้ยินเสียงของอวิ๋นเยี่ย ผู้คนก็มารวมตัวกัน หลิวจิ้นเป่าที่เหมือนมัมมี่อ้าปากร้องไห้ขึ้นมา ตงอวี๋กับเหอจงอู่ก็น้ำตาไหลไม่หยุด แม้แต่อู๋เสอที่ไม่เคยแสดงออกมาตลอดก็ยังเอาแขนเสื้อเช็ดที่ตาของตัวเอง
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บปวด เรือของเขาเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดยังเสียหายมากขนาดนี้ เรือเก็บของ เรือรบลำเล็กพวกนั้นจะต้องน่าสังเวชกว่านี้แน่นอน
พลิกตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันได้ใส่ ปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า มาถึงดาดฟ้า ก็เห็นว่าบนดาดฟ้าเต็มไปด้วยเหล่าทหาร ทุกคนใส่เครื่องแบบเรียบร้อย เห็นอวิ๋นเยี่ยออกมา พวกเขาก็พากันนั่งคุกเข่าและตะโกนพร้อมกันว่า “อวิ๋นโหวเกรียงไกร!” ในช่องแคบมีเสียงดังขึ้นมาทันที “อวิ๋นโหวเกรียงไกร! อวิ๋นโหวเกรียงไกร! อวิ๋นโหวเกรียงไกร!”
นี่เป็นการโค้งคำนับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกองทัพ คนที่ไม่เก่งกาจกล้าหาญจริงๆ ไม่มีทางได้รับการเคารพเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่ทหารคนนี้ จากนั้นก็มองไปที่ทหารคนนั้น ตบที่หลังของพวกเขาเบาๆ จากนั้นก็มองไปยังเรือรบที่ยังคงสภาพสมบูรณ์แบบในหุบเขา น้ำตาก็ไหลออกมา
กลับไปนอนลงอย่างสบายใจที่ห้องโดยสาร ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เรือมู่หลานของตระกูลอวิ๋นได้บดบังภัยพิบัติทั้งหมดเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของกองทัพเรือ ไอ้ตงอวี๋จงใจเอาเรือมู่หลานของตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดเป็นที่กำบัง แล้วยังจอดเป็นแนวขวางอีกต่างหาก เพื่อให้เรือมู่หลานบดบังลมพายุให้กับเรือลำเล็กๆ ข้างหลัง ในช่องแคบก็ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยอยู่แล้ว รวมถึงมีเรือมู่หลานที่สูงใหญ่คอยบดบังลมพายุให้ ดังนั้นเรือเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลังจึงรอดจากภัยพิบัติไปได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนนอนดูอวิ๋นเยี่ยผูกตัวเองติดกับเสาเรืออย่างกล้าหาญอยู่บนเรือ แต่ละคนชื่นชมเคารพอวิ๋นโหวราวกับสายน้ำที่ไหลท่วมท้นแม่น้ำหวงเหอ
นี่ถือเป็นฉากที่พวกทหารกลับมาจงรักภักดี สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่ไม่โลภมากในเงินทองลาภยศ แต่รู้จักสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคือผู้นำที่ดี การเอาชนะโจรสลัดและยึดอำนาจทั้งหมดก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ รวมถึงเรื่องในช่องแคบ ใช้เรือของตัวเองบดบังภัยพิบัติให้กับทุกคน แล้วยังได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง มันช่างทำให้คนรู้สึกซาบซึ้ง ตำแหน่งก็สูงส่ง มีแม่ทัพเช่นนี้ ต่อไปคงไม่ต้องกังวลว่าความดีความชอบของตัวเองจะถูกมองข้าม มีสามข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่สู้รบไม่เป็น เกี่ยวข้องอะไรกัน คนที่ต้องออกไปสู้รบคือทหารไม่ใช่แม่ทัพ ขอแค่แม่ทัพไม่ออกคำสั่งมั่วๆ การสู้รบในทะเลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การเข้าไปประชิดตัว กระโดดลงเรือและฆ่าฟันคน ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ประสบการณ์และความกล้าหาญ ไม่ใช่สติปัญญา
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าการฝึกทหารเรือในรุ่นหลังซับซ้อนเพียงใด ซับซ้อนกว่าทหารบก ต้องใช้สติปัญญาและความเพียรพยายามที่สูงมาก แต่ตอนนี้เป็นสมัยต้าถัง ตัวเองจะจัดการอย่างไรก็คงได้?
“อู๋เสอ ปรึกษากันหน่อย ช่วยข้าต่อยไอ้ตงอวี๋ เอาจนภรรยาของเขาจำไม่ได้ หากเจ้ารู้สึกว่าทำไม่ลงก็ลองนึกถึงฟันสองซี่ที่หักไปของเจ้า!”