เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 17 อู๋เสอกลับบ้าน
ราชวงศ์ไร้ความปราณี มีแต่ความเยือกเย็น ไม่มีความผูกพัน อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่พึ่งจะตื่นขึ้นมาก็ถูกจั่งซุนไล่ออกจากวังหลวง ไม่ให้กินแม้กระทั่งข้าวเช้า ต้วนหงที่ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าพันแผลเดินขากะเผลกมาทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เข้าใจคนเก่งอย่างเขาจริงๆ ทั้งๆ ที่กระดูกข้อต่อผิดตำแหน่งแต่ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ได้เหมือนไม่เป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นี่คือเหตุผลอะไรกัน
ยอดฝีมือย่อมมีศักดิ์ศรีของยอดฝีมือ ต้วนหงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทั้งร่างกายของเขาบิดเบี้ยวไปหมด อวิ๋นเยี่ยมองดูข้อต่อของร่างกายเขาที่ผิดรูป ใบหน้าบิดเบี้ยว หัวของเขาดูเหมือนจะแหลมขึ้น อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่พากันอ้าปากค้าง
“โบราณมีคำพูดที่ว่าไก่ขันหมาขโมย ดูแล้วตอนนี้เจ้าก็คือหมาขโมยที่สามารถเดินผ่านในสถานที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ คงต้องเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางในอดีตอย่างแน่นอนจึงมีความสามารถพิเศษ ทักษะนี้ทำให้ต้วนหงต้องทนทุกข์ ความโหดร้ายของมันแม้แต่ข้ายังรู้สึกกลัว”
อู๋เสอหัวล้านสวมชุดสีครามเดินออกมาจากวังหลวง เห็นอวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจกับทักษะของต้วนหงจึงอธิบายไปหัวเราะไป
ต้วนหงสั่นสะท้านไปทั้งตัวสักพักก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที เขาคุกเข่าลงเพื่อคำนับอู๋เสอแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยินดีกับท่านด้วยที่ทำภารกิจสำเร็จไปได้ด้วยดี ตอนนี้ได้เป็นอิสระแล้ว ต้วนหงขอแสดงความยินดีกับท่าน!”
อู๋เสอพยุงต้วนหงขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ วันนี้ของข้าก็คือพรุ่งนี้ของเจ้า ค่อยปกป้องฝ่าบาทไว้ให้ดี นี่คือหน้าที่ของขันทีอย่างพวกเรา ถึงแม้จะไม่มีผู้สืบทอด แต่พวกเราก็มีวิธีส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หลังจากที่ตายไปก็จะไม่ถูกลืม ข้าจะเป็นผู้บุกเบิกเพื่อนำทางให้กับพวกเจ้า”
ต้วนหงน้ำตาไหลทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจ เมื่อคืนไอ้หมอนี่ยังดูเป็นคนดื้อรั้นแล้วยังชอบทำท่าทางยิ้มเยาะ แต่ตอนนี้กลับร้องไห้เสียใจเพราะประโยคนี้ประโยคเดียว
อู๋เสอหัวเราะแล้วตีไหล่ต้วนหงไปหนึ่งหน จากนั้นก็หันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหวตอนนี้ข้ามีแต่ตัวไม่มีที่ให้ไป ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตามสัญญาแล้ว บ้าน รถม้า คนรับใช้ แม่ครัว เงิน ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว ข้าดูไว้นานแล้วว่าหอขนาดเล็กสวยงามตรงข้ามกับแม่น้ำตงหยางที่สำนักศึกษา เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของคนโสดอย่างข้า ข้าเลือกที่นี่ก็แล้วกัน”
“เจ้านี่ช่างเลือกเสียจริง อย่าได้ดูถูกหอเล็กๆ หลังนั้น การตกแต่งข้างในนั้นประณีตเป็นที่สุด แม้แต่กล่องลูกกวาดของสนมหยางก็ยังเทียบไม่ได้ เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของพระสนมผู้เป็นที่รัก หากคนแก่อย่างเจ้าไปอาศัยก็คงจะทำให้หอหลังนั้นพังไปเสียเปล่า”
“ข้าเป็นทาสมาทั้งชีวิต ตอนนี้สามารถตัดสินใจเองได้แล้ว แน่นอนว่าข้าต้องเลือกสิ่งที่มีราคา ไม่ใช่เลือกสิ่งที่เหมาะสม เช่นนั้นข้าก็จะเลือกหอเล็กหลังนั้น ฮ่าๆๆ”
ต้วนหงมองอู๋เสออย่างอิจฉา อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ขึ้นรถม้าไป ออกจากวังหลวงพร้อมกับองครักษ์กลุ่มใหญ่ คำพูดของอู๋เสอดูเหมือนว่ายังคงดังก้องอยู่ในหู รู้สึกมีกำลังใจขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรเสียตัวเองก็จะมีวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว หากถึงเวลานั้นได้ไปอยู่ที่สำนักศึกษาก็พอใจแล้ว
หมาน้อยอายุสิบหกปียังคงขายชาอยู่ที่ร้านซันสือหลี่ สุขภาพของแม่เริ่มดีขึ้นมากแล้ว ชายหนุ่มรูปงามไม่สนใจสายตาเร่าร้อนของคุณหนูเมืองฉางอันเหล่านั้น ยกน้ำชาไปให้สาวๆ อย่างร่าเริง ถึงแม้มักจะถูกจับมือ แต่ว่าตอนนี้ในกระเป๋ามีปิ่นปักผมอยู่สามอันแล้ว เห็นแก่เงินที่ได้จึงยังคงยิ้มหวานอยู่
มีเพียงรถของท่านโหวเท่านั้นที่กล้าวิ่งเร็วเหมือนหมูป่าบนถนนสายนี้ ท่านย่า ฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรองนั้นเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ พวกเขาจะสั่งคนขับรถของตระกูลอวิ๋นไม่ให้ขับเร็วเช่นนี้ ฝุ่นคลุ้งกระจายมาหยุดที่ข้างโรงน้ำชา เสียงของอวิ๋นเยี่ยดังออกมา “หมาน้อย ขอชาร้อนหนึ่งเหยือก เร็วๆ ด้วย ขอบะหมี่เย็นฝีมือแม่เจ้าอีกสามชาม ใส่พริกเผาเยอะๆ”
หมาน้อยผู้ร่าเริงรีบตอบรับโดยเร็ว รีบส่งเหยือกชาร้อนเข้าไปในรถม้าก่อน จากนั้นก็เข้าไปหยิบบะหมี่เย็นสามชามจากหลังโรงไผ่ส่งเข้าไป
ท่าทางเย่อหยิ่งของเจ้าของรถม้าได้ดึงดูสายตาเอือมระอาจากสาวๆ กลุ่มใหญ่ พวกนางเห็นองครักษ์จำนวนมากอยู่หลังรถม้าจึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ บรรยากาศอันอบอุ่นได้ถูกหมูป่าทำลายไปเสียแล้ว นี่คือสิ่งที่พวกนางคิดเป็นเสียงเดียวกัน
อู๋เสอรับบะหมี่เย็นมาหนึ่งชาม เหลือบมองไปที่นิ้วของหมาน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงร้องเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ คว้ามือไปจับแขนของหมาน้อยคนนั้นไว้ แยกนิ้วทั้งห้าของเขาออกจากกัน มีเพียงเสียงข้อต่อที่ดังขึ้น ดูเหมือนว่ามือของหมาน้อยคนนั้นจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หมาน้อยที่อดทนต่อความเจ็บได้สักพักก็ดึงมือกลับมา มองอู๋เสอด้วยความโกรธ เพราะว่าคนคนนี้เป็นแขกของท่านโหวจึงไม่สามารถล่วงเกินได้ ทำได้เพียงแค่อดทน แต่ด้วยมีชาติกำเนิดเป็นทหาร หมาน้อยคนนี้จึงยังคงกำหมัดแน่น
“เด็กน้อย ข้าคิดว่ากระดูกของเจ้านั้นวิเศษมาก ฉลาดและหน้าตาดี เหมาะแก่การฝึกศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าอายุจะเยอะไปหน่อย แต่ว่ายังมีข้าอยู่ เจ้ายังคงมีหวังที่จะได้เป็นยอดฝีมือ หากเจ้ายอมเรียกข้าว่าท่านปู่ ข้าจะยอมสอนเจ้า”
อู๋เสอพูดประโยคนี้อย่างจริงจังมาก ไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด อวิ๋นเยี่ยหันไปมองเด็กคนนั้นแล้วพยักหน้า ในใจก็หวังว่าอู๋เสอจะสามารถรับหมาน้อยเป็นลูกศิษย์ได้
เห็นอวิ๋นเยี่ยพยักหน้าผงกหัว ก็รู้ได้ทันทีว่าชายแก่ที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา จึงกัดฟันพูดว่า “ดูจากอายุของเจ้าแล้วจะให้ข้าเรียกว่าท่านปู่ก็ไม่เสียหายอะไร แต่ว่าก็ให้ข้าได้เห็นเสียหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง”
อู๋เสอยิ้มจนตาหยี เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นกรงเล็บ เขาคว้าท่อนไม้อันล้ำค่าบนรถม้าตระกูลอวิ๋นด้วยกรงเล็บมือข้างเดียวแล้วส่งให้หมาน้อยคนนั้น หรี่ตามองรอหมาน้อยคนนั้นเรียกเขาว่าท่านปู่
ทหารเก่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยขายน้ำชาเตะไปที่ขาของหมาน้อยคนนั้น โน้มตัวลงแล้วพูดกับอู๋เสอว่า “อาจารย์เป็นผู้มีความสามารถ ได้เห็นเจ้านี่เป็นเหมือนหลานนับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว พ่อของเขาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ของเขาเลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวมาจนเติบใหญ่ ไม่ค่อยมีเวลาได้อบรมสั่งสอน ขอท่านอย่าได้โกรธเคือง”
อู๋เสอพยักหน้า ถึงตอนนี้หมาน้อยคนนั้นก็ได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเรียกเขาว่าท่านปู่ เมื่อได้ยินหมาน้อยคนนั้นเรียกตัวเองว่าท่านปู่ อู๋เสอก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุด หยิบป้ายเงินเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หมาน้อย “นี่คือป้ายสังกัดของข้า เจ้านำป้ายไปหาข้าที่สำนักศึกษาหลังจากนี้สามวัน”
เห็นหมาน้อยยกสองมือขึ้นมารับป้ายเงิน อู๋เสอก็สั่งให้รถม้าออกเดินทาง ได้บังเอิญเจอต้นกล้าดีๆ ทำให้อู๋เสอรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก อยากจะไปให้ถึงสำนักศึกษาเร็วๆ เพื่อหาลูกศิษย์ให้ได้เยอะขึ้น เขารอนาทีนี้มาตั้งนานแล้ว
อวิ๋นเยี่ยวางชามเปล่าในมือลง ยื่นมือไปให้อู๋เสอแล้วพูดว่า “ที่จริงข้าก็เป็นคนที่มีกระดูกวิเศษเช่นกัน เพียงแต่ว่าข้ามักจะถ่อมตนมาตลอด ไม่ค่อยชอบโอ้อวด อาจารย์อู๋เสอ ท่านช่วยดูมือของข้าทีว่าเป็นมือหนึ่งในล้านหรือไม่”
หลี่ไท่ที่กำลังกินบะหมี่เย็นถึงกับสำลัก เกือบจะพ่นบะหมี่เย็นออกมา หันไปมองอวิ๋นเยี่ย แล้วหันไปมองอู๋เสอ จากนั้นก็ก้มหัวแล้วกินบะหมี่เย็นของตัวเองต่อไป
อู๋เสอมองดูมืออ้วนๆ ของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดออกมาว่า “มือของเจ้าเหมาะแก่การทำข้าวเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การทำอย่างอื่น” พูดจบก็ถือชามบะหมี่เย็นขึ้นมาตักใส่ปากเคี้ยวแล้วไม่หันไปมองอวิ๋นเยี่ยอีก
อวิ๋นเยี่ยดึงฝ่ามือกลับมา พูดกับหลี่ไท่ด้วยอารมณ์ทั้งเขินทั้งโกรธว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้ากับข้าต้องตั้งใจศึกษาวิธีการทำสิ่งนั้นในห้องใต้ดินที่บ้านข้า หลังจากที่ทำได้แล้วก็รีบไสหัวไป หากมีเจ้าอยู่จะทำให้ข้าโชคร้าย”
หลี่ไท่วางชามลง พูดกับอู๋เสอด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่วยหลอกเขาเสียหน่อยไม่ได้หรือ เหตุใดต้องพูดความจริงด้วย เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลาพวกเจ้าทะเลาะกันทีไรสุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือข้า”
สำหรับเจ้านายเก่าแล้วอู๋เสอเพียงแค่หัวเราะไม่ได้พูดอะไร เขายังคงกินบะหมี่เย็นของตัวเองต่อไป เขารู้สึกถึงความเคารพจากคำพูดของหลี่ไท่ หลี่ไท่เองไม่ได้มีอิริยาบถทำตัวมีอำนาจเหนือผู้อื่นอีกต่อไป เขารู้สึกมีความสุข และอยากอยู่ในโลกที่เป็นของตัวเองให้เร็วขึ้น
อวิ๋นเยี่ยเข้าใจความคิดของอู๋เสอจึงได้เรียกองครักษ์ประจำตระกูลมาแล้วบอกให้เขาจัดการบางอย่าง องครักษ์ประจำตระกูลผู้นั้นรีบควบม้าไปที่จวนตระกูลอวิ๋นทันที
เมื่อถึงจวนตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยก็ไล่ให้อู๋เสอลงรถ “เจ้าไปนั่งรถของเจ้า ไม่ต้องมานั่งเบียดข้า โต๊ะน้ำชาทำจากไม้จันทร์อย่างดีเจ้าก็ทำพัง แล้วก็ไม่ต้องไปที่บ้านข้า เจ้ามีบ้านเป็นของตัวเองก็กลับบ้านเจ้าไป จำไว้หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้มากินข้าวบ้านข้า ไม่อนุญาตให้ทำของในบ้านข้าพัง มือของข้าที่ใช้สำหรับทำกับข้าวนั้นไม่สามารถต้อนรับเจ้าได้”
อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างเด็ดขาด แต่ว่าอู๋เสอกลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เขาคว้าสัมภาระของตัวเองแล้วลงจากรถ เห็นเพียงรถม้าจอดอยู่ที่ทางแยก คนใช้หนุ่มสวมชุดสีครามเข้ามาทักทายแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ข้าน้อยรอท่านมาสักพักแล้ว” อู๋เสอขึ้นรถม้าของตัวเองด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นไปหมดแล้วมองดูข้างใน รถม้าดูธรรมดา เทียบไม่ได้กับรถม้าในวังหลวงของเขา ไม่ได้ตกแต่งด้วยทองคำและเงิน ไม่มีผ้าไหมหรูหราตกแต่งในรถม้า มีเพียงผ้าสีครามดูเรียบง่าย ม้าสองตัวที่ลากรถก็เป็นม้าธรรมดา สรุปก็คือเป็นเพียงแค่รถม้าธรรมดาคันหนึ่ง แต่มันช่างเหมาะกับตัวเขาเป็นอย่างมาก นี่เป็นของสิ่งแรกที่ตัวเองมีในโลกใบนี้ เขาเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขากับอวิ๋นเยี่ยคุยกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีมันได้ในชั่วพริบตา สิ่งนี้ทำให้อู๋เสอแทบจะหลั่งน้ำตา
“ท่านปู่ ที่บ้านได้เตรียมน้ำไว้อาบเรียบร้อยแล้ว แม่บ้านเฟิงซันให้ข้าถามท่านว่าท่านชอบกินบะหมี่หรือว่าชอบกินข้าว”
เด็กน้อยพูดยืดยาวไม่หยุด มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น แต่อู๋เสอกลับรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก มองดูเด็กหนุ่มที่กำลังบังคับม้าแล้วพูดว่า “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อเสี่ยวหม่าน ปีนี้อายุสิบห้าปี พ่อบ้านตระกูลอวิ๋นซื้อข้ามาจากตลาดเพื่อให้ข้ามารับใช้ท่านปู่ แล้วยังบอกอีกว่าเงินที่ซื้อข้ามาจะถูกหักจากเงินเดือนของท่านปู่ ท่านปู่ เงินเดือนคืออะไร”
“ฮ่าๆ เงินเดือนคือค่าแรง แต่ว่าค่าจ้างของข้าไม่ได้มาจากตระกูลอวิ๋น แต่มาจากสำนักศึกษา เสี่ยวหม่าน เจ้าขับรถช้าลงหน่อย ม้าสองตัวนี้ยังทำงานร่วมกันได้ไม่ค่อยดี เดี๋ยวจะเป็นอันตราย…”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับถึงบ้าน ซือซือก็วิ่งมาบอกว่าตอนนี้ตัวเองได้รู้จักตัวหนังสือมากมาย แล้วยังบอกอีกว่าอาจารย์ได้ทดสอบตัวเองอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยมองไปที่มุมกำแพงด้วยความเคยชิน เห็นเด็กผู้หญิงกำลังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ นั่นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเสี่ยวอู่ ซึ่งเป็นคนคะยั้นคะยอให้ซือซือมาหาเขา ความจริงแล้วนางเองต่างหากที่อยากจะอวดกับอวิ๋นเยี่ย กลัวอวิ๋นเยี่ยจะไม่รู้จึงได้โผล่หัวออกมาเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงนี้เช่นกัน
เด็กผู้หญิงคนนี้น่าเป็นห่วง พ่อของนางเสียชีวิตไปแล้ว แม่ก็พาพี่สาวและน้องสาวกลับไปที่ดินแดนเสฉวน มีเพียงนางคนเดียวที่ยืนกรานจะอยู่ตระกูลอวิ๋นไม่ไปไหน อู่หยวนชิ่งและอู่หยวนส่วงต้องการให้น้องสาวตัวเองหมั้นกับตระกูลที่มีฐานะร่ำรวยจึงได้มาเอะอะโวยวายที่ตระกูลอวิ๋นอยู่สามรอบ ตอนนั้นอวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้กลับมา เสี่ยวอู่คุกเข่าต่อหน้าซินเย่วแล้วถือกรรไกรไว้ หากให้นางกลับไปนางจะฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้ซินเย่วจึงปฏิเสธคำขอของพี่ชายนางทั้งสองคน