เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 56 แม่เล้า
หมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำช่างสวยงาม เพียงแต่ทรุดโทรมไปไม่น้อย มีกำแพงปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางส่วนมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้ ไม้ที่ไหม้เกรียมกองรวมกันเป็นชั้นหนาๆ กลายเป็นขี้เถาสีเทา โชคดีที่ยังมีควันลอยขึ้นมา ทำให้ผู้คนยังคงมองเห็นความหวังอันริบหรี่ที่อยู่ในความสิ้นหวัง
“ดินแดนเหอเป่ยปั่นป่วนมานานกว่าสามสิบปี โต้วเจี้ยนเต๋อ หวางซื่อซง เกาถานเซิ่ง หลี่จึทง และเถี่ยมู่เอ่อร์ คนพวกนี้เดี๋ยวก็จับคนไปเป็นเชลย เดี๋ยวก็ฆ่าคนปล้นเสบียงอาหาร ทำแต่เรื่องไม่ดี ช่างเป็นที่มาของคำว่าเลวทราม ดินแดนเหอเป่ยที่เคยอุดมสมบูรณ์จึงกลายเป็นดินแดนที่ไม่มีผู้คน ไม่มีแม้แต่เสียงไก่ขัน กลายเป็นดินแดนที่มีแต่กระดูก หากข้าเกิดเร็วกว่านี้สักยี่สิบปี ข้าจะให้พวกเขากลายเป็นผีภายใต้ดาบของข้า” พูดถึงเรื่องนี้ ซีถงก็โมโหจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หยิบเหยือกเหล้าสีเงินอันงดงามออกมาจากแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ย เทลงไปในคอ ไม่เหลือเลยสักหยดเดียว
“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าเอาเหล้าไว้ในแขนเสื้อ”
“ไม่เอาไว้ในแขนเสื้อหรือจะเอาไว้ในเป้ากางเกง ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่มีอะไรทำก็จะเอามันออกมาจิบ น่าอาย ใส่น้ำตาลอะไรลงไปในเหยือกเหล้า เหล้าของตระกูลเจ้าล่ะ?”
“เหล้าของตระกูลข้าเอาไว้ใช้หลอกลวงคนป่าเถื่อน เหล้าเหยือกหนึ่งแลกกับแกะตัวหนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า ดื่มเหล้าองุ่นถึงจะดูเป็นชนชั้นสูง ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับทัศนคติของตนเอง ไม่เหมือนเจ้า ผู้หญิงคนไหนก็เอา เหล้าอะไรก็ดื่ม ลูกของใครก็เลี้ยง เจ้าไม่ยุ่งวุ่นวายแย่หรือ?”
“ข้าไม่มีเวลาเสแสร้งทำเป็นคนสูงส่ง ขอแค่ข้าเต็มใจ มีความสุขก็พอ เลี้ยงเด็กคนหนึ่งโตขึ้นเขาก็ยังเรียกข้าว่าพ่อ เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าชอบพวกผู้หญิงชาวบ้านที่มือหยาบๆ เหมือนดอกหญ้าข้างถนน ให้น้ำฝนนิดหน่อยก็อยู่ได้ ดอกไม้ของเจ้า หากตกมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็คงจะอดตายไปแปดครั้งแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในเหอเป่ยกับซีถง เช่นนั้นมันอาจจะดึงดูดความเกลียดชังของเขา เดินทีซีถงก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนมีความสามารถ สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ แต่หลังจากการเดินทางไปขั้วโลกเหนือ สุดท้ายภาพลวงตาของเทพเซียนถูกทำลายจึงอยากจะสลายตัวไปกับต้นไม้ใบหญ้า หัวใจราวกับเถ้าถ่าน เขาถึงได้หาภาระมาให้ตัวเองแบกรับ ใช้ชีวิตทรมานตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่เป็นบ้า
สวนของบ้านซีถงใหญ่มาก เป็นประตูไม้ มีฮูหยินสองสามคนที่ใส่ผ้าผูกหัวสีฟ้ากำลังยุ่งอยู่ในสวน คนหนึ่งกำลังตำข้าว คนหนึ่งกำลังตักแกลบออก คนหนึ่งกำลังบดข้าวให้อาหารไก่ ใต้ชายคามีฮูหยินอีกห้าคนที่ท้องโตกำลังหมุนใยปั่นด้าย มีเสียงทอผ้าดังออกมาจากห้องทางด้านหลัง แล้วยังมีเด็กอีกสองสามคนกำลังตัดฟืน ดูเหมือนจะตัดอยู่ก่อนแล้วสักพักหนึ่ง ฟืนกองอยู่ใต้ชายคาจำนวนมากทีเดียว
“ฮูหยินเด็กๆ ข้ากลับมาแล้ว แล้วยังพาแขกมาด้วย ยังไม่ออกมาคำนับท่านลุงอีก” ซีถงเดินเข้ามาก็ตะโกนทันที
เหล่าฮูหยินวางงานในมือลงแล้วออกมาต้อนรับตัวเองอย่างมีความสุข พวกเด็กๆ ก็พากันออกมาจากหลายๆ มุม เสียงตะโกนเรียกพ่อทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดหัว
แต่เมื่อพวกเขาเห็นชุดเกราะที่งดงามของอวิ๋นเยี่ย พวกเขาก็ตกตะลึงไปเลย ฮูหยินที่ท้องโตคนหนึ่งร้องไห้และพูดว่า “ท่านทหาร ได้โปรดอย่าเอาท่านพี่ของข้าไปเป็นทหาร ทั้งบ้านสี่สิบกว่าคนยังต้องพึ่งพาท่านพี่ หากท่านต้องการ ท่านก็เอาข้าไปเถอะ ข้ายังทำอาหารให้กับกองทัพกินได้”
พวกเด็กๆ ก็พากันหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของแม่ทีละคน ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ฮูหยินสองสามคนซ่อนลูกที่โตแล้วไว้ข้างหลัง ป้องกันพวกเขาจากอวิ๋นเยี่ยอย่างเต็มที่ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงขั้นถือขวานออกมาราวกับว่าหากมีอะไรผิดปกตินางก็จะสู้อวิ๋นเยี่ยสุดชีวิต
อวิ๋นเยี่ยมองซีถงที่มีความสุขอย่างจนด้วยหนทางจึงหมุนตัวไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ทุกท่าน ข้าเป็นสหายของซีถง เพิ่งจะนำกองทัพทหารผ่านมาที่นี่ ตั้งใจมาเยี่ยมสหาย ไม่ได้มาทำอันใด”
“เจ้าคือท่านโหวที่พ่อบอก? บ้านเจ้าที่มีอาหารอร่อยๆ เยอะแยะ? แล้วยังมีม้าตัวอ้วนๆ ตัวหนึ่ง มีหมูที่มีน้ำหนักตั้งห้าร้อยกิโลอีกตัวหนึ่ง?” เด็กผู้ชายวัยเจ็ดแปดขวบแวบออกมาจากข้างหลังฮูหยิน เบิกตากว้างมองมาที่อวิ๋นเยี่ย
“ใช่แล้ว ข้าเอง ของอร่อยๆ ที่บ้านของข้าเมื่อปีที่แล้วก็เอาให้พ่อของเจ้ามาแล้ว บอกให้เขาเอามาให้เจ้ากิน แต่น่าเสียดายที่พ่อของเจ้าเอาไปให้คนอื่นหมด แล้วยังมีเนื้อแห้งอร่อยๆ เขาก็เอาไปให้คนอื่น เขาเป็นพ่อที่สุรุ่ยสุร่าย คราวหน้าอยากกินอะไรอร่อยๆ ก็บอกท่านลุง อย่าให้พ่อเจ้ารู้ล่ะ เดี๋ยวเขาจะเอาไปให้คนอื่นอีก”
อวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงมาลูบที่หัวของเด็กคนนั้นเบาๆ หยอกล้อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของพวกเขาแต่ซีถงกลับยิ้มหน้าบานกว่าเดิม
“ไม่ใช่ซะหน่อย ที่พ่อเอาขนมอร่อยๆ ให้กับคนพวกนั้น ก็เพราะพวกเขากำลังจะหิวตาย พ่อของข้ากำลังช่วยชีวิตคน ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่ายนะ พ่อข้าบอกแล้วว่า เจ้าต่างหากที่เป็นจอมล้างผลาญอันดับหนึ่งของโลก”
“ฮ่าๆๆ” อวิ๋นเยี่ยกับซีถงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เหล่าฮูหยินถึงได้มั่นใจว่าทหารคนนี้เป็นเพื่อนของท่านพี่จริงๆ ไม่ได้มาจับท่านพี่ไปเป็นทหาร
เด็กผู้หญิงผมสีเหลืองอายุห้าหกขวบแทรกตัวออกมาแล้วถามว่า “ท่านลุง พ่อบอกว่าหากเจ้ามา เจ้าจะเอาผ้าไหมดอกไม้สวยๆ มาให้ข้า เซียวเหอก็ยังมี แต่ข้าไม่มี”
“ผ้าไหมดอกไม้อะไรกัน ท่านลุงเอาผ้าซาตินมาให้ทุกคนเลย ให้แม่ของเจ้าทำชุดดอกไม้ กระโปรงดอกไม้สวยๆ ให้เจ้า แล้วยังมีหินสวยๆ อีกด้วย ดีเลย เอาไว้เป็นสินสอดในอนาคตด้วย”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและหยิบกระเป๋าออกมาจากแขน เอาอัญมณีสีเขียวให้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สายตาเด็กผู้หญิงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ถืออัญมณีแล้วเงยหน้าพูดกับดวงอาทิตย์ว่า นางไม่เคยเห็นหินที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
“เสี่ยวฮวา วางลง!” ผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่ผ้าปิดหน้าเดินออกมาจากฝูงชน เอาอัญมณีที่อยู่ในมือของเสี่ยวฮวามา คำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป เด็กๆ รับเอาไว้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตนางจะสั้น ท่านโปรดเอาคืนกลับไปเถิด”
อวิ๋นเยี่ยมองกลับไปที่ซีถงด้วยความประหลาดใจ ซีถงเดินไปหยิบอัญมณีจากมือของผู้หญิงคนนั้น ยัดให้เสี่ยวฮวาแล้วพูดว่า “จิ่วเหนียงคิดมากเกินไปแล้ว คนอื่นให้ทรัพย์สมบัติอาจจะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย แต่สิ่งที่เขาให้เป็นเรื่องชอบธรรม เราเป็นสหายกัน ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งของพวกนี้อยู่แล้ว รับมันไว้เถอะ รับมันไว้ เขาเป็นคนในตระกูลที่ร่ำรวยในต้าถังเชียวนะ ไม่เอาของเขาจะไปเอาของใครล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพื่อไว้หน้าผู้ชายของตัวเอง นางจึงก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณสำหรับของขวัญของท่านลุง”
อวิ๋นเยี่ยยิ้ม เอาถุงในมือยื่นให้กับซีถง แล้วพูดกับฮูหยินคนนั้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้ ตอนที่พี่ซีถงมาเยี่ยมข้า หนังสัตว์ราคาเป็นหมื่นข้าก็ยังรับเอาไว้ อัญมณีถุงเล็กๆ ท่านให้ความสำคัญมันมากเกินไปแล้ว”
ซีถงพูดกับฮูหยินเบาๆ อีกครั้งว่า “สหายอวิ๋นเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แล้วยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เจ้ากังวลว่าข้าจะเอาชีวิตของข้าตอบแทนบุญคุณเขาหรือ เจ้าคิดมากไปแล้ว ทหารใต้บังคับบัญชาของเขามีตั้งมากมาย หนึ่งในนั้นแม้แต่ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้น ชีวิตของข้ามีไว้ให้พวกเจ้ากับพวกเด็กๆ เท่านั้น เรื่องอื่นก็แค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป เกรงว่าความหวังที่สูงที่สุดของไอ้นี่ก็คืออยากให้ข้าตายอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งนี้ ไม่ให้ข้าได้ไปผุดไปเกิดอีกชั่วชีวิต”
ซีถงเป็นคนฉลาดมาตลอด เพียงแค่ถูกรูปลักษณ์ภายนอกที่หยาบกระด้างบดบังแสงสว่างแห่งปัญญา อวิ๋นเยี่ยสงสัยเป็นอย่างมาก ประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่มีความอ่อนโยนอย่างหาคนจะพูดได้ยาก และผู้หญิงคนนี้ก็สุภาพมีมารยาท ไม่ใช่หญิงชาวนาในชนบทธรมดาแน่นอน
เมื่อหลิวจิ้นเป่าเอาของขวัญมาถึงบ้านหลังนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่มีความสุขที่สุดก็คือพวกเด็กๆ ขนมที่อยู่ในกล่อง ฮูหยินแบ่งให้เด็กๆ ละคนสองชิ้น มองดูพวกเด็กๆ บรรจงเลียมือตัวเองอย่างละเอียดลออในใจก็เกิดความรู้สึกสงสาร เสี่ยวฮวาที่อยู่ในฝูงชนเลียอยู่พักหนึ่งก็เอาขนมไปยื่นให้แม่อย่างระมัดระวังและพูดอย่างมีความสุขว่า “แม่ ลองชิมดูสิ หวานมากเลย”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ฮูหยินน้ำตาไหลดั่งสายฝน สำลักขนมและส่ายหน้า ครั้งหนึ่งตระกูลของตัวเองก็เคยเป็นตระกูลร่ำรวย แต่ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองกินขนมธรรมดาๆ แค่คำเดียวก็ยังมีความสุขถึงเพียงนี้ พระเจ้า ภัยพิบัตินี้อย่าได้มีมาอีกเลย
อวิ๋นเยี่ยและซีถงนั่งอยู่ใต้ชายคา นั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะไม้ ถึงแม้ว่าจะมีผักสีเขียวอยู่สองชาม แต่มันกลับไม่ได้ขัดขวางการดื่มเหล้าของพวกเขา ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็ถามซีถงเบาๆ ว่า “ภรรยาของเจ้าไม่ธรรมดา ไม่เหมือนหญิงชาวนาชั่วไป ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายเหมือนกับภรรยาของข้า”
“ฮ่าๆๆ ดูออกแล้วหรือ ก็คุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลโตนั่นแหละ ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวหูมาบุกรุกเหอเป่ยน่ะ ตระกูลของนางถูกทำลาย นางบอกว่าทั้งบ้านรอดมาได้เพียงไม่กี่คน ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์ ถูกสามีของนางเอาตัวนางไปซ่อนไว้ในบ่อน้ำถึงได้หลบหนีออกมาได้ เดิมทีคิดว่าตัวเองจะได้ลูกชาย ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วได้ลูกสาว จากนั้นก็ใช้ชีวิตด้วยความผิดหวังและสับสน รวบรวมกลุ่มพวกผู้หญิงมาช่วยกันเอาตัวรอดออกมาได้ จากนั้นก็เก็บข้ามา และเพื่อที่จะหาที่พึ่งพิงให้กับผู้หญิงพวกนั้นจึงตอบตกลงแต่งงานกับข้าในฐานะฮูหยินใหญ่ แต่ว่าข้าไม่เคยแตะต้องนาง อยากจะรอจนกว่าจะถึงวันที่นางเต็มใจ”
คิดไม่ถึงว่าไอ้สารเลวคนนี้ยังคงเป็นสุภาพบุรุษ ยกจอกเหล้าขึ้นมา สองสหายเคารพซึ่งกันและกัน ดื่มจนหมดจอก
“เจ้าไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้หรือ ยังทำผู้หญิงอีกสองสามคนตั้งครรภ์ หากเป็นเช่นนี้ ความหวังที่เจ้าจะเข้าห้องหอกับนางก็คงน้อยลง”
“เจ้าจะไปรู้อะไร จิ่วเหนียงฝันอยากจะได้ลูกชาย ข้าแข็งแรงเช่นนี้ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วยังรู้จักที่จะรักเด็ก ไม่เคยทุบตีฮูหยิน ผู้ชายที่ดีเช่นนี้ นางร่วมหอกับข้าจะไปร่วมหอกับใครล่ะ”
“เป็นคำพูดที่สมเหตุสมผล จากมุมมองของสัตว์ร้าย เจ้ามีขนที่สง่างาม ร่างกายแข็งแรง แขนขาเรียวยาว กล้าหาญชาญชัย สมแล้วที่เป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย เป็นสายพันธุ์ดีในการผสมพันธุ์ แต่เจ้าเป็นคนไม่ใช่สัตว์ เงื่อนไขเหล่านี้มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์คือความรู้สึก หากรู้สึกว่าใช่ จะเข้าห้องหอเลยทันทีก็ไม่มีปัญหา หากรู้สึกว่าไม่ใช่ นอนเตียงเดียวกันแต่ฝันคนละเรื่องก็อาจจะเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องผิดหวังในอนาคต ดังนั้นเจ้าต้องรีบหากลยุทธ์”
“กลยุทธ์อะไร”
“ข้ารู้ว่า ความปรารถนามีส่วนเกี่ยวข้องกับตรงนี้” อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ไตของตัวเอง
“เหลวไหล ใครก็รู้ถึงความสำคัญของน้ำไต ตอนเด็กๆ ตอนที่ท่านอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้า เขาบอกให้ข้าเสริมสร้างไตเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่มีน้ำไต นั่นคือขันที”
“เจ้าใจเย็นๆ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเขินอาย บางครั้งผู้ชายก็ควรเป็นฝ่ายรุก ยังไงข้ากับเจ้าก็ผ่านการตรวจสอบมาแล้วเป็นเวลานาน หน้าก็ด้าน ย่อมไม่กลัวจะถูกปฏิเสธ แล้วอีกอยากตอนที่ข้าอยู่ที่ฉางอัน มีเครื่องมือวิเศษชิ้นหนึ่ง หากมีเครื่องมือชิ้นนั้น ไม่มีทางแพ้พ่าย”
“ฮ่าๆๆ” ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เครื่องมือวิเศษอะไร ข้าขอลองใช้งานหน่อยได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน สิ่งนี้มีชื่อเรียกว่าซุนเฟิงซั่น…”
…………………………………….