เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 18 ความกังวลของเสี่ยวอู่
อยากสอบก็จัดให้ อวิ๋นเยี่ยไม่รอช้า เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีเด็กชอบการสอบ อย่างนี้ต้องได้รับกำลังใจ กระถางธูปหนึ่งอันแขวนอยู่ในศาลาหลังเล็ก นี่คือรางวัลของคนที่ได้ที่หนึ่ง และแน่นอนว่าไม้ไผ่ที่อยู่ในมือคือการลงโทษของคนที่ได้ที่สุดท้าย
เสี่ยวยา ตง หนาน ซี เป่ยพากันงอแงไม่อยากไปที่ศาลา ท่านน้าพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมเข้าไป หนึ่งคนต่อหนึ่งโต๊ะ อวิ๋นเยี่ยตั้งคำถามบนกระดานดำที่แขวนอยู่บนเสา คำถามเหล่านี้ไม่ยากเกินไป อาจารย์สอนหนังสือในตระกูลเดินมือไขว้หลังคุมสอบ คอยมองดูว่าลูกศิษย์ของตัวเองเขียนคำตอบว่าอย่างไร
เพียงแค่ทำข้อสอบก็สามารถมองออกว่าปกติแล้วตั้งใจเรียนหรือไม่ มีคนที่นั่งเกาหัว มีคนหันซ้ายหันขวา และแน่นอนว่าย่อมมีคนที่มีความรู้และกระตือรือร้นที่จะเขียนคำตอบ อาจารย์มักจะชอบยืนอยู่ข้างหลังเสี่ยวอู่กับซือซือแล้วผงกหัวอย่างพอใจ เมื่อเห็นเสี่ยวยาท่าทางเหมือนลิงก็เอาแต่ส่ายหัว คณิตศาสตร์ของเสี่ยวตงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เสี่ยวซีถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเสี่ยวหนานและเสี่ยวเป่ยก็พยายามจะตอบคำถามสองสามข้อ กระดาษของเสี่ยวยาเต็มไปด้วยจุดสีดำทำให้อวิ๋นเยี่ยมองแล้วรู้สึกปวดหัว หลี่ไท่หยิบข้อสอบของซือซือและเสี่ยวอู่มาดู จากนั้นก็หยิบพู่กันหมึกแดงเขียนลงในกระดาษข้อสอบตัวใหญ่ว่าหนึ่งร้อยคะแนน สาวน้อยสองคนมีความสุข ดึงแขนหลี่ไท่ทำตัวออดอ้อนไม่หยุด
เสี่ยวยานอนพาดบนเข่าพี่ชายรอโดนตี นางรู้ว่าตัวเองทำข้อสอบได้ไม่ดี อวิ๋นเยี่ยยกไม้ไผ่ขึ้นมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำใจตีไม่ได้ สาวน้อยกัดฟันหลับตาปี๋ ท่าทางเตรียมพร้อมโดนตีทำให้รู้สึกว่าน่าสงสาร ช่างเถิด ถึงแม้จะตีที่ก้นนาง แต่ตัวเองก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ใจไปหลายวัน ต่อให้เสี่ยวยาไม่เจ็บก้นแล้ว ออกไปวิ่งเล่นได้แล้ว แต่ตัวเองก็ยังคงเสียใจอยู่ ไม่ยุติธรรมเสียเท่าไหร่ ใช้ฝ่ามือตีไปที่ก้นนางหนึ่งที อุ้มนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “ช่วยตั้งใจหน่อย ในบ้านนี้เจ้าเป็นคนที่เรียนมาเป็นเวลานานที่สุด แต่กลับสอบได้คะแนนแย่ หากในอนาคตหาแม่ย่าที่ดีไม่ได้จะแย่เอา”
เสี่ยวยากอดพี่ชายด้วยความดีใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่ที่นี่ดูแลท่านย่า เชื่อฟังพี่ชาย ข้าจะไม่แต่งงานในชาตินี้” พูดจบก็หยิกไปที่แก้มของอวิ๋นเยี่ย
แค่นี้ก็พอใจแล้ว เด็กผู้หญิงตราบใดที่พวกนางจิตใจดีก็ไม่มีอะไรต้องน่ากังวล เสี่ยวยาเป็นเด็กดี แต่ว่าเป็นเพราะตัวเองตามใจมากเกินไปทำให้นางติดเป็นนิสัย จะโทษเสี่ยวยาคนเดียวคงไม่ได้
คนในตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยฉลาด ยกเว้นต้ายาที่ชอบอ่านหนังสือ นอกนั้นก็ไม่มีใครชอบอ่านหนังสือแล้ว ต้ายาใช้ความพยายามอย่างมากในการอ่านหนังสือเหล่านั้นให้จบ เมื่อไม่กี่วันก่อนบอกอวิ๋นเยี่ยว่ารู้สึกตาพร่ามัวเวลามองที่ไกลๆ ตัวเองจะตาบอดหรือไม่ นางกลัวจนร้องไห้ออกมา
นางอ่านหนังสือจนสายตาเสีย กลายเป็นคนสายตาสั้นไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยตรวจดูตาของต้ายาอย่างละเอียด ซุนซือเหมี่ยวบอกว่าความชั่วร้ายกำลังก่อตัวขึ้นภายใน ต้องกินยาเพื่อฟื้นฟูสายตา และยังสนับสนุนให้ต้ายากินเครื่องในของหมูและแกะเยอะๆ
หากจะกินยาจีนให้ได้ผลต้องค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ อวิ๋นเยี่ยทำได้แต่ทำแว่นให้ต้ายา เขาหาคริสตัลที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่ช่างฝีมือไม่เข้าใจความโค้งของแว่นตา ทำตามคำขอของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องทำการศึกษาไปอย่างช้าๆ
ได้อันดับหนึ่งมีอยู่สองคน อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เสี่ยวอู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง เขาไม่ลังเลที่จะตัดสินว่าเสี่ยวอู่เป็นผู้ชนะหลังจากที่ดูความเรียบร้อยของข้อสอบ ซือซือแสดงความยินดีกับเสียวอู่อย่างเต็มใจ
เสี่ยวอู่พึ่งจะคลายมือจากที่กำกระโปรงไว้แน่น นางหันไปมองซือซืออย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยที่ในมือถือกระถางธูปกำยานแล้วพูดว่า “อาจารย์ ข้าไม่อยากได้กระถางธูปกำยาน ข้าแค่อยากขอร้องอาจารย์เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร หากอาจารย์ทำให้ได้ก็จะรับปากเจ้า เสี่ยวอู่สอบได้ที่หนึ่ง ก็ควรจะให้กำลังใจ รีบลุกขึ้นมาบอกกับอาจารย์ บ้านเราไม่นิยมคุกเข่า หัวเข่ามีเอาไว้เดิน ไม่ใช่มีเอาไว้คุกเข่า ลูกศิษย์สำนักข้าไม่แบ่งแยกชายหญิง หัวเข่านั้นเป็นสิ่งสำคัญ”
เสี่ยวอู่ที่ร้องไห้อยู่รีบลุกขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่ชายของข้าต้องการให้ข้าแต่งงานเพื่อแลกเงิน ข้าไม่อยากแต่ง ข้าอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ข้า ข้าอยากรู้ว่าใครจะกล้าเอาเจ้าไปแลกเงิน หากจะเอาไปแลกคนคนนั้นควรจะเป็นข้า เสี่ยวอู่ของข้าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตีราคาไม่ได้ ในโลกใบนี้มีไม่กี่อย่างที่ไม่สามารถตั้งราคาได้”
เสี่ยวอู่ยิ้มขึ้นมาทันที แต่กลับทำหน้าเศร้าอีกครั้งแล้วพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาเป็นพี่ชายข้า ท่านพ่อของข้าไม่อยู่แล้ว ตามกฎของผู้หญิง ข้าต้องเชื่อฟังพี่ชายของข้า”
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ของเจ้ามีฉายาว่าวายร้ายเมืองฉางอัน ในเมื่อมีฉายานี้จะทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อยจะเป็นไรไป หากพี่ชายของเจ้ากล้ามาที่บ้านอีก ข้าจะตีขาของพวกเขาให้หัก เจ้าก็อ่านหนังสือ หรือเที่ยวเล่นให้สบายใจเถิด เรื่องอื่นๆ ให้อาจารย์เป็นคนไปจัดการเอง รับรองได้ว่าถูกต้องเหมาะสม ไม่มีปัญหาแน่นอน” พูดจบก็นำกระถางกำยานเกี่ยวไว้บนเข็มขัดของเสี่ยวอู่ ชี้ไปที่เด็กน้อยสองสามคนที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านนอกศาลา ให้นางไปเที่ยวเล่นด้วยกัน
หลี่ไท่กุมขมับแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย เหตุใดเวลาสั่งสอนคนเจ้าจึงเลือกใช้วิธีนี้ตลอด เอาแต่บอกว่าจะหักขาคนนั้น จะหักขาคนนี้ สุดท้ายพอถึงตอนนี้ก็ตีขาหักไปแล้วสองคน หนึ่งในนั้นถูกเจ้าเล่นงานจนเละ นี่ไม่เหมาะสมกับสถานะท่านโหวของเจ้า หากจะจัดการก็ต้องเอาให้ตาย อย่าจัดการเพียงแค่ครึ่งเดียว ทำให้เขาต้องขายขี้หน้าคนไปทั่ว”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ไหนแต่ไรมาหลี่ไท่ก็ไม่ใช้คนจิตใจดีอยู่แล้ว หลี่หยวนชังจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ความเป็นไปได้ยังคงครึ่งๆ กลางๆ อย่ามองแค่ว่าตอนนี้เขาไม่พูดถึงหลี่หยวนชัง แต่ถ้าหากเขาโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ หลี่หยวนชังต้องได้รับผลกรรมเป็นแน่
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนกินบะหมี่เย็นไปแค่ชามเดียว ขนมที่หลานหลิงเอามาก็กินไม่ได้ ตอนนี้หิวจนท้องร้อง คิดมาตลอดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าบะหมี่เซ่าจื่อ[1]แล้ว ไม่สนอาหารหรูหรา อาหารชั้นสูง เมื่ออยู่ต่อหน้าของคนหิวทั้งสองคน อาหารพวกนี้ก็ไม่จำเป็น
ทั้งสองคนถือชามใหญ่คนละหนึ่งชาม น้ำซุปเปรี้ยวหอมบวกกับเนื้อเป็นรสชาติที่อร่อยที่สุด อวิ๋นเยี่ยได้ลงมือกินแล้ว องครักษ์ของหลี่ไท่วิ่งมาเพื่อจะชิมอาหารของเขาจึงถูกหลี่ไท่เตะไปหนึ่งที ไม่มีกับข้าวอย่างอื่น ทั้งสองคนมีเพียงแค่บะหมี่ชามใหญ่ชามเดียวนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอกห้องครัว ลงมือกินกันอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อบะหมี่หนึ่งกิโลอยู่ในท้องเรียบร้อย ทั้งสองคนที่กินอิ่มจนจุกแล้วก็เตรียมตัวลงไปชั้นใต้ดินเพื่อปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องดินปืน องครักษ์แย่งลงไปที่ห้องใต้ดินก่อน ต้องตรวจสอบทุกตารางนิ้วอย่างละเอียด แม้แต่กำแพงรอบห้องใต้ดินก็ต้องลองใช้หอกแทงเบาๆ จึงจะยอมให้อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ลงไป องครักษ์ร่างใหญ่เฝ้าอยู่หน้าห้องใต้ดิน หากมีใครเข้าใกล้เกินสามศอกก็จะฆ่าทิ้งให้หมด นี่คือคำสั่งที่หลี่ซือหมินให้กับพวกเขาไว้ ดังนั้นพวกคนเหล่านี้จึงทำขั้นตอนการตักเตือนให้ง่ายขึ้น
ในห้องใต้ดินมีโคมไฟเพียงไม่กี่อันที่ส่องแสงสว่างมายังพื้น อวิ๋นเยี่ยเดินมาอยู่ที่ข้างโต๊ะ หยิบของสามอย่างออกมาจากลิ้นชัก แต่ละอันถูกเทลงบนกระดาษสาอย่างละนิด ส่วนที่เหลือถูกเก็บไว้อย่างดี เขาหันไปพูดกับหลี่ไท่ว่า “ชิงเชวี่ย วัสดุสามสิ่งนี้ใช้สำหรับทำดินปืน นั่นก็คือดินประสิว กำมะถัน ถ่าน เมื่อนำสามสิ่งนี้มาผสมกันจะกลายเป็นดินปืน จำไว้ว่าอัตราส่วนผสมคือเจ็ดต่อสองต่อหนึ่ง ข้าเจาะลึกได้มาถึงเพียงจุดนี้เท่านั้น ที่เหลือเจ้าต้องไปศึกษาด้วยตัวเอง ข้ายังค้นพบอีกว่าหลังจากที่นำสามสิ่งนี้มาผสมให้เข้ากันแล้วใส่ไข่ขาวปั้นให้เป็นก้อนเล็กๆ จะทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสิบส่วน แน่นอนว่าเจ้าต้องไปศึกษาสิ่งนี้ต่อในภายหลัง หลังจากวันนี้ข้าจะไม่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้อีก จำไว้ว่าเวลาคนส่วนผสมให้เข้ากันจะใช้วัสดุที่เป็นเหล็กไม่ได้ ใช้ได้เพียงวัสดุที่เป็นไม้เท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดอันตราย ทั้งพวกทาสเหล่านั้นและเซี่ยวชังเซิง ข้าก็จะไม่ถามความเป็นไปของพวกเขาอีก และเจ้าก็ไม่ต้องพูดให้ข้าได้ยิน”
เมื่อพูดเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็หันไปหัวเราะกับหลี่ไท่ เขาปีนขึ้นมาจากห้องใต้ดินอย่างสบายใจแล้วพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “เว่ยอ๋องทำการศึกษาค้นคว้าอยู่ในนี้ หากไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญเป็นพิเศษก็อย่ารบกวนเขา ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที”
เมื่อเห็นองครักษ์น้อมรับคำสั่งจึงได้เดินจากไปอย่างสบายใจ ในที่สุดก็ทิ้งภาระอันใหญ่หลวงนี้ไปได้แล้ว
น่ารื่อมู่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน หลายวันมานี้อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาตให้นางนั่งเป็นเวลานาน มักจะบอกให้นางเดินให้มากขึ้นอยู่เสมอ ครั้งที่แล้วที่ซินเย่วให้กำเนิดลูกได้ทิ้งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่ออวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก
สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำได้คือประคองน่ารื่อมู่เดินเล่น ส่วนในบ้านน่ารื่อมู่เดินจนเบื่อแล้ว นางจึงพาสาวใช้ทั้งสองคนเดินออกไปทางประตูด้านหลัง เดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยหินแคบๆ ไปสู่สนามหญ้า
ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นชอบถนนที่ปูด้วยหินเป็นอย่างมาก เพียงแค่มีโอกาสก็จะช่วยกันสร้างเส้นทางที่ปูด้วยหิน หมู่บ้านนี้มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดสิบไร่ นี่คือมาตราส่วนที่ได้จากการปลูกมาตลอดต่อเนื่องสามปี อวิ๋นเยี่ยทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อสิ่งนี้ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นอย่างที่หวังแล้ว ขอเพียงแค่เมล็ดพันธุ์ไม่เสื่อมสภาพ ปีหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เตรียมจะปลูกข้าวโพดในพื้นที่ภูเขาใกล้เคียง สำหรับหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้วมันฝรั่งไม่ใช้ของหายากสำหรับพวกเขาอีกต่อไป ในยามเช้าผู้อาวุโสที่อายุมากหน่อยมักจะย่างมันฝรั่งสองหัวกินเป็นอาหารเช้าพร้อมกับดื่มชา กินมันฝรั่งย่างร้อนๆ ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
น่ารื่อมู่มองข้าวโพดแล้วหันไปอ้อนอวิ๋นเยี่ย นางอยากกินข้าวโพด ปีที่แล้วนางก็อยากกินแต่ว่าซินเย่วไม่ให้นางกิน ท่านย่าพูดปลอบนางว่าถ้าปีนี้มีข้าวโพดเยอะก็จะได้กิน ตอนนี้ทั้งไร่เต็มไปด้วยใบข้าวโพดเขียวขจี นางคิดว่าแค่นั้นก็เยอะมากพอแล้ว สามีเคยต้มข้าวโพดที่หักใหม่ๆ ให้นางดูว่าอร่อยแค่ไหน คนท้องไม่ควรอยากกิน เพราะถ้าหากอยากกินก็จะหมดความอดทน
แค่กินข้าวโพดไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าหากลูกในท้องนางอยากกินหงส์ อวิ๋นเยี่ยก็คงทำทุกทางเพื่อที่จะเข้าไปจับหงส์ในสวนหลวงมา ในสวนดอกชบานั้นมีหงส์อยู่มากมายถึงครึ่งทะเลสาบเล็กๆ พวกมันพากันกินปลาในทะเลสาบจนปลาแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
ต้นข้าวโพดอวบอ้วนและสูงตรง ฝักข้าวโพดถูกแทรกตามแนวทแยงมุมบนก้านข้าวโพด บนฝักข้าวโพดมีเส้นฝอยสีน้ำตาล เกสรตัวผู้ที่อยู่ด้านบนเริ่มร่วงโรยแล้ว เพียงแค่เขย่าละอองเรณูก็จะร่วงลงมานับไม่ถ้วน
พืชผักผลไม้ในไร่ของตัวเองจะยังต้องเกรงใจอีกเหรอ อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนสันเขา หักฝักข้าวโพดมาสามฝัก เขาคิดว่าในเมื่อจะกินก็ไม่จำเป็นต้องตระหนี่ จึงหักเพิ่มอีกสิบกว่าฝัก เมื่อเห็นฝักข้าวโพดความยาวหนึ่งศอกถูกองครักษ์ประจำตระกูลแบกจนหนักอึ้งไปหมด ส่วนน่ารื่อมู่เองก็รู้สึกไม่อยากเดินเล่นแล้วจึงได้ชวนอวิ๋นเยี่ยให้กลับไปต้มข้าวโพดให้นางกิน
สั่งการกับองครักษ์ที่เฝ้าไร่ข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นไว้ว่าให้พวกเขาตัดต้นข้าวโพดที่ไม่มีฝักให้หมด จะได้ใช้เป็นปุ๋ยคลุมดิน
วั่งไฉไม่เคยกินข้าวโพด อวิ๋นเยี่ยปอกข้าวโพดให้มันหนึ่งฝัก ถือไว้ในมือรอดูมันกินทีละนิดจนหมด ปอกเปลือกข้างนอกออกแล้วเหลือเปลือกอ่อนๆ ข้างในไว้หนึ่งชั้น หากปอกเปลือกข้าวโพดออกจนหมดเวลาต้มจะทำให้ให้ไม่มีกลิ่นหอมหวาน
——
[1] บะหมี่เซ่าจื่อ หรือเซ่าจื่อเมี่ยน มีที่มาจากมณฑลซ่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เป็นบะหมี่น้ำที่มีทั้งเนื้อสัตว์และผักนานาชนิดใน รสชาติออกเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อย