เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 55 คุยโม้โอ้อวด
ศิลปะการต่อสู้ของอวิ๋นเยี่ยช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เดี๋ยวก็ถอยออกห่าง เดี๋ยวก็เข้าไปประชิดตัว ใช้หอกม้าได้อย่างน่าเกรงขาม แทงหอกม้าไปๆ มาๆ รอบตัวชายคนนั้นตลอดเวลา
หงเฉิงร้อนใจ เขามองออกว่าชายคนนั้นเป็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ถือดาบที่หนักกว่าสิบกิโลอยู่ในมือราวกับถือฟางข้าว ทันใดนั้นก็ฟันหอกม้าของอวิ๋นเยี่ยตกลง เล่นกับเขาอย่างใจเย็น
ตัวเองเข้าไปไม่ได้ เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยุ่ง ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยที่ชาญฉลาดมาตลอดถึงได้หน้ามืดตามัวออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง จากนั้นก็เห็นหลิวจิ้นเป่าเอาแต่กินขนมอย่างไม่สนใจไยดี เขาตบเข้าที่ท้ายทอยของเจ้านั่นเต็มๆ ตบจนขนมที่กินเข้าไปในปากเมื่อครู่พุ่งออกมา พูดอย่างกังวลว่า “ท่านโหวของเจ้าเจอของจริงเข้าแล้ว ข้าเข้าไปช่วยไม่ได้ เจ้าไปสิ คนรับใช้ไปช่วยเจ้านายไม่ใช่เรื่องผิด”
หลิวจิ้นเป่าถูที่ท้ายทอยของตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านโหวของข้ามีฝีมือ เอาชนะไอ้โจรคนนั้นได้อย่างแน่นอน”
“แต่เขาถูกจับไปแล้ว!” หงเฉิงบอกหลิวจิ้นเป่าแล้วชี้ไปที่ชายร่างใหญ่ที่แบกอวิ๋นเยี่ยวิ่งไปคนนั้น
หลิวจิ้นเป่าคว้าบังเ**ยนม้าศึกของหงเฉิงแล้วพูดว่า “นี่คือแผนการหลอกล่อศัตรูของท่านโหวของข้า”
หงเฉิงที่โมโหกำลังจะเตะหลิวจิ้นเป่าให้หลบไป ตัวเองจะรีบขี่ม้าไปช่วยอวิ๋นเยี่ย หันกลับมาก็ถูกอู๋เสอตบเข้าที่ท้ายทอยเต็มๆ
“เจ้าโง่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ นั่นไม่ใช่โจร แต่เป็นเพื่อนของอวิ๋นเยี่ย แล้วยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าวั่งไฉก็วิ่งตามไปด้วย หยุดพูดมากได้แล้ว เราจะตั้งค่ายกันที่นี่ เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอู๋เสอ หงเฉิงก็เอาข่าวนี้ไปบอกกับเหล่าทหารที่กำลังโมโหโกรธแค้น จากนั้นเดินตามหลิวจิ้นเป่าไปตั้งค่าย สุดท้ายก็ไปขวางหน้าอู๋เสอ และพูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “คนนั้นเป็นใครกัน?”
“ท่านหง เจ้าอย่าถามข้าเลย คนคนนั้นไม่ใช่คนบนโลกใบเดียวกับเรา ได้ยินท่านโหวบอกว่าผู้ชายคนนั้นเกือบจะวิ่งไปถึงขอบฟ้า เกือบจะกลายเป็นพระเจ้าไปแล้ว คนสองร้อยคนที่ไปกับเขา มีเขากลับมาแค่คนเดียว ตอนที่เพิ่งจะกลับมา ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พักอาศัยอยู่ที่บ้านข้าตั้งนาน ท่านหงน่าจะรู้เรื่องหนังหมีขาวใช่หรือไม่ ของสิ่งนั้นคือของที่เขาเอามาจากขอบฟ้า ท่านอย่าถามข้าเลย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชื่ออะไร”
“ข้าก็ว่า บนโลกใบนี้มียอดฝีมืออะไรมากมาย จู่ๆ ก็โผล่ออกมาสองสามคน ท่านโหวของเจ้า กล้าหาญจนน่าสงสัย เขาจะมีพฤติกรรมแบบนี้ก็ต่อเมื่ออยู่กับคนที่ตัวเองไว้วางใจอย่างยิ่งเท่านั้น ช่างเถอะ ที่มาที่ไปของท่านโหวของเจ้าช่างลึกลับ ยอดฝีมือนอกโลก ล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น”
อู๋เสอลูบคางที่ไม่มีเครา ท่าทางเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่หงเฉิงยังคงสับสน
ถนนสายเล็กๆ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยหญ้าที่สูงยาว อากาศเช่นนี้เมล็ดข้าวไม่เติบโต แต่วัชพืชกลับเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์
ซีถงแบกดาบของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยลากหอกม้าของตัวเอง ทั้งสองคนเดินกันไปพูดคุยกันไป วั่งไฉยื่นหน้าเข้ามาระหว่างกลางของทั้งสองคนเป็นครั้งเป็นคราว
“นี่วั่งไฉหรือนี่ ไม่เจอกันปีกว่า ม้าอ้วนกลายเป็นม้ารบไปแล้ว ไม่เลว ดีจริงๆ ดีจริงๆ”
“เหล่าซี ปีกว่าแล้วทำไมข้าไม่เห็นเจ้าติดต่อกับทางบ้านของข้าเลย ที่ข้ามาเหอเป่ยก็เพื่อจะมาหาเจ้า เจ้าก็รู้ว่าเพื่อนข้าไม่เยอะ ถึงเจ้ามาหาข้าไม่ได้ เขียนจดหมายมาบ้างก็ได้”
“ยุ่งไง ยุ่งอยู่กับปากหลายสิบปากทั้งวัน ไม่เลี้ยงพวกเขาให้อิ่ม ข้าก็ไปที่ไหนไม่ได้ เจ้ามันคนว่างที่ร่ำรวย ครั้งนี้ยังนำทัพมาตระเวนเที่ยว คงจะภาคภูมิใจไม่น้อยใช่หรือไม่”
“ภาคภูมิใจอะไรกันล่ะ เสี่ยงตายตั้งหลายครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาบนปลายมีด ยังมีชีวิตมาเจอกับเจ้า ก็ถือว่าข้ามีบุญมากแล้ว” คำพูดที่ไม่มีทางเอาไปพูดต่อหน้าคนอื่น แต่กลับพูดต่อหน้าซีถงไม่หยุด แม้แต่ซีถงที่กล้าหาญมาตลอดก็ยังเช็ดเหงื่อให้เขา
“คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลานี้ของเจ้ายังคงเป็นวันที่ยากลำบาก ความร่ำรวยพวกนั้นมีอะไรดี ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อมัน ช่างไม่คุ้มค่า เจ้าก็ไม่ชอบที่จะอยู่ในสังคมเช่นนั้นไม่สู้ออกมาอยู่กับข้าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ พาท่านย่ากับภรรยาทั้งสองคนของเจ้ามาด้วย ใช้ชีวิตที่สงบสุขอย่างมีความสุข”
ซีถงเปลี่ยนไปมาก กลิ่นอายของความกล้าหาญและสง่างามของเขาหายไปหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะรูปร่างกำยำของเขายังอยู่ก็แทบจะมองไม่ออกว่านี่คือวีรบุรุษคนหนึ่ง วีรบุรุษที่ตัดหัวคนจากแดนไกล ขากางเกงเขาเต็มไปด้วยฝุ่น ไม่ต่างอะไรจากพวกชาวนาในกองทัพทหาร
“เดิมทีข้าคิดว่าช่วงภัยพิบัติในเหอเป่ยครั้งนี้ เจ้าจะก่อตั้งกองทัพ ไล่ฆ่าขุนนางแจกจ่ายเสบียงอาหาร ปล้นพวกเศรษฐีมาช่วยเหลือคนยากจน ควบม้าตระเวนไปทั่วดินแดนเหอเป่ย ตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ใช่ชีวิตที่เจ้าอยากมีมาตลอดหรือ”
“ตาต่อตาฟันต่อฟันอะไรกันล่ะ ยังจะไล่ฆ่าขุนนางแจกจ่ายเสบียงอาหาร ตระกูลของพวกผู้ตรวจราชการมณฑลยังไม่มีเสบียงอาหารค้างคืน ฆ่าพวกเขาได้ประโยชน์อะไร อย่าว่าไป พวกขุนนางที่ตระกูลหลี่ส่งมาที่นี่ยังถือว่าเป็นขุนนางที่ดี เสี่ยวซือซานร้องไห้หิว คนที่เป็นพ่ออย่างข้าก็นั่งไม่ติด ตอนเย็นไปที่จวนเฉิง ไปดูบ้านของผู้ตรวจราชการมณฑล พวกเขาพากันกินแค่ข้าวต้ม ลูกสาวตัวน้อยของเขาเอะอะโวยวายจะกินขนมก็ถูกผู้ตรวจราชการมณฑลตีไปสองที ไม่กล้าร้องอีกเลย ดูแล้วช่างปวดใจ ข้าหันหลังแล้วเดินออกมา ระหว่างทางกลับ โชคดีที่มีหมูป่าวิ่งออกมาจากภูเขา อ้วนท้วนเป็นอย่างมาก ถูกข้าฆ่าตาย เตรียมเอากลับไปทำเนื้อตุ๋นให้เสี่ยวซือซานกิน นึกถึงลูกสาวตัวน้อยของผู้ตรวจราชการมณฑลก็เลยตัดขาหลังของหมูออกให้พวกเขา เอาแขวนไว้ในห้องรับแขกของเขา ทิ้งจดหมายเอาไว้ บอกว่าเอาให้ลูกกิน”
“ฮ่าๆๆ เจ้ามักจะทำเรื่องแบบนี้ตลอด ผู้ตรวจราชการมณฑลตกใจหมดแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ ผู้ตรวจราชการมณฑลคนนั้นยังถือว่ามีความกล้าหาญ ตัดขาหมูออกไปชิ้นหนึ่ง ตุ๋นให้ลูกกิน ที่เหลือเอาไปต้มสุกแล้วแบ่งให้พวกเด็กกำพร้า ครั้งนี้ข้ามองคนไม่ผิด ขุนนางของตระกูลหลี่ หากเป็นเช่นนี้กันทุกคนก็สมควรที่ตระกูลของเขาจะได้ครองบัลลังก์หลายหมื่นปี ข้าจะทำตัวเป็นราษฎรที่เชื่อฟังและจงรักภักดี”
ซีถงพูดอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง คนที่ดื้อด้านมักจะมีขอบเขตของตัวเองเสมอ เช่นเดียวกับคนที่หยิ่งยโสจะไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าจากไป ท่ายย่าขนของให้เจ้าตั้งหลายเกวียน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เจ้าร่ำรวย แต่ก็ทำให้คนทั้งครอบครัวไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องกินไปได้สองสามปี แล้วมันไปไหนหมด? ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องพูด เอาไปให้คนอื่นแล้วแน่ๆ คนอย่างเจ้ามีเงินอยู่ในมือคงจะเป็นบาป”
ซีถงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนรู้ใจของข้า ข้าลากรถม้ากลับบ้านตลอดทาง เจอขอทานก็เอาข้าวให้ไปกระสอบหนึ่ง เจอคนเปลือยร่างก็เอาผ้าให้ไปผืนหนึ่ง ดินแดนเหอเป่ยยากจนเกินไปแล้ว คนไม่มีเสื้อผ้าใส่เยอะแยะไปหมด กลับมาถึงบ้านเหลือแค่เพียงข้าวเกวียนเดียว ผ้าห้าหกผืน โชคดีที่ยังเหลือวัวสามตัว แค่นี้ พวกภรรยาก็ดีใจเป็นอย่างมาก คืนนั้น ข้าเป็นเจ้าบ่าวตั้งเจ็ดครั้ง ฮ่าๆๆ”
อวิ๋นเยี่ยแทบสำลักน้ำลายตัวเองตาย ชี้ไปที่ซีถงและพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าแค่สงสารผู้หญิงพวกนั้น แต่เจ้ากลับไปเป็นสามีของพวกนางจริงๆ น่ะหรือ”
ซีถงบึนปากและพูดอย่างไม่สนใจว่า “ไม่อยากสนใจลัทธิเต๋าจอมปลอมอย่างพวกเขา พวกนางเป็นภรรยาของข้าไปแล้ว ยี่สิบเอ็ดคน ข้าไม่ปล่อยไปสักคนเดียว ตอนนี้ท้องแล้วห้าคน คนเป็นลุงอย่างเจ้าเตรียมของกำนัลไว้ให้ดี ที่บ้านมีเด็กเยอะ ล้วนแต่รอคอยลุงที่ร่ำรวยอย่างเจ้าเอาขนมอร่อยๆ มาให้พวกเขา”
“เด็กๆ ก็รู้ว่ามีข้าอยู่หรือ”
“เหลวไหล ข้ามีเพื่อนที่ร่ำรวยแค่เจ้าคนเดียว จะไม่ให้เอาออกมาอวดได้เช่นไร ตอนกลางคืนข้าจะเอาแต่ทำเรื่องพวกนั้นได้เช่นไร ก็ต้องเล่าเรื่องในอดีตของข้าให้ลูกๆ ฟังบ้าง ไม่ค่อยอยากจะเล่าเรื่องของเถียนเซียงจื่อ เพราะฉะนั้นเจ้าคือคนสำคัญที่สุด พวกเด็กๆ อยากเห็นอยากเจอกับท่านโหวคนนี้กันทั้งนั้น เจ้าไม่มาสักที พวกเด็กๆ คิดว่าข้าหลอกพวกเขา ได้ยินมาว่าเจ้ามาถึงเหอเป่ย ข้าเลยต้องพาเจ้ากลับไปให้พวกเขาดู พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าไม่ได้พูดเหลวไหล”
“ให้ตายเถอะ ตอนนี้ข้าใส่ชุดเกราะ ไม่มีเวลาให้เตรียมของขวัญ ไม่ได้ ข้าต้องกลับไปเอาของขวัญ” เดิมทีคิดว่ามีแค่ซีถงแค่คนเดียว หากไม่มีอะไรติดไม้ติดมือคงไม่เป็นไร ตอนนี้พึ่งจะรู้ว่าไอ้นี่เป็นคนมีครอบครัวใหญ่แล้วจริงๆ ไปเช่นนี้ช่างไร้มารยาท
ซีถงทำปากชี้ไปด้านหลังแล้วพูดว่า “ทหารหน่วยตรวจสอบของเจ้าตามหลังมา บอกให้พวกเขาไปขนมาก็ได้”
อวิ๋นเยี่ยหันหลังไปมอง คนเจ็ดแปดคนทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในพุ่มหญ้า หากไม่มองดีๆ ก็คงมองไม่ออก
“ไสหัวออกมา” อวิ๋นเยี่ยตะโกนใส่เหล่าทหารหน่วยตรวจสอบ
ทันทีที่ทหารหน่วยตรวจสอบออกมาก็รีบแยกอวิ๋นเยี่ยและซีถงออกจากกัน จ้องมองไปที่ซีถงอย่างระมัดระวัง
“นี่คือเพื่อนเก่าของข้า เมื่อครู่เป็นแค่เรื่องตลก พวกเจ้ากลับไปสักสองสามคน รีบลากรถของขวัญ เสบียงอาหาร ผ้าไหม เอามาให้หมด รีบไป ขนไปที่หมู่บ้านข้างหน้า”
“ขนม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือขนม ข้าบอกกับเด็กๆ ไว้แล้วว่า ขนมของตระกูลอวิ๋นอร่อยที่สุดในโลก เจ้าต้องเอามาด้วย เจ้ากำลังเคลื่อนย้ายกองทัพ น้ำหอมพวกนั้นก็ช่างมันเถอะ ได้ยินมาว่าเจ้าฆ่าปลาตัวใหญ่ที่ทะเล ใหญ่แค่ไหน มีคนบอกว่าใหญ่เท่าบ้าน เจ้าคงจะไม่ได้ฆ่าปลาใหญ่ในตำนานใช่หรือไม่”
พูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็ภาคภูมิใจขึ้นมา มองทหารหน่วยตรวจสอบสองคนวิ่งกลับไป เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วก็พูดว่า “เจ้าก็แค่ฆ่าหมีขาวไปสองสามตัว สองสามวันมานี้ข้าล่องเรือไล่ฆ่าปลาใหญ่ในตำนาน ถูกข้าใช้หน้าไม้สามขาแทงตายไปตั้งหลายตัว เหมือนในตอนนั้นที่ท่านชายเริ่นตกปลาวาฬที่ทะเลตะวันออก เขาใช้วัวและปลาวาฬเอาไปให้คนในตงเหอกินกันจนอิ่ม ส่วนคราวนี้ข้าใช้หน้าไม้ยิงจนมีเนื้อปลากองเท่าภูเขาเชียวนะ ข้าจับปลาวาฬตัวหนึ่งมาลากเรือของข้าล่องไปบนทะเล ความเร็วเช่นนั้นเจ้าไม่มีทางนึกออกแน่ สุดท้ายเมื่อเล่นจนเบื่อแล้วก็เอามันขึ้นฝั่งไปฆ่ากินเนื้อ เจ้าไม่รู้หรอกว่า ปลาตัวนั้นใหญ่กว่าบ้านเก่าๆ ของเจ้าเสียอีก เดี๋ยวพวกเขาก็จะขนมาให้เจ้านิดหน่อย ลองชิมดู ชิมดูฝีมือสหายของเจ้า หากไม่เชื่อ ก็ลองถามพวกเขา”
คนโง่ที่ไหนจะได้มาเป็นทหารหน่วยตรวจสอบ ได้ยินที่ท่านโหวโม้ไปขนาดนั้น พวกเขาก็รีบคล้อยตามทันที คนหนึ่งบอกว่าท่ายิงปลาวาฬของท่านโหวช่างทำให้คนที่ได้เห็นยากจะลืมได้ อีกคนหนึ่งบอกว่าท่านโหวยังไม่ลืมที่จะจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบในช่วงวิกฤต ช่างเป็นต้นแบบที่ดีเสียจริง ปลาวาฬหนึ่งตัวห้าพันกิโลหนักขึ้นเป็นหมื่นกิโลอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นเยี่ยที่ได้ยินก็พยักหน้า ซีถงฟังจนอ้าปากค้าง ดาบในมือถึงกับตกลงบนพื้น