เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 11 ความแค้นของหลี่ซื่อหมิน
อวิ๋นเยี่ยคิดจะแยกตัวออกไป แต่ถูกคนพวกนั้นดึงคอเสื้อไว้ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ หลี่ซื่อหมินไม่สนใจพวกขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ที่กำลังทำความเคารพเขา เดินฝ่าฝูงชนมาหาอวิ๋นเยี่ย
“พูดต่อสิ โม้ต่อสิ เดินทางโดยเรือไปทางทิศใต้เก้าสิบวันก็จะไปถึงดินแดนต้าสือ แล้วเดินทางไปอีกสี่สิบกว่าวันก็จะไปถึงทวีปที่ยังไม่มีใครคนค้นพบ เจ้าพูดถึงแต่ความร่ำรวยเท่านั้น เหตุใดไม่พูดถึงความยากลำบากและอันตราย แล้วยังจะกล้าไปทางทิศใต้อีก รู้ทิศทางไม่ชัดเจนแล้วยังกล้าพูดเรื่องเหลวไหลขนาดนี้ อาณาจักรป๋อไห่ที่อยู่ทางตอนเหนือนั้นมีความเสี่ยงอยู่มาก มีศัตรูอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยังมีอารมณ์มาทำกิจการค้าขายกับเจ้าอยู่อีกหรือ แร่เงินของรัฐวอยังคงอยู่ใต้ดิน เจ้ายังกล้าพูดได้เต็มปากว่าพวกเขามีเหมืองแร่เงินเยอะกว่าต้าถังอีกหรือ
ครั้งที่แล้วเจ้าก็คุยโม้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์เพื่อที่จะขายตั๊กแตน ทั้งรักษาโรคตาบอดกลางคืน ทั้งเป็นประโยชน์ต่อประเทศและราษฎร แต่เหตุใดสุดท้ายแล้วมีเพียงตระกูลอวิ๋นของเจ้าเท่านั้นที่ได้รับเงินจำนวนมาก ทหารที่น่าสงสารของข้าได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อตั๊กแตนจากตระกูลอวิ๋น ช่างใจดำเสียจริง ตอนนี้กลับขนอาหารหมูมาอีกครั้งเพื่อหลอกชาวเมืองฉางอัน เจ้าทำใจกับการหลอกลวงพวกคนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้อย่างไร
ทุกครั้งที่หลอกขายของก็จะเอาความสอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศและการดำรงชีวิตของผู้คนมาอ้าง เชื่อมโยงเข้ากับแผนการใหญ่ของราชสำนัก ทำให้ดูเหมือนว่าหากไม่ซื้ออาหารหมูของเจ้าก็แสดงว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก ไม่สนใจความเป็นอยู่ของบ้านเมือง คนที่โกหกได้อย่างเจ้าไม่เคยมีมาก่อน และหลังจากนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว”
หลี่ซื่อหมินพึ่งจะพูดจบ ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องพากันจับจ้องไปยังอวิ๋นเยี่ย เมื่อครู่ถูกกระตุ้นจนเลือดเดือดพล่านกระทั่งทุกคนเกือบจะสั่งให้เอารถมาขนสาหร่ายไปเพื่อลองชิม โชคดีที่ฝ่าบาททรงพระปรีชา เปิดเผยข้อมูลหลอกลวงได้ทันเวลา ตอนนี้เมื่อคิดถึงภาพที่คนในครอบครัวล้อมวงเพื่อกินอาหารหมูก็รู้สึกโกรธ แค่คิดถึงสถานการณ์เช่นนั้นก็รู้สึกสลดใจ
หลี่เซี่ยวกงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย นอกจากวันนี้จะเป็นวันเกิดของท่านป้าของเจ้า มีบะหมี่อายุยืนหนึ่งชาม ที่แท้วันนี้พวกข้าก็เป็นหมูที่เจ้าเตรียมจะเชือด เจ้าเอาของดีอย่างเนื้อปลาวาฬออกมาก่อน จากนั้นค่อยดึงดูดให้ทุกคนสนใจสาหร่ายทะเล เมื่อนำปลาวาฬออกมาก่อนทำให้สาหร่ายดูเป็นของที่มีคุณค่า นอกจากนี้ยังพูดเรื่องการไปเสี่ยงโชคทางเส้นทางเหนือและใต้ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทมาเตือนสติ วันนี้ข้าคงกลายเป็นตัวตลกในเมืองฉางอัน อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้ข้าจะให้เจ้ากินสาหร่ายทะเลและต้องกินเข้าไปให้หมด”
หลี่เต้าจงได้สั่งให้คนรับใช้ไปหาสาหร่ายทะเลที่รถด้านนอก ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยต้องการจะขายสาหร่ายทะเลที่รถด้านนอกจะต้องมีแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพียงครู่เดียวคนรับใช้ก็ยกหม้อสาหร่ายทะเลมา ทุกคนเห็นความลื่นของสาหร่ายทะเลแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นคาวรุนแรงที่คละคลุ้งไปหมด
อวิ๋นเยี่ยถูกขันทีร่างใหญ่ดึงคอเสื้อไว้จนไม่สามารถขยับไปไหนได้ เขายิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะเชิญทุกคนมาชิมเนื้อปลาวาฬ ส่วนเรื่องขายสาหร่ายทะเลก็พูดแนะนำขึ้นมาก็เท่านั้น สำหรับเรื่องเส้นทางการเดินเรือข้าก็แค่พูดตามคำบอกเล่า มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ก็ต้องนำมาแบ่งปันให้ทุกคนได้ร่ำรวยด้วยกัน”
หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ใหญ่ที่สุด หยิบขนมพุดตานจากบนโต๊ะขึ้นมาชิม เมินเฉยต่ออวิ๋นเยี่ยที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก นั่งรอดูความสนุก
เมื่อเห็นหลี่เต้าจงหยิบสาหร่ายชิ้นยาวที่มีเมือกขึ้นมาเตรียมจะยัดเข้าปากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “องค์ชาย สาหร่ายทะเลพวกนี้ต้องทำให้สุกก่อนถึงจะกินได้ หากกินดิบจะไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร”
หลี่เต้าจงมองดูสาหร่ายที่อยู่ในมือ ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม อาหารพวกนี้อย่างไรก็ต้องทำให้สุกก่อนจึงจะกินได้ ตัวเองทำไม่เป็น จึงพูดกับขันทีที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยว่า “ต้วนหงปล่อยเขา วันนี้ข้าอยากจะเห็นว่าเขาจะทำอาหารหมูออกมาได้อร่อยสักแค่ไหน เจ้ารีบไปทำเดียวนี้”
ขันทีมองไปที่หลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินปัดมืออนุญาตให้ไปได้ ขันทีจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ยลง อวิ๋นเยี่ยลูบคอที่รู้สึกปวดแล้วเหยียบไปที่เท้าขันทีอย่างแรง พบว่าต้วนหงไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ตัวเองกลับรู้สึกเจ็บเท้า ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินไปหาขันทีที่มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงแบบนี้มาจากไหน
อวิ๋นเยี่ยยกสองมือขึ้นคำนับแล้วเดินออกไปพร้อมกับคนรับใช้ที่ถือสาหร่าย เตรียมจะให้พวกเขาเหล่านี้ได้ลิ้มรสความอร่อยของสาหร่ายทะเล
เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปหลี่ซื่อหมินก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคำนวณผิดอีกแล้ว ไอ้เจ้านั่นเป็นคนฉลาด อย่าว่าแต่กินสาหร่ายทะเลเลย ต่อให้เป็นท่อนไม้เขาก็สามารถทำให้พวกเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยได้ สิ่งที่เขาทำออกมารสชาติจะต้องดีแน่นอน ปัญหาก็คือหลังจากที่พวกเจ้าซื้อกลับไปจะสามารถทำให้มันอร่อยได้หรือไม่ สุดท้ายก็เป็นเขาที่ชนะ ดูแล้ววันนี้พวกเจ้าจะต้องซื้อสาหร่ายทะเลของเขาและคงซื้อไปไม่น้อย”
หลี่เซี่ยวกงหัวเราะแล้วพูดว่า:“ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรพวกเราก็แค่ทำเป็นหูทวนลม เช่นนี้เขาจะยังยัดเยียดขายสาหร่ายให้พวกเราอีกหรือ ที่นี่ต่างก็เป็นคนในตระกูลหลี่ของข้า ท่านโหวอย่างเขาคงไม่มีอำนาจทำตัวเป็นใหญ่”
หลี่ซื่อหมินพูดอย่างหงุดหงิดว่า:“พวกเจ้าไม่เคยเห็นตอนที่เขาแกล้งให้ข้ากินตั๊กแตน เมื่อพวกเจ้าได้เห็นแล้วก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วโอกาสชนะของพวกเจ้านั้นมีน้อยนัก ตั๊กแตนพวกนี้แม้แต่ฮองเฮาก็ยังกินเข้าไป ชิงเชวี่ยและเค่อเอ๋อร์ก็กินเข้าไปไม่น้อย เซี่ยวกง เต้าจง พวกเจ้าสองคนก็หนีไม่พ้นไม่ใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หลี่เค่อก็หน้าซีดปิดปากตัวเองแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ตั๊กแตนคือฝันร้ายของเขา หลี่เซี่ยวกงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “ตั๊กแตนที่ระบาดในตอนนั้นถูกพวกเรากินจนหมด หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ยินว่ามีตั๊กแตนระบาดในกวนจงอีก หากทำให้เกิดเรื่องดีๆ เช่นนี้ ต่อให้ต้องกินอีกข้าก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่”
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้นอีกเมื่อกินสาหร่ายทะเล” หลี่ซื่อหมินวางขนมในมือลงแล้วหยิบไม้ไผ่ที่อวิ๋นเยี่ยวางไว้บนแผนที่จำลอง ชี้ไปที่แผนที่จำลอง อธิบายความแตกต่างระหว่างเส้นทางใต้และเส้นทางเหนือให้กับเหล่าขุนนาง เส้นทางทิศใต้นั้นยาวไกล ตลอดทางต้องผ่านเมืองและท่าเรืออีกมากมาย หากอยากจะทำกิจการ เส้นทางเดินเรือนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดและได้ผลกำไรเยอะที่สุด ส่วนเส้นทางเหนือมีสงครามอยู่เรื่อยๆ จึงมีความอันตรายอยู่มาก อิทธิพลของต้าถังไม่เพียงพอที่จะควบคุมความป่าเถื่อนของชนเผ่าอี้โหลว…
เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกคุมตัวมาถึงห้องครัวจึงได้เข้าใจว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของภรรยาหลี่เซี่ยวกง ถือว่าเป็นงานใหญ่ของตระกูลหลี่ ทุกครั้งที่เวียนมาพบเรื่องแบบนี้ ในฐานะผู้นำประเทศหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนก็จะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเพื่อกระชับสัมพันธไมตรี เพราะอย่างไรแล้วนี่ก็คือการพึ่งพาในการปกครองของเขา ตัวเองไม่ได้เลือกวันให้ดี เดิมทีคิดว่าคนโง่เหล่านี้หลอกได้ง่าย คำพูดที่ว่า ‘โง่แต่มีเงิน’ นั้นหมายถึงพวกเขา เพียงแค่พูดสรรพคุณสองสามคำแล้วเติมแต่งข้อเท็จจริงลงไปจากนั้นก็พูดถึงเป้าหมายที่น่าหลงใหล เพียงเท่านี้ก็จะขายสาหร่ายได้อย่างราบรื่น วิธีการทางธุรกิจธรรมดาทั่วไปนี้ใช้ไม่ได้ในยุคปัจจุบันแล้ว แต่มักจะใช้ได้ผลในต้าถัง
แต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอคนที่ไม่เชื่อใครนอกจากตัวเองอย่างหลี่ซื่อหมิน ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิด ถูกขันทีหิ้วปีกลอยขึ้นกลางอากาศ ช่างน่าอับอายขายขี้หน้า ยังดีที่อดทนไว้พยายามไม่ดิ้น ไม่เช่นนั้นก็จะขายหน้าไปมากกว่านี้ ช่างเถอะ การถือสาหลี่ซื่อหมินก็มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกโมโห คงจะอาศัยคนโง่อย่างตระกูลหลี่ไม่ได้แล้ว ทำได้แค่เพียงหากลุ่มคนโง่เป้าหมายใหม่ ไม่รู้ว่าพวกฝางเสวียนหลิงอยู่บ้านหรือไม่
หากหลี่ซื่อหมินรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดอะไรจะต้องจับเขาหั่นเป็นชิ้นๆ แน่ แกล้งทำเป็นผู้นำที่ดีเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนในตระกูลหลี่?
ต้าถังเป็นสังคมที่แปลกมาก ในราชสำนัก ในฐานะฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินจะไม่ยอมให้ตระกูลหลี่ใช้ผลประโยชน์จากประเทศ แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นฮ่องเต้ตระกลูหลี่ในกวนจง เขาก็จะวางแผนให้แต่ตระกูลของตัวเอง จัดทำแผนพัฒนาระยะยาวอย่างทุ่มเท สร้างปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดให้กับโลกใบนี้
หลี่เค่อยืนพิงประตูมองดูอวิ๋นเยี่ยจัดการกับอาหารหมู สาหร่ายทะเลที่มีเมือกเหนียวๆ นั้นกินได้จริงๆ หรือ แต่ว่าซุปไก่ในหม้อนั้นรสชาติไม่เหลวเลยทีเดียว มองดูอวิ๋นเยี่ยโยนสาหร่ายสีเขียวเข้าไปในหม้อ เหตุใดกลิ่นจึงหอมดึงดูดเช่นนี้
สาหร่ายทะเลสามารถนำไปตุ๋นซีโครงได้? นำไปผัดกับเนื้อก็ได้? สาหร่ายที่โรยด้วยงาจานนั้นดูมีสีสันสวยงาม สาหร่ายทะเลที่ผัดใส่พริกเล็กน้อยก็มีกลิ่นหอมเตะจมูก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เขายังมัดสาหร่ายทะเลเป็นปมและตุ๋นกับเต้าหู้ โรยด้วยกุ้ยช่าย สีสันดูน่ากิน
เหตุใดต้องเอาซี่โครงใส่ลงไปในซุป แต่เทเพียงหัวไชเท้ากับสาหร่ายทะเลใส่ถ้วยเซรามิกสีขาวเท่านั้น เพื่อให้ดูหรูหราอย่างนั้นหรือ มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่ามีราคา
เดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังกินซี่โครง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะกินอะไร หลี่เค่อก็จะไม่ปฏิเสธ ยกเว้นอาหารที่มีมากเกินไปอย่างตั๊กแตน รสนิยมของเขาและอวิ๋นเยี่ยไม่แตกต่างกันมากนัก หยิบซี่โครงขึ้นมาจากจานหนึ่งชิ้น ลองกัดเข้าไปหนึ่งคำ รู้สึกว่ารสชาติอร่อยเป็นพิเศษ
“อวิ๋นเยี่ย ซี่โครงช่างอร่อยเสียจริง เหตุใดเจ้าจึงแยกซี่โครงออกมาเสียดายของ” หลี่เค่อกินซี่โครงจนหมดแล้วจึงถาม
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร ส่งชามเซรามิกใบเล็กให้หลี่เค่อ บอกให้เขาลองชิมดู หลี่เค่อรับมา หลับตาแล้วลองดื่มซุป จากนั้นก็ใช้ช้อนจัดการส่วนที่เหลือจนหมดทันที มองไปที่อวิ๋นเยี่ยอย่างมีความหวัง เขาอยากจะลองชิมอาหารอื่นๆ อีก
“เสี่ยวเค่อ ฮองเฮาก็มาด้วยใช่หรือไม่ กำลังพูดคุยอยู่กับพวกท่านป้าใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามหลี่เค่ออย่างมีเลศนัย
“อยู่สิ ช่วงเวลาแบบนี้ฮองเฮาจะไม่อยู่ได้อย่างไร ตอนนี้ที่หลังตำหนักมีผู้หญิงหลายคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ น้องสาวข้าสามสี่คนก็มาด้วย ช่างน่ารำคาญ เมื่อก่อนตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่พวกนางก็เอาแต่ตามติดเขา ตอนนี้พี่ใหญ่ไปชายแดน ส่วนชิงเชวี่ยเองเจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนไม่มีความอดทนและเป็นคนน่าเบื่อ ดังนั้นตอนนี้พวกนางจึงตามติดข้า บ้านของข้าในฉางอันกำลังจะกลายเป็นสนามเด็กเล่นของพวกนาง ทำเอาข้าไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ปล่อยให้พวกนางอยู่ในบ้านได้ตามใจชอบ”
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจแล้วพูดกับหลี่เค่อว่า “ที่นี่มีอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงแก่ผู้หญิง ข้าคิดว่าพวกผู้หญิงที่มีอายุแล้วอย่างฮองเฮาและท่านป้าต้องการสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก แม่ของเจ้าก็ต้องการด้วยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบำรุงหัวใจและสายตา หน้าที่หลักของสาหร่ายทะเลคือกำจัดไขมัน มีประโยชน์ต่อคนที่เลือดลมไม่ดีอย่างฮองเฮา แล้วยังช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย”
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้กับข้า มีอะไรก็พูดมา หากช่วยได้ข้าก็จะช่วย” หลี่เค่อทำกิจการกับอวิ๋นเยี่ยมานับครั้งไม่ถ้วน จึงรู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่การปูทางเพื่อเชื่อมโยงเข้าเรื่องที่จะพูดในภายหลัง
“ความจริงแล้วข้าอยากจะถามว่า หากพวกเราสองคนยกอาหารพวกนี้ไปที่หลังตำหนักจะเสียมารยาทหรือไม่”