เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 12 งานขายที่สมบูรณ์แบบ
“พวกเราสองคนเป็นลูกหลาน ก็ถูกต้องแล้วที่จะต้องเอาใจผู้อาวุโส เราสองคนนำอาหารอร่อยๆ มาแสดงความกตัญญู เสียมารยาทที่ไหนกัน เจ้าเอาสาหร่ายทะเลกลับมาตั้งเยอะแยะจะไม่ขายได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าทหารกองทัพเรือกำลังรอเงินขายสาหร่ายมาใช้เป็นค่าจ้าง ค่าจ้างมีขึ้นเป็นครั้งแรกในกองทัพเรือหลิ่งหนานของเจ้า กองทัพเรือเขตอื่นๆ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเงินค่าจ้าง เพื่อพวกเขาแล้วต่อให้เสียมารยาทก็ต้องลองไปดูสักครั้ง อย่างมากก็อาจจะถูกผู้หญิงเหล่านั้นกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่ได้จะเอาชีวิตพวกเราเสียหน่อย”
ตอนนี้หลี่เค่อมีคุณสมบัติในการเป็นพ่อค้าที่ดีตามมาตรฐานแล้ว ขอแค่ได้กำไรก็ไม่จำเป็นต้องห่วงศักดิ์ศรี สำหรับเขาแล้วการขายสาหร่ายทะเลถือเป็นเรื่องใหญ่ หากราชวงศ์ไม่มีใครกินสาหร่ายทะเล เจ้ายังกล้าหวังให้ราษฎรซื้อสาหร่ายทะเลของเจ้าอีกหรือ
สองคนพากันแบกกล่องใหญ่คนละกล่อง หลี่เค่อได้ขู่พ่อครัวว่าไม่อนุญาตให้บอกเรื่องที่พวกเขาสองคนไปหลังตำหนักแก่พวกผู้ชายที่กำลังพูดคุยเรื่องเส้นทางรวย มิเช่นนั้นจะถูกเฆี่ยน
องค์ชายและท่านโหวจะไปประจบฮองเฮาที่หลังตำหนัก ไม่อนุญาตให้บอกใครทั้งนั้น นี่คือความเข้าใจของพ่อบ้านของหลี่เซี่ยวกง หน้าที่รับผิดชอบของเขาคือห้องครัวไม่ใช่หลังตำหนัก เขาจึงยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อวิ๋นเยี่ยจึงให้รางวัลเขาเป็นเงินหนึ่งเหรียญ
เมื่อผ่านห้องแผนที่จำลองก็ได้ยินเสียงหลี่เซี่ยวกงพูดอย่างดุดันว่ “แคว้นวอมีความสัมพันธไมตรีที่ดีกับแดนไป่จี้มาตลอด แม้ว่าดินแดนซินหลัวจะเข้าข้างเรา แต่ก็มักจะถูกพวกชาวแดนไป่จี้รั้งไว้เสมอ ทำให้เราไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าหากจะบอกว่าที่นั่นไม่มีการควบคุมของแคว้นวอ ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด หากไม่แน่ชัดว่าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ข้าก็จะบัญชาการกองทัพทหารไปปราบแคว้นวอ เพื่อกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่เซี่ยวกงจะไปแคว้นวอหรือไม่ แต่สิ่งที่ตัวเองต้องทำก็คือจะต้องไปหลังตำหนักเพื่อขายสาหร่ายทะเล ในเมื่อโจมตีทางตรงไม่ได้ ยังจะไม่อนุญาตให้ข้าโจมตีทางอ้อมอีกหรือ
ในสวนดอกไม้มีเสียงดังครึกครื้น เต็มไปด้วยสาวใช้และหญิงแก่ที่เดินเข้าๆ ออกๆ แน่นอนว่ามีองค์หญิงที่น่ารำคาญมากมายอยู่ในนั้น อย่างเช่นองค์หญิงหลานหลิงที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ
อวิ๋นเยี่ยและหลี่เค่อเจอกับนางทันทีที่เดินเข้าทางประตูพระจันทร์ เมื่อนางเห็นกล่องใหญ่ๆ สองกล่องแววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา นอกจากตั๊กแตนที่ทำให้คนคลื่นไส้แล้วสิ่งของอื่นๆ จากตระกูลอวิ๋นก็มีแต่ของอร่อยทั้งนั้น แต่ว่าท่านแม่บอกว่านั่นเป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่ประเทศ กินเข้าไปก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรซ้ำยังถือว่าได้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยและพี่สามได้ยกกล่องอาหารขนาดใหญ่มาสองกล่อง ข้างในจะต้องมีของอร่อยมากมายแน่ๆ
เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบนั้นน่ารำคาญแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอย่างลึกซื้ง ที่บ้านของตัวเองก็มีอยู่สองสามคน เป็นเด็กที่ช่างอยากรู้อยากเห็น นี่คือคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของพวกนาง
ดึงแขนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยแกว่งไปมา ออดอ้อนอยากจะกิน แล้วยังให้เขาเปิดกล่องอาหารให้นางดู เหอผู่ที่แก่กว่านางสองปีก็ตามมาด้วย นางไม่ได้สนใจของกินแต่นางสนใจอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นโหว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโดนปลาตัวเล็กตกใส่หัวจนเป็นลมไป เจ้าไม่ดูอ่อนแอเกินไปหรือ”
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่านางยังเด็กจึงไม่ได้สนใจนาง ไม่มีเวลาอธิบายให้นางฟังว่าปลาที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งศอกจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อตกจากที่สูงด้วยความเร็วของแรงโน้มถ่วงโลก เด็กผู้หญิงคนนี้คงไม่เก่งคณิตศาสตร์ นางมักจะแอบอู้เวลาเรียน อาจารย์ของนางควรโดนทำโทษ
เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจตัวเอง เกาหยางก็ไม่ยอมทำตาม จึงดึงแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยแกว่งไปมากับหลานหลิง แต่ว่าเด็กผู้หญิงสองคนนี้มีแรงเท่าอวิ๋นเยี่ยเสียที่ไหน เขาลากพวกนางเดินเข้าไปข้างในด้วย
“อวิ๋นเยี่ย ที่นี่คือตำหนักหลัง เจ้าช่วยอ่อนโยนสักหน่อยไม่ได้หรือ เจ้าดูสิสาวน้อยพากันตกใจกลัวไปยืนหลบอยู่หลังต้นไม้กันหมดแล้ว”
โหวเหลียนเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสองคน เมื่อครู่ก่อนกลุ่มองค์หญิงกำลังอ่านบทกวีอยู่ริมสระบัว ตอนนี้พากันไปหลบอยู่ข้างหลังต้นไม้กันหมดแล้ว หลบก็หลบไปแต่ทำไมต้องใช้พัดปิดครึ่งหน้าแล้วแอบดู ทำท่าทางขยะแขยง น่าจับมาแกล้งหนักๆ เสียจริง
“น้องเหลียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยสงสารข้าเห็นแก่ที่ข้าถูกเฆี่ยนไปหลายร้อยครั้งที่บ้านของเจ้าด้วยเถิด รัชทายาทแต่งงานกับเจ้า คนที่โดนเล่นงานมากที่สุดก็คือข้า ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่ ตอนนี้แค่คิดก็รู้สึกกลัว รบกวนเจ้าช่วยเลิกมองว่าข้าเป็นภาระด้วยเถิด แค่นี้ข้าก็จะรู้สึกเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”
โหวเหลียนเอ๋อร์ใช้พัดปิดปากตัวเองแล้วยิ้ม รีบทำหน้านิ่งแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ชายแต่กลับรังแกเด็กผู้หญิงสองคน ข้าเป็นคนมีเหตุผล ในเมื่อเจ้ากล้ามาตำหนักหลัง ก็เตรียมรอรับความโชคร้ายไว้ให้ดี จริงสิ น้องข้าที่อยู่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็พอได้ ได้ยินมาว่าแอบเปิดดูข้อสอบจึงถูกอาจารย์หลี่กังสั่งให้ไปยกหิน หากสร้างแท่นหินสูงแปดศอกขึ้นมาไม่ได้ก็ห้ามหยุด”
โหวเหลียนเอ๋อร์รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที จีบปากจีบคอแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นพี่ชายของเขา ทนดูเขาถูกลงโทษได้อย่างไร เสียแรงที่แม่ของข้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนอย่างลูกชาย มีพี่ชายที่ไหนทำตัวแบบเจ้ากัน”
“หากข้าไม่เห็นว่าโหวเจี๋ยเป็นน้องชายแท้ๆ เขาก็จะไม่ได้รับโทษเช่นนี้ ผู้ชายอกสามศอก ทำเรื่องที่ผิดก็ต้องได้รับโทษ โดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดข้าจะต้องถูกลงโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในสำนักศึกษาจะไม่มีความเห็นใจ และข้าก็จะไม่เห็นใจ เจ้าลองถามฉู่อ๋องดูว่าตอนที่เขาโดนอัด เขาได้ขอให้ข้าเห็นใจหรือไม่”
เรื่องอื่นสามารถละเว้นได้ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสำนักศึกษา โหวเหลียนเอ๋อร์นึกถึงสภาพน้องชายของนางต้องแบกก้อนหินภายใต้แสงแดดที่แผดเผาก็ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ในที่สุดนางก็ดูเหมือนผู้หญิงขึ้นมาบ้าง
“พี่สะใภ้ หลังจากที่เข้าสู่สำนักศึกษาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย ข้าและชิงเชวี่ยก็ผ่านมาอย่างลำบากลำบน ท่านดูสิหากอดทนได้ถึงสามปีมีใครบ้างที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เสี่ยวเจี๋ยก็จะเป็นเช่นนั้น เพียงแค่ต้องการการฝึกอบรมเสียหน่อย”
“แต่ว่าเขาพึ่งจะอายุสิบห้าปี ร่างกายก็บอบบาง เจ้าลงโทษเขาหนักเช่นนั้น ข้าจะไปฟ้องแม่ให้จัดการกับเจ้า”
มองดูโหวเหลียนเอ๋อร์ที่แม้แต่ท่าวิ่งยังดูสง่างาม หลี่เค่อถามอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ว่า “เจ้าทำให้นางโกรธ มันจะเสียแผนของพวกเราหรือไม่”
“ไม่หรอก เรื่องการสั่งสอนจะละเลยไม่ได้ พี่สะใภ้เจ้าก็รู้ แต่เพียงแค่ต้องการหาทางออกเพราะกลัวจะเสียหน้าเท่านั้น ข้าเตรียมจะเปิดห้องเรียนให้เด็กผู้หญิง ให้บรรดาน้องๆ ของเจ้ามาเรียน อย่างเช่นเกาหยาง หลานหลิง พวกนางเหมาะสมเป็นอย่างมาก สำนักศึกษาเลี้ยงงูไว้ก็เพื่อจะรีดพิษงู แล้วให้พวกนางเขียนบันทึกสังเกตการณ์ทุกวัน”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดจบสองคนด้านหลังก็รีบปล่อยแขนเสื้อของเขา หลานหลิงยิ้มแหย่ๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่อวิ๋นเยี่ย ข้าอยากไปดูผีเสื้อ ส่วนเรื่องของกินก็เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็ดึงเกาหยางที่กำลังหน้าซีดวิ่งหนีออกไป
สองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ช่วยกันแบกกล่องเข้าไปที่ตำหนักหลัง
ตำหนักหลังเต็มไปด้วยสุภาพสตรีชั้นสูง จั่งซุนและภรรยาของหลี่เซี่ยวกงถูกล้อมอยู่ตรงกลาง พากันพูดเรื่องครอบครัวทั่วไป เห็นท่าทางยิ้มแย้มของจั่งซุน คิดไม่ถึงว่านางจะสนใจเรื่องราวของคนอื่น แต่โหวเหลียนดึงท่านแม่ของตัวเองแล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนกำลังโกรธ
จั่งซุนเห็นอวิ๋นเยี่ยกับหลี่เค่อเดินเข้ามา จึงได้ปล่อยมือจากแม่บ้านหยางแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “วันนี้เจ้าก็มาด้วยหรือ ข่าวช่างไวเสียจริง งานมงคลของตระกูลเจ้าก็ยังรู้ ในมือถืออะไรมา”
ทั้งสองโค้งคำนับจั่งซุนแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเราแค่บังเอิญผ่านมาในเวลาที่เหมาะสมพอดี ไม่ได้เตรียมอะไรเข้าวังมาด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ทำอาหารเล็กน้อยเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้อาวุโส ข้าเสียมารยาทแล้ว”
แม่บ้านหยางหัวเราะแล้วพูดว่า “เพียงแค่มีบะหมี่อายุยืนหนึ่งชามก็พอแล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากมาย ท่านโหวเป็นคนลงมือปรุงเองก็ถือว่าเป็นเกียรติมากๆ แล้ว ข้ามักจะได้ยินองค์ชายชมว่าทักษะการทำอาหารของเจ้าไม่แพ้อี้หยาเลย วันนี้ได้กินบะหมี่หนึ่งชามข้าก็รู้สึกว่าที่เหล่าองค์ชายพูดกันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ข้าอยากเห็นอาหารอื่นๆ ที่เจ้าทำ ให้ผู้หญิงอย่างเราได้เปิดหูเปิดตาบ้าง” จั่งซุนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมกับพยักหน้า
แม่บ้านหยางเชิญให้ฮองเฮาและสตรีผู้มียศถาบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ นั่งลง ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนดูอยู่ข้างนอกเตรียมดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำอะไร
สาหร่ายทะเลรสเผ็ดหนึ่งจานและสาหร่ายทะเลผัดกระเทียมหนึ่งจานได้ดึงดูดผู้คนให้เกิดเสียงเฮฮาดังขึ้น อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าพวกนางทำเพื่อเป็นมารยาท คนที่ไม่เคยเห็นสาหร่ายทะเลจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย นี่เป็นเพียงการสร้างความสนุกสนาน
“นี่คือสาหร่ายทะเลที่ข้าเอามาจากทะเล น่าเสียดายที่คนท้องถิ่นที่นั่นไม่รู้จักมัน มีอาหารเลิศรสเช่นนี้แต่ยังต้องต่อสู้กับความอดอยาก ข้าจึงได้คิดค้นวิธีกินอยู่หลายวิธีสอนให้แก่ราษฎรในท้องถิ่นนั้น ตอนนี้ทุกคนรู้จักการรับประทานอาหารชนิดนี้แล้ว”
จั่งซุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ราษฎรมีความรู้น้อย การที่อวิ๋นโหวช่วยชี้แนะนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว ได้มีผักที่กินได้อีกหนึ่งชนิดบนโลกอาจจะช่วยลดทอนความอดอยากลงได้ เห็นแก่ความตั้งใจของเจ้า ข้าขอลองชิมสักหน่อย”
จั่งซุนใช้ตะเกียบคีบขึ้นมานิดหน่อย หลังจากที่กินเข้าไปก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่เลวเลย รสชาติล้ำเลิศจริงๆ ท่านพี่ทั้งหลายลองชิมดู อวิ๋นเยี่ยบอกว่าอร่อยก็ไม่มีทางรสชาติแย่แน่นอน”
เหล่าท่านหญิงพากันจับตะเกียบ สาวใช้ตักใส่จานให้ทุกคนเล็กน้อย แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกก็มีส่วนแบ่งด้วย เมื่อกินอาหารสองจานนี้แล้ว ทุกคนก็มั่นใจในสาหร่ายทะเลมากขึ้น ทุกคนต่างพากันมองตาแป๋วรออาหารจานต่อไปของอวิ๋นเยี่ย
เมื่อสาหร่ายทะเลกรอบและซี่โครงหมูตุ๋นสาหร่ายถูกยกออกมาสาวใช้ก็พากันตักแบ่งให้ทุกคน สาหร่ายทะเลกรอบชุบไข่กับแป้งทอด มีกลิ่นจางๆ เหมือนปลาทะเล ถูกปากเป็นอย่างมาก ซี่โครงหมูตุ๋นจากสาหร่ายทะเลเป็นอาหารอันโอชะของโลกใบนี้
อาหารที่อวิ๋นเยี่ยเลือกนั้นถูกคัดสรรมาอย่างดี พยายามทำให้อาหารทุกจานสร้างความประทับใจให้กับพวกนาง เขายืนอยู่ข้างๆ จั่งซุนคอยแนะนำข้อดีข้อเสียของอาหารและคุณค่าทางโภชนาการด้วยภาษาที่นุ่มนวลที่สุด แล้วยังปลูกฝังแนวคิดให้กับเหล่าท่านหญิงว่าสาหร่ายทะเลสามารถลดน้ำหนักและเสริมความงามได้ หลี่เค่อตามติดอวิ๋นเยี่ยอย่างใกล้ชิดเพื่อเรียนรู้วิธีการยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนขยะให้เป็นทองคำ ในมือถือสมุดจดไว้หนึ่งเล่ม จดไว้ทุกคำไม่มีพลาด
ทุกครั้งที่ชิมอาหาร อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เหล่าท่านหญิงบ้วนปากแล้วค่อยชิมอาหารจานต่อไป พวกคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อนก็รู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ครั้งแรกที่จั่งซุนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อมีคนยกชามา ก็ยกมาบ้วนปากอย่างคุ้นเคยแล้วบ้วนใส่ถ้วยที่แม่บ้านถือไว้
มีบางคนดื่มชาเข้าไปก็หน้าแดงด้วยความเขินอายทันที แต่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้มีการหัวเราะเยาะแต่อย่างใด แต่บอกเหตุผลในการทำเช่นนี้ในเชิงแนะนำ แล้วยังเล่าเรื่องที่เฝิงอั้งดื่มน้ำล้างมือตอนที่กินปูให้ฟัง ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
จั่งซุนหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นข้าราชบริพารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำเรื่องไม่สมกับฐานะเช่นนี้ ไม่อายหรือ”
“กราบทูลฮองเฮา หากข้างหลังท่านยังมีอีกหมื่นปากท้องที่รอกินข้าวอยู่ ท่านก็จะพยายามทำให้เต็มที่เช่นกัน”
จั่งซุนพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง