เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 52 มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น
คนเราไม่ควรใช้ชีวิตตามลำพัง การมีชีวิตอยู่ไม่เพียงแต่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ขาดแคลนความร่ำรวยเงินทอง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ไม่เที่ยงธรรมเช่นนี้มาเพิ่มบารมีให้กับตัวเอง แต่ว่าเหล่าทหารเรือต้องการ ราษฎรต้องการ ต้าถังก็ต้องการ จะไร้ยางอายหรือสูงส่งก็ตาม ล้วนแต่มาจากความต้องการที่แท้จริง ความจริงเป็นสิ่งกำหนดทุกอย่าง
เติงโจวมีท่าเรือขนส่งสินค้าที่สมบูรณ์แบบ เรือขนาดใหญ่ก็สามารถเทียบท่าได้ ท่าเรือที่เคยรกร้างมานานเต็มไปด้วยเรือรบของกองทัพเรือ เมื่อกลุ่มผู้คนที่มีความสุขกำลังเข้าต้อนรับเหล่าทหารมีชัย แต่กลับเห็นว่าสีหน้าของเหล่าทหารต่างไม่มีรอยยิ้ม พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดและโศกเศร้า
กระดานยาววางพาดบนท่าเรือ เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย อู๋เสอที่ฟันหักไปสองซี่ถือพระราชโองการเดินลงมาจากเรือ ไม่ได้พูดอะไรกับพวกผู้ตรวจราชการมณฑลให้มากความ หลังจากบอกให้พวกเขาเตรียมการประชุมเสร็จก็เริ่มอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้ต่อหน้าราษฎรทุกคน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนตัวของอู๋เสอซ่อนพระราชโองการไว้กี่อัน มักจะเอาออกมาในเวลาที่เหมาะสมต่อหน้าคนที่เหมาะสมได้ตลอด หรือว่าหลี่ซื่อหมินมีความสามารถในการทำนายเรื่องราวได้?
ภาษาในพระราชโองการของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเมตตาและความสงสาร ภาพของฮ่องเต้ที่ทำงานหนักเพื่อราษฎรถูกปากที่มีฟันหักไปสองซี่ของอู๋เสอป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจน
บรรยากาศเคร่งขรึม ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลง ตะโกนทรงพระเจริญ ราษฎรได้ฟังข่าวคราวที่ทรงพลังที่สุด ข้าวหนึ่งล้านตัน ล้วนแต่เป็นเมล็ดข้าวสีขาวทั้งหมด ไม่มีข้าวเปลือกเลยสักนิด นี่คือสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุด สำหรับฮ่องเต้ จะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีแน่ๆ หากเป็นคนที่สามารถเลี้ยงปากท้องของราษฎรในช่วงภัยพิบัติได้ก็ล้วนแต่เป็นฮ่องเต้ที่ดีทั้งนั้น
พระราชโองการฉบับเดียวก็เพียงพอที่จะชำระล้างข่าวลือในช่วงสองสามวันก่อนได้ เทพเจ้าสามตาลงมายังโลกมนุษย์ ราชามังกรกำลังจะเรียกเก็บภาษีชีวิตคน เท้าของลูกตระกูลไหนที่มีไฝประหลาดสีแดงงอกขึ้นมาเจ็ดไฝ กรมปศุสัตว์ในจางเจียเป่าฆ่างูยักษ์ตายไปตัวหนึ่ง ฯลฯ
“ท่านขันทีเหตุใดถึงได้มีสภาพอนาจเช่นนี้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง?” หยวนต้าเข่อคำนับมือถามอู๋เสอ
“หยวนซื่อสื่อคงจะไม่ทราบ ตอนที่พายุทอร์นาโดโจมตีกองทัพเรือ อวิ๋นโหวยืนสั่งการท่ามกลางฝนตกหนัก แต่น่าเสียดายที่ได้รับบาดเจ็บจากปลายักษ์ตัวใหญ่ที่ถูกพายุทอร์นาโดดูดขึ้นไปบนท้องฟ้าตกลงใส่ รบกวนหยวนซื่อสื่อช่วยจัดหาที่ที่สะอาดให้เหล่าทหารได้พักผ่อนกันสักหน่อย เสบียงอาหารไม่จำเป็นต้องเตรียมให้พวกเรา บนเรือยังมีอยู่”
หยวนต้าเข่อถึงกับตกใจ กำลังจะขึ้นไปดูบนเรือ แต่ถูกอู๋เสอห้ามเอาไว้ ชี้ไปทางเหล่าทหารที่กำลังเดินขึ้นฝั่งทีละคนแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหวก็ต้องลงมาด้วย บนเรือมีแต่กลิ่นคาว ไม่ใช่ที่สำหรับการพูดคุยกัน”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งหามเปลนอนลงมาจากเรือ เขารีบเดินเข้าไปดู เห็นแค่อวิ๋นเยี่ยที่จมูกฟกช้ำหน้าบวมกำลังพยักหน้าให้พวกเขา ถือว่าเป็นการทักทาย
เหอจงอู่คำนับมือพูดอยู่ข้างๆ ว่า “อวิ๋นโหวบาดเจ็บสาหัส พูดอะไรมากไม่ได้ ให้ข้าน้อยพูดแทนอวิ๋นโหว ที่จริงแล้วก็แค่ประโยคเดียว อวิ๋นโหวบอกว่าขอให้ทุกคนช่วยเหลือภัยพิบัติครั้งนี้อย่างเต็มที่ หากเสบียงอาหารไม่เพียงพอ เขาจะไปหามาให้อีก ยังไงก็จะไม่ให้ดินแดนเหอเป่ยเกิดโศกนาฏกรรมกินกันเองเกิดขึ้นเด็ดขาด”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้ตรวจราชการมณฑลเซี่ยงโจวก็คร่ำครวญขึ้นมา เขาเพิ่งเห็นว่าแผลของอวิ๋นเยี่ยเป็นแผลจริง ตัวเองบาดเจ็บขนาดนั้นยังนึกถึงราษฎร เป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าขุนนางจริงๆ ไม่เพียงพอค่อยออกไปหา ไปหาที่ไหน? นอกจากจะไปสู้รบปล้นเอามา อาศัยทหารพิการพวกนี้? ต้องถึงแก่ชีวิตแน่ๆ
ไอ้เหอจงอู่แบกอวิ๋นเยี่ยไปๆ มาๆ ราวกับจัดขบวนพาเหรด ถึงที่หนึ่งก็ร้องไห้โวยวาย ความรักของอวิ๋นโหวที่มีต่อราษฎรแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว…
ในตำหนักไท่จี๋ หลี่ซื่อหมินได้รับหนังสือฎีกาของผู้ตรวจราชการมณฑลทั้งหกในดินแดนเหอเป่ย พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ฮ่องเต้แสดงความยินดีให้กับอวิ๋นเยี่ยและเหล่าทหารกองทัพเรือ ตอนนี้ราษฎรของทั้งหกมณฑลมีเสบียงอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้ว ได้รับการปลอบประโลมเป็นที่เรียบร้อย เมล็ดข้าวของฤดูใบไม้ร่วงก็ออกรวงแล้ว หลังฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาจะดูแลเสบียงอาหารส่วนหนึ่งด้วยตัวเอง อวิ๋นโหวยังพาพวกทหารไปตกปลาในทะเล เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนเสบียงอาหารอีก สรุปแล้วก็คือราชสำนักไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของดินแดนเหอเป่ยในเวลานี้
ตัวแทนราษฎรอ่านออกเสียงต่อหน้าพวกขุนนางในตำหนักไท่จี๋ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยถูกปลายักษ์ตกลงมาใส่จนได้รับบาดเจ็บก็มีคนอดหัวเราะไม่ได้
“หูชิ่ง เจ้าคิดว่าที่อวิ๋นเยี่ยถูกปลาตกลงมาใส่จนได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องตลกหรือ” เสียงที่น่าเกรงขามของหลี่ซื่อหมินดังขึ้นในตำหนัก
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าคำพูดของผู้ตรวจราชการมณฑลทั้งหกช่างเหลวไหล ใครจะได้รับบาดเจ็บจากปลายักษ์ที่ตกลงมาจากบนฟ้า หรือว่าทางช้างเผือกเป็นหลุม? กระหม่อมคิดว่าอวิ๋นเยี่ยควรได้รับโทษ”
หูชิ่งถอยกลับไม่ได้ เขาต้องพุ่งชนเท่านั้น ในฐานะคนตอนเหนือ เขาคิดว่าคำพูดเหลวไหลของอวิ๋นเยี่ยสามารถกลายเป็นความดีความชอบให้ตัวเองได้ แล้วเหตุผลที่ให้ก็ไม่น่าเชื่อถืออีกต่างหาก
“ช่วงสามปีก่อนของฮ่องเต้ไคแห่งราชวงศ์สุย มีพายุทอร์นาโดรอดผ่านต้งถิง ผู้คนในเมืองเย่ว์หยางล้มตายเป็นพัน ช่วงสมัยฮ่องเต้สุยหยาง พายุทอร์นาโดรอดผ่านกานหยาง ห่างออกไปสิบลี้มีวัวและแกะตกลงมาจากบนฟ้า ช่วงสมัยฮ่องเต้อู่เต๋อ พายุทอร์นาโดรอดผ่านเหิงหยาง บนฟ้ากลับมีกรรไกร มีดหั่นผักและสิ่งของอื่นๆ ตกลงมา หูชิ่ง อวิ๋นโหวถูกปลายักษ์ตกลงมาใส่ เจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือ ข้าเพิ่งได้รับรายงานข่าวมาจากเติงโจว บอกว่ามีพายุทอร์นาโดห้าลูกรอดผ่าน ตัวเองไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเหลวไหล”
ฝางเสวียนหลิงยกตัวอย่างทีหนึ่งสามตัวอย่าง ทำให้หูชิ่งพูดไม่ออกในทันที สีหน้าของหลี่ซื่อหมินเคร่งขรึมมากกว่าเดิม พูดเบาๆ ว่า “ราชสำนักไม่ต้องการคนที่เอาแต่กินข้าวฟรีๆ ไม่ต้องการคนที่มีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นมีความทุกข์ หูชิ่งไม่มีศีลธรรม ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อนขุนนางที่มีความชอบธรรม ทหาร ปลดตำแหน่งหูชิ่งลงไประดับเก้า ส่งตัวไปที่หยาโจว หากยังไม่ได้รับการอภัยโทษ ไม่อนุญาตให้กลับบ้านเกิดตลอดชีวิต”
เสียงร้องที่น่าสังเวชของหูชิ่งดังขึ้นมา และดูเหมือนว่าราชสำนักจะเงียบสงบลงมาก ขุนนางทุกคนราวพระโพธิสัตว์ไม้แกะสลัก ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งหูชิ่งถูกลากออกจากราชสำนัก พวกเขาถึงได้ซุบซิบกันต่อ…
หลี่ซื่อหมินเดินออกมาจากราชสำนัก ความโมโหในใจยังคงยากที่จะสงบลง กวาดข้าวของบนโต๊ะลงกับพื้นและนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรง ถอนหายใจแล้วทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ ประเทศชาติวุ่นวายแต่กลับมีคนมารบกวนอยู่ตลอด ทำให้ตัวเองไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ คนพวกนี้อยู่สุขสบายนานเกินไปแล้ว สูญเสียจิตวิญญาณที่จะแสวงหาเป้าหมายใหม่ไปตั้งนานแล้ว
“ฝ่าบาท วันนี้ท่านลงโทษหูชิ่งแรงเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะผิด แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เหตุใดฝ่าบาทถึงได้โมโหเช่นนี้”
“กวนอินปี้ เฉิงเหยา และหนิวจิ้นต๋ายกทัพเข้าสู่ฮามี่ ล่อศัตรูเข้ามาทางด้านหน้า โหวจวินจี๋ต้องโจมตีชนเผ่าเกาชัง นี่คือช่วงเวลาที่ต้าถังของเราจะได้แสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ แต่มักจะมีคนกล่าวหาว่าเราฆ่าคนมากเกินไป บอกว่าฉ่าวหยวนเป็นดินแดนไร้ประโยชน์ ไม่มีผลประโยชน์อันใด มีแต่จะทำลายคลังของประเทศชาติ บอกว่าเรากำลังทำผิดพลาดเหมือนกับความผิดผลาดในสมัยฮั่นอู่
“เช่นนั้นท่านก็ไม่ควรโมโหเรื่องของอวิ๋นเยี่ย ต่อไปเขาจะปฏิบัติตัวเช่นไร”
“กวนอินปี้ เราจะไม่คิดมากก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เราสนิทสนมที่สุด เจ้าพูดถูก อวิ๋นเยี่ยไอ้เจ้านี่เดินเข้ามาในใจของเราโดยที่เราไม่ทันได้รู้สึกตัว แต่ก็น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าเขากับหลานเอ๋อร์จะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่กลับไม่มีนามว่าเป็นสามีภรรยากัน มิฉะนั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่ดี”
“หลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยถูกปลาฉลามตกใส่จริงๆ หรือ”
“อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ก็แค่ถูกปลาอะไรที่เรียกว่าปลาจวดสีหลืองตัวใหญ่ตกใส่จนหน้าบวม ไม่ได้เป็นอะไรมาก” หลี่ซื่อหมินยื่นมือออกมาวาดขนาดของปลาให้จั่งซุนดู สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
หลี่ซื่อหมินลดเสียงลงและพูดเบาๆ ว่า “มีขุนนางของวัดหงหลูคนหนึ่งคิดว่าการพูดเกินจริงสามารถปลอบประโลมราษฎรได้ ถึงได้บอกว่าถูกปลาฉลามตกใส่ แต่ก็คงจะเป็นเรื่องที่อันตรายไม่น้อย ขนาดอู๋เสอที่มีฝีมือการต่อสู้เช่นนั้น เขายังฟันหักไปตั้งสองซี่ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด”
“หลี่ซื่อหมิน หากเขากลับมาครั้งนี้ ก็อย่าปล่อยให้เขาออกไปอีกเลย ครั้งนี้เกือบตายตั้งสองสามครั้ง ช่างน่าสงสาร ให้เขาได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายสักสองสามวัน ถือว่าให้รางวัลแก่เขา”
“เราก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าเจ้านี่ไม่ว่าจะลงมือทำเรื่องอะไรก็สามารถทำให้คนนับถือชื่นชมจากใจได้ ฝึกฝนอีกสักสองสามปี ดัดนิสัยลูกผู้ลากมากดี ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ยก็อาจจะแข็งแกร่งไม่เท่าเขา ช่างน่าเสียดาย สองสามปีที่ผ่านมาเราก็พอจะดูออก เขาไม่สนใจที่จะเป็นขุนนางจริงๆ คิดถึงแต่เรื่องกิน รอความตาย หากคนอื่นมีความสามารถเช่นเขา คงจะถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์ไปนานแล้ว แล้วเขายังบอกกับชิงเชวี่ยอีกว่า ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการนับเงินจนมือเป็นตะคริว นอนหลับจนตื่นขึ้นเอง เป็นขุนนางตื่นเช้ากว่าไก่ขัน นอนดึกกว่าสุนัขเสียอีก ยุ่งวุ่นวายทั้งชีวิต เขาวางแผนที่จะเกษียณตอนอายุสามสิบ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ที่เขาอวี้ซันไม่ออกมา นิสัยนักเลงเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของเขาสอนเขามาเช่นไร”
จั่งซุนหัวเราะจนปวดท้อง หายใจหอบและพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “หากบอกว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนแต่เป็นหมู่ดาวบนท้องฟ้า ถูกส่งลงมาช่วยเหลือท่าน แล้วเขาควรจะเป็นดาวอะไร วันนั้น หยวนเทียนกังพูดถึงเรื่องนี้ ว่ากันว่าคนอื่นๆ ต่างมีบริบทที่แน่นอน มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่ไม่มีที่มาที่ไป เขามองเห็นไม่ชัดเจน”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “มองเห็นไม่ชัดเจนอะไรกัน เขาไม่กล้าพูดเหลวไหลต่างหาก ครั้งก่อนที่เราถูกปีศาจชั่วร้ายครอบงำจิตใจก็ได้อวิ๋นเยี่ยรักษาจนหาย หยวนเทียนกังถือโอกาสนี้หลบหนีไป คิดว่าเราไม่รู้หรือสมน้ำหน้าที่ถูกอวิ๋นเยี่ยเอา ‘คัมภีร์หวงถิง’ ไป คัมภีร์ดีๆ เช่นนั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นของลับของตระกูลอวิ๋นไปแล้ว เรายังอิจฉา ลายมือของซีอ๋อง ตกอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ยช่างน่าเสียดาย”
ภายใต้หัวข้อการสนทนาที่จั่งซุนเอามาหลอกล่อ ความเบื่อหน่ายในใจของหลี่ซื่อหมินก็ค่อยๆ หายไป อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นมา เรื่องของดินแดนเหอเป่ยถูกคลี่คลาย และทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยังมีอะไรให้ลำบากใจอีก
เขามีความสุข แต่ซินเย่ว์ไม่มีความสุขเลยสักนิด อุ้มลูกชายร้องไห้ ท่านพี่ใช้ชีวิตลำบากลำบนอยู่ข้างนอก อยู่บนเรือดีๆ ก็ยังเจอกับพายุทอร์นาโดที่ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน แล้วยังถูกปลาตกลงมาใส่จนหน้าบวมไปหมด ช่างน่าสงสารเหลือเกิน กลับมาครั้งนี้นางจะดูแลเขาเป็นอย่างดี จะไม่ให้เขาก้าวออกจากประตูบ้าน ประตูใหญ่ของตระกูลเราจะปิดตาย ใครมาเรียกก็ไม่เปิด ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าจะทำไร่ทำนาด้วยกันก็นับเป็นเรื่องที่ดี