เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 16 เพลงกล่อมเด็กทางสามแยกอันคุ้นเคย
อย่างไรก็ต้องยอมรับว่าหลี่ซื่อหมินเป็นลูกผู้ชายที่กล้าทำกล้ารับ ทุกคนต่างก็รับรู้เรื่องที่เขาขังพ่อ ฆ่าพี่ชายและน้องชายตัวเอง เรื่องขืนใจพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ ชาวฉางอันทำเหมือนว่าไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้ ส่วนเรื่องฆ่าหลานชายก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง
ที่น่าแปลกก็คือชาวฉางอันเป็นคนใจกว้างแทบจะทุกคน เรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นปัญหา เรื่องในราชวงศ์ก็แค่ข้าฆ่าเจ้า เจ้าฆ่าข้า ตีกันไปตีกันมาขอแต่ไม่มายุ่งกับภรรยาตัวเองก็พอ การกักขังอดีตฮ่องเต้ไม่สำคัญเท่าที่บ้านไม่มีเนื้อกิน ต่อให้มีเหาเยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกกัด จิตวิญญาณที่กล้าหาญของหลี่ซื่อหมินจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม
ยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าขุนนางที่เสื้อผ้ายับเยิน หลี่ซื่อหมินบอกพวกเขาว่าตัวเองกำลังทดลองอาวุธชนิดใหม่ ควบคุมพลังได้ไม่ดีจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทุกคนอย่าได้ตกใจไป ผ่านไปสองสามวันจะพาพวกเขาไปทดลองที่ป่านอกเมืองอีกครั้ง เหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้ไม่เป็นอะไรจึงแนะนำให้ฮ่องเต้เพิ่มการคุ้มกันวังหลวง หลังจากนั้นก็พากันกลับไปนอน
ตอนที่มือข้างหนึ่งของจั่งซุนดึงหูอวิ๋นเยี่ย อีกข้างหนึ่งดึงหูหลี่ไท่ แล้วลากทั้งสองไปยังวังหลัง หลี่ซื่อหมินก็ทำเป็นมองไม่เห็น มือไขว้หลังสั่งให้ขุนนางเตรียมน้ำให้เขาอาบน้ำ วันนี้เขากะจะนอนที่ตำหนักไท่จี๋
ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยพึ่งจะคิดได้ว่าเขาประเมินหลี่ซื่อหมินไว้สูงเกินไป เขาพูดกับเหล่าขุนนางอีกอย่างหนึ่ง แต่กลับพูดกับจั่งซุนอีกอย่างหนึ่ง ที่ทหารยามตำหนักไท่จี๋ได้รับบาดเจ็บเป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่ได้ทำการทดลองจุดระเบิด ที่ตำหนักกันลู่ได้รับความเสียหายเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากระเบิดลูกที่สองที่กระเด็นมา โชคดีที่ตัวเองมือไวจึงช่วยชีวิตเจ้าเด็กสองคนนั้นไว้ได้ทัน
ฟังไม่ถนัดว่าจั่งซุนพูดอะไร นางพูดเร็วมาก นิ้วชี้ไปมา ตีหัวอวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่อยู่เรื่อยๆ นางโมโหพวกผู้หญิงในวังหลวงที่วิ่งออกมาโดยไม่ได้ใส่อะไรเลย สภาพแวดล้อมที่ดีและสามัคคีกันในวังหลวงถูกทำลายลงด้วยระเบิดสองลูก
สองคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ให้นางระบายความโกรธออกมาให้หมดก่อนจะดีกว่า
“ใครเขาทดสอบอาวุธสังหารในวังหลวงกัน มีแค่คนไร้สมองอย่างพวกเจ้าสองคนเท่านั้นแหละที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ในวัง ยังดีที่มีแค่ขันทีกับนางในบาดเจ็บไม่กี่คน หากฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งสองคนให้ดู”
อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่อ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ก้มหัวไม่พูดอะไร ยังจะพูดอะไรได้อีก หลี่ซื่อหมินจะเป็นคนผิดได้อย่างไร เช่นนั้นคนผิดก็มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่
ช่างน่าสงสาร ทั้งสองคนถูกขังไว้ในตำหนักเฉิงไท่และไม่ให้กินข้าวเย็น ใบหน้าที่เลอะเทอะก็ไม่มีใครเอาน้ำมาล้างให้ แสงจันทร์ที่ดูเย็นเยียบได้สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ผุพัง ทั้งสองคนนั่งเงียบไม่พูดอะไรกัน
ทั้งสองคนตักน้ำจากอ่างรองน้ำฝนมาล้างหน้าแล้วแกะผมออก ซุกตัวอยู่หลังผ้าม่านเพราะว่าในนี้มียุงเยอะ ตำหนักเฉิงไท่เป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่และชื้นมากที่สุดในวังไท่จี๋ ดูเหมือนว่ายุงทั้งหมดในฉางอันจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
สถานที่นี้คือสถานที่ที่ใช้ลงโทษองค์ชายและองค์หญิงเวลาทำผิด เพราะความมืดมิดที่ดูน่ากลัว ยิ่งรวมเข้ากับเสียงท้องร้องของเด็กสองคนนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศที่นี่หดหู่กว่าเดิม
ดูเหมือนว่าหลี่ไท่จะคิดอะไรบางอย่างออก เขาลุกขึ้นมาขุดใต้เสาต้นหนึ่ง ขุดไปขุดมาก็ได้ขนมดอกกุ้ยฮวามาสองสามชิ้น แต่ว่ามีราขึ้นเต็มไปหมดจึงต้องจำใจโยนทิ้ง
มีเงากระโดดผ่านทหารยามไปราวกับแมวที่ถูกฝึกมา แล้วมาหยุดที่ประตูหลังของตำหนักเฉิงไท่ ใช้เล็บขูดที่ประตูเสียงฟังดูน่ากลัว ทหารยามดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงนี้ ดูจากที่พวกเขายิ้มมุมปากก็รู้ว่าพวกเขาคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“หลานหลิง หากเจ้าไม่รีบไปเอาของกินมา เมื่อเข้าสำนักศึกษาก็รอดูได้เลยว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยหรี่ตามองไปยังเสียงคุยกันที่หลังประตู เห็นหลี่ไท่ยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อก่อนเวลาตัวเองถูกทำโทษก็จะให้เกาหยางไม่ก็หลานหลิงเอาของกินมาส่งให้ ดูแล้วคืนนี้คงไม่ต้องทนหิวแล้ว
ประตูที่ใส่โซ่ไว้ถูกผลักเข้ามาทำให้มีช่องแคบๆ หลานหลิงที่ใส่ชุดนอนเบียดตัวเข้ามาในช่องแคบเล็กๆ นั้น ในมือถือตะกร้าใบหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วพูดว่า “เอาระเบิดให้ข้าหนึ่งลูก ไม่เช่นนั้นข้าไม่ให้พวกเจ้ากิน” แล้วนางก็เอาตะกร้าซ่อนไว้ข้างหลังอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทเอาระเบิดไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ลูกเดียว แล้วอีกอย่าง เจ้าจะเอาระเบิดไปทำอะไร เอาไประเบิดวังหรือ ตอนนี้สภาพพวกข้าสองคนอนาถแค่ไหน เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร เจ้าช่างไม่รู้จักหลาบจำเอาเสียเลย” อวิ๋นเยี่ยแย่งตะกร้ามาจากหลานหลิงขณะที่กำลังบ่นพึมพำ มองดูด้านในมีขนมต่างๆ นานา เห็นได้ชัดว่านี่คือขนมในจานของวังหลัง ไม่รู้ว่าทำไว้นานเท่าไหร่แล้ว ขนมเริ่มแข็ง อวิ๋นเยี่ยพยายามหักขนมก้านบัวแต่ก็หักไม่ได้
ยังดีที่ขนมดอกกุ้ยฮวายังทำไว้ไม่นานเท่าไหร่ ใช้น้ำลายทำให้นิ่มก็พอกินได้ แบ่งให้หลี่ไท่หนึ่งชิ้น ทั้งสองคนกัดขนมดอกกุ้ยฮวาอย่างยากลำบาก หลานหลิงใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ นางเอาผ้าม่านมาล้อมไว้เป็นพื้นที่เล็กๆ แล้วตัวเองก็นั่งพิงตัวของหลี่ไท่ พูดเลียนแบบผู้ใหญ่ “ค่อยๆ กิน ระวังติดคอ ห้องครัวในวังหลวงถล่มลงมาแล้ว แม่ครัวตัวอ้วนถูกฝังอยู่ด้านใน ใช้แรงคนอยู่หลายคนกว่าจะดึงนางออกมาจากกองไม้ได้จนฉี่รดกางเกงหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่เหลืออะไรให้กิน ข้าก็เลยต้องไปเอาของเสวยมาจากตำหนักฉางหมิง ที่จริงมีหัวหมูอีกหนึ่งหัว แต่ข้ายกมาไม่ไหว ก็เลยเอาขนมมาให้พวกเจ้า วังหลวงดีๆ พวกเจ้าพากันระเบิดทิ้งทำไม อย่างกับเสียงฟ้าร้อง ข้ากำลังเล่นกับกระต่ายน้อยที่สวนเชอร์รี่ เจ้ากระต่ายตกใจจนเป็นลมไปเลย ข้าก็เลยวิ่งไปดูด้านหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็เห็นจ้าวชงย่วนกับหวางเหม่ยเหรินยืนอยู่ที่สวนไม่ได้ใส่อะไรเลย ตลกสุดๆ”
หลี่ไท่ถอนหายใจ วางขนมดอกกุ้ยฮวาที่กัดไปครึ่งหนึ่งลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มิน่าล่ะเจ้าถึงต้องการให้ข้ารับมือกับชาวหูพวกนั้น เรื่องนี้มีเพียงเราเท่านั้นที่สมควรรู้ หากเผยแพร่ออกไป หากมีคนอย่างโต้วเยี่ยนซานต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ ก่อนเกิดเรื่องทุกอย่างยังคงสงบ เมื่อเกิดเรื่องทุกคนต่างพากันตกใจ หลังจากเกิดเรื่องก็ทำให้ทุกคนสะเทือนใจ ในเมื่อข้ารับช่วงต่อสิ่งนี้มา เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ไม่มีวาสนากับข้า
เช่นนั้นก็ดี การจัดการของเจ้ามักจะสมเหตุสมผลเสมอ คนที่อยู่ใต้อำนาจข้าเหล่านั้น ตอนนี้เริ่มพากันหวาดระแวง เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขายังยุยงให้ข้าฉวยโอกาสในขณะที่พี่ใหญ่ไม่อยู่แสดงความสามารถให้ท่านพ่อเห็น ลองดูว่าพอจะมีโอกาสเป็นรัชทายาทแทนพี่ใหญ่ได้หรือไม่
คนพวกนั้นเพื่ออนาคตที่ร่ำรวยของตัวเองก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่สนใจว่าข้าจะคิดอย่างไร ท่านพ่อลำบากฝ่าฝันมามากเพื่อบัลลังก์นี้ เหตุใดข้าต้องเป็นเหมือนท่านพ่อด้วย
พี่ใหญ่ก็ไม่ใช้คนไร้ความสามารถ หากเขาได้ครองบัลลังก์ต่อนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หากเขาได้เป็นฮ่องเต้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ขาดน้องชายแท้ๆ อย่างข้าไม่ได้ ขอเพียงแค่ให้ข้าได้สงบสติอารมณ์และตั้งใจศึกษาหาความรู้ อย่างไรข้าก็ต้องไม่แพ้เหล่านักปราชญ์ในอดีต เพราะข้ามีทรัพยากรมากมายที่สามารถนำมาใช้ได้ตามใจชอบ นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่มี การที่ข้าจะทำได้เกินความสามารถของพวกเขานั้นย่อมเป็นไปได้ อนาคตในหนังสือประวัติศาสตร์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในบันทึกของกษัตริย์ แต่ว่าความสำเร็จอื่นๆ ที่เฉิดฉายจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับบัลลังก์ได้อย่างนั้นหรือ แม้ว่าในจุดนี้แสงสว่างจะยังคงเปล่งประกายบนตัวพี่ใหญ่อยู่ แต่เขาก็คงรู้สึกยินดีเท่านั้น ไม่ได้จะทำตัวกร่างไม่เกรงใจใคร เป็นการเตรียมการที่ดีมาก อวิ๋นเยี่ย ในที่สุดสิ่งที่เจ้าพยายามทำอย่างยากลำบากก็บรรลุผล บางทีนี่อาจเป็นเส้นทางเดินที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไร เขายังคงทำตัวเป็นเครื่องจักรแทะขนมที่แข็งเหมือนก้อนหิน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทิ้งขนมไป หันมาพูดกับหลี่ไท่อย่างจริงจังว่า “ข้าเคยแห็นภาพลวงตาว่าเจ้าใช้ชีวิตอย่างหดหู่ใจเป็นอย่างมากจนอายุสามสิบสี่ปี”
“ภาพลวงตา? นั่นคือที่ไหน” หลี่ไท่จ้องตาอวิ๋นเยี่ยไม่กะพริบ เหมือนจะส่องแสงออกมาท่ามกลางความมืดมนในตำหนักเฉิงไท่
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าจะเป็นในฝัน เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นแค่ความฝันของข้าก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็หยิบขนมอีกชิ้นที่ไม่รู้ว่าคือขนมอะไรมาจากตะกร้าแล้วกินต่อ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
หลานหลิงอายุยังน้อย อยากจะเอาขนมมาให้พี่สี่กิน แต่ก็อดทนต่อความง่วงไม่ได้จึงหลับไปในอ้อมแขนของหลี่ไท่ ปากเล็กๆ มีน้ำลายไหลที่มุมปาก หลี่ไท่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดให้จนสะอาดแล้วเปลี่ยนท่านอนให้นางเพื่อที่นางจะได้หลับสบายขึ้นในอ้อมแขนของเขา มือตบไหล่หลานหลิงเบาๆ ค่อยๆ ร้องเพลงกล่อมเด็กแบบโบราณขึ้นมา “คุณชายจูขายสุรา คุณหญิงจูไล่สุนัข ไล่จนไปถึงทางสามแยก หมูหนึ่งขา วัวหนึ่งขา เตะขึ้นไปบนหลังคาบ้านคุณยาย สาวน้อยกระโดดขาเดียวออกมา ทางสามแยก…”
ได้ใช้เวลาในค่ำคืนที่นอนไม่หลับในวังหลวง เมื่อเหล่าขุนนางไปราชการในยามเช้า วังหลวงก็ยังคงเป็นเหมือนวันก่อนๆ ดินโคลนที่ไหม้เกรียมเมื่อคืนนี้ถูกจัดแต่งด้วยดอกไม้สวยสดงดงาม เบ่งบานท่ามกลางแสงแดดและน้ำค้าง เพียงแต่ว่ากลับไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายร่ม ชาววังเดินขวักไขว่ไปมา ยังคงทำความเคารพทักทายกันอยู่อย่างเดิม
หลานหลิงถูกจั่งซุนเลี้ยงดูมาแต่เด็ก ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้นางกลัวมาก อยากจะหาไหล่ที่มั่นคงให้พึ่งพิง น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ให้อ้อมกอดแก่นางไม่ได้ พระสนมคนอื่นๆก็เช่นกัน ท่านแม่ของนางจากไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครคอยปลอบนาง แล้วก็ไม่มีใครกอดนางเข้านอน ยังดีที่หลานหลิงฉลาดพอจึงหาอ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแรงมากที่สุดให้แก่ตัวเอง นางได้ยินเพลงที่พี่ชายร้องกล่อมในความฝัน นี่คือสิ่งที่นางแลกมาด้วยความฉลาด ดังนั้นนางจึงไม่ยอมรีบตื่นขึ้นมา
ดังนั้นตอนที่จั่งซุนมาถึงที่ตำหนักเฉิงไท่จึงได้เห็นหลานหลิงนอนอยู่ในอ้อมกอดของหลี่ไท่ บนตัวถูกห่อด้วยเสื้อคลุมของหลี่ไท่ เท้าเล็กนุ่มๆ ทั้งสองข้างอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ย ไม่เช่นนั้นหากถูกยุงกัดทั้งคืน เท้าทั้งสองข้างคงดูไม่ได้
เมื่อคืนหลี่ไท่นอนคิดทั้งคืน จนถึงย่ำรุ่งจึงได้ผล็อยหลับไป ส่วนอวิ๋นเยี่ยนั้นหลับไม่รู้เรื่องไปเสียตั้งนานแล้ว อาจเป็นเพราะว่าปล่อยวางต้นเหตุของเรื่องราวต่างๆ ในใจแล้ว และไม่ได้รับรู้ถึงการมาของจั่งซุน
เห็นทั้งสามคนที่กำลังหลับใหล จั่งซุนจึงได้เดินออกไปแล้วสั่งให้นำผ้าห่มไปห่มให้พวกเขาทั้งสามคน นางรู้สึกว่าอย่าทำลายสิ่งสวยงามจะดีกว่า
กงซูมู่ถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงแต่เช้า หลังจากที่ตรวจสอบความเสียหายของตำหนักกันลู่แล้วจึงทูลต่อจั่งซุนว่า “ฮองเฮา ตำหนักกันลู่นั้นเสียหายร้ายแรงมาก ไม่สามารถซ่อมแซมได้ มีทางเดียวคือต้องสร้างขึ้นใหม่ ตำหนักกันลู่มีขนาดเล็กกว่าตำหนักว่านหมินอยู่มาก รากฐานตำหนักไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างตำหนักว่านหมินก็กำลังจะสร้างเสร็จแล้ว แต่วัสดุก่อสร้างยังเหลือเยอะอยู่ กระหม่อมคิดว่าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าซ่อมแซมเสียอีก จะจัดการอย่างไร จะเริ่มงานเมื่อไหร่ ฮองเฮารับสั่งได้เลย”
จั่งซุนขมวดคิ้วมองไปที่ตำหนักกันลู่ที่พังยับเยิน รู้สึกว่าหากจะซ่อมแซมคงเป็นไปได้ยาก จึงบอกกับกงซูมู่ว่า “อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง แน่นอนว่าคำแนะนำของท่านนั้นเป็นไปได้มากที่สุด เช่นนั้นก็สร้างใหม่เถิด ไม่ต้องสร้างหรูหรามากเกินไป ขอแค่สงบร่มเย็นก็พอ”