เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 25 เดินพันของเซี่ยนหลิ่ง
เข้าไปเยี่ยมน่ารื่อมู่ที่ห้องอยู่เดือน เห็นท่านพี่เดินเข้ามาน่ารื่อมู่ก็น้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ บึนปากแล้วฟ้องอวิ๋นเยี่ย บอกว่าคนข้างนอกเรียกลูกสาวของตัวเองที่มีชื่อว่าจัวย่าว่าสาหร่ายทะเล บอกให้ท่านพี่ไปตัดขาของพวกเขาให้หมด
ทำแบบนั้นไม่ได้ หากอยากจะให้คนครึ่งหนึ่งของฉางอันกลายเป็นคนพิการ คาดว่าก่อนที่จะลงมือ หลี่ซื่อหมินคงจะทำให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นคนพิการไปก่อนที่ตระกูลอวิ๋นจะลงมือ แล้วอีกอย่าง ชื่อสาหร่ายทะเลก็ไม่เลวเหมือนกัน เวลาพวกเศรษฐีตั้งชื่อให้ลูกตัวเองก็มักจะชอบตั้งชื่ออะไรแบบนี้ อย่างเช่นนกกระจอก อย่างเช่นวัวขี้เหร่ อย่างเช่นหมาน้อย ลูกสาวคนโตของตระกูลอวิ๋นชื่อว่าสาหร่ายทะเลก็ไม่เลว ผู้คนจำนวนมากมาอวยพรให้กับสาหร่ายทะเลน้อยของตระกูลอวิ๋น ไม่ดีตรงไหน
อวิ๋นเยี่ยชื่นชมชื่อสาหร่ายทะเลอยู่นาน น่ารื่อมู่ถึงได้ยิ้มออกมา อุ้มลูกน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจของตัวเองแล้วเรียกนางว่าสาหร่ายทะเล ท่าทางรักและเอ็นดูลูกของนาง ทำให้คนมองเอ็นดูจากใจจริง
ห้องอยู่เดือนคือปัญหาใหญ่ กลิ่นข้างในไม่ดีจริงๆ สภาพแวดล้อมแบบนี้ช่างเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเป็นอย่างมาก ซินเย่วอยากจะใช้น้ำหอมมาบรรเทาความเหม็น แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้ อวัยวะของเด็กน้อยอ่อนไหวเป็นอย่างมาก หากถูกทำร้ายด้วยกลิ่นที่น่ากลัวหลังจากใช้กลิ่นของน้ำหอมมันจะไม่ดีเอาได้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลอวิ๋น ต่อไปจะต้องเติบโตเป็นสาวงามที่หอมละมุน ไม่ใช่เด็กเขาที่มีกลิ่นตัวเหม็นหืน
อยากเปิดหน้าต่างระบายอากาศ แต่กลับถูกคนทั้งตระกูลประณาม พลังของความเคยชินนั้นยิ่งใหญ่ หนึ่งพันปีผ่านไปแล้ว แต่กลิ่นในห้องอยู่เดือนก็ยังคงเหมือนเดิม
ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยออกไปข้างนอก ดีเหมือนกัน จะได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายของตัวเองอยู่กับบ้าน เริ่มทำการเก็บเกี่ยวมันฝรั่งแล้ว เถาวัลย์ที่เ**่ยวเฉาก็ถูกถอนออกไปหมด ใช้พลั่วเหล็กขุดตามแนวของสันเขา มีผลผลิตมากมายอยู่ใต้พื้นดิน ตระกูลอวิ๋นทำการเพาะปลูกไว้กว่าหนึ่งร้อยไร่เมื่อได้รับการอนุมัติจากเซี่ยนหลิ่ง ทั้งเมืองกำลังรอคอยให้มันฝรั่งของตระกูลอวิ๋นออกผล จะได้เอาชั่งแล้วกลับไปปลูกที่บ้าน หากอำเภอหลานเถียนไม่ปลูกมันฝรั่งทั้งอำเภอในปีหน้าก็คงเป็นเรื่องแปลก
เรื่องการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลอวิ๋นเป็นคนลงมือ เซี่ยนหลิ่ง จู่ปู้และเซี่ยนเว่ยพาผู้ใหญ่ทั้งอำเภอลงมือเก็บเอง ชาวนาก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่เห็นมันฝรั่งด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อในผลลัพธ์ของสิ่งนี้ พวกเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยตาเองเท่านั้น
ครั้งนี้หวาเซี่ยนหลิ่งได้ทำการเดิมพันครั้งใหญ่ ราชสำนักสั่งให้ราษฎรปลูกมันฝรั่งอย่างระมัดระวัง บอกว่าของสิ่งนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่ รอให้ตระกูลของพวกเศรษฐีลองปลูกสักสองสามปี แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วถึงค่อยให้ราษฎรปลูกในพื้นที่กว้าง หวาเซี่ยนหลิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องไร้สาระแบบนี้เขาฟังจนเบื่อแล้ว เขาคิดว่า นี่คือการที่ราชสำนักแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกคนรวย ไม่เห็นเหรอว่าราคามันฝรั่งขึ้นขนาดไหน พวกขุนนางพากันกลับบ้านไปหาเงิน แล้วยังเป็นเงินที่หามาอย่างยากลำบากของราษฎร
ความเมตตาของหลี่ซื่อหมินถูกราษฎรเอาไปฝังไว้ในหลุมราวกับว่าเป็นตับเป็นปอดของลา หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งมีตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่โต เซี่ยนหลิ่ง จู่ปู้และเซี่ยนเว่ยมาขอร้องเกือบทุกวัน ขอร้องให้ตระกูลอวิ๋นช่วยชี้ทาง ปีนี้ปลูกมันฝรั่งให้เยอะหน่อย เหลือเมล็ดพันธุ์ไว้เยอะหน่อย ปีหน้าราษฎรของอำเภอหลานเถียนจะได้ปลูกได้บ้าง จะได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ
อวิ๋นเยี่ยไม่อยู่บ้าน ซินเย่วไม่กล้าตัดสินใจ ท่านย่าบอกแล้วว่าตระกูลอวิ๋นไม่อนุญาตให้กินมันฝรั่งทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวเมื่อปีที่แล้ว และเอาไปเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์ให้หมด ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ค่อยปลูกให้เต็มเชิงเขาทางตอนใต้ หากมีปัญหาอะไร ท่านย่าจะรับผิดชอบเอง
พฤติกรรมเจ้าแม่โพธิสัตว์ของท่านย่าทำให้เซี่ยนหลิ่งร้องไห้ไปแล้วตั้งหลายรอบ รีบวิ่งเข้าไปในจวนจิงจ้าวอย่างรวดเร็ว เอาเชือกผูกไว้ที่คอข่มขู่พวกขุนนาง หากไม่อนุญาตให้ราษฎรปลูกมันฝรั่งที่เป็นเสบียงอาหารชั้นดีนี้ เขาจะแขวนคอตายบนถนนจูเชวี่ย
เขาจะตายหรือไม่ตายก็ไม่มีใครสนใจ แต่การแขวนคอตายบนถนนจูเชวี่ยไม่ใช่เรื่องตลก จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าต้องทำตามคำขอร้องของราษฎร ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาก็คงจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์โบราณ ดังนั้นอย่าคิดว่าหวาเซี่ยนหลิ่งไม่กล้าที่จะผูกคอตาย สำหรับในยุคนี้แล้วชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต ดังนั้นเพื่อลูกหลานรุ่นหลัง หวาเซี่ยวหลิ่งจะหัวเราะและผูกคอตาย การผูกคอตาย ลิ้นก็ไม่มีทางแลบออกมา เพียงแค่ยิ้มแล้วหลับตาให้สนิทก็พอ
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ลูกหลานของเขาคงจะได้รับความเคารพจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแน่นอน ถึงแม้จะยากจนจนกลายเป็นขอทาน ไปขอข้าวบ้านคนอื่นกินก็ยังสมเหตุสมผลมากกว่าเป็นหัวขโมย
จวนจิงจ้าวผลักเรื่องนี้ไปให้จงซู หวาเซี่ยวหลิ่งที่ปกติแล้วเจอกับคนใหญ่คนโตก็แทบจะเข้าไปคุกเข่าเลียนิ้วเท้า แต่ตอนนี้กับยืนหลังตรง เร่งพวกเขาให้ตัดสินใจเร็วๆ เวลาไม่เคยรอใคร!
ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว หวาเซี่ยนหลิ่งได้เป็นคนแรกที่ปลูกมันฝรั่งตามที่เขาปรารถนา เดินทางกลับอำเภอหลานเถียนท่ามกลางราษฎรจำนวนมาก ตระกูลอวิ๋นปลูกหนึ่งร้อยไร่ ราชสำนักจะรับซื้อเก้าสิบห้าไร่ ที่เหลืออยู่ห้าไร่ให้ตระกูลอวิ๋นเก็บเอาไว้ นี่ถือว่าเป็นนโยบายพิเศษ
พวกเลขาธิการดึงเชือกวัดไร่ที่ผูกด้วยด้ายสีแดง วนรอบที่ดินหนึ่งไร่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ เซี่ยนหลิ่งจู่ปู้และเซี่ยนเว่ยพาคนรับใช้ไปเก็บมันฝรั่งที่ขุดขึ้นมาในตะกร้า
เก็บอยู่ดีๆ เซี่ยนหลิ่งก็นั่งกอดมันฝรั่งน้ำหนักถึงสองกิโลแล้วร้องไห้ไปด้วยอยู่ในไร่ ทุกคนก็ร้องไห้อยู่รอบตัวเขา ของดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่อนุญาติให้ราษฎรปลูก ผลผลิตของหนึ่งไร่ยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แค่มันฝรั่งที่เซี่ยนหลิ่งเก็บคนเดียวก็คาดว่าน่าจะมีถึงห้าหกตัน ยังไม่รวมกับของคนอื่น
มันฝรั่งหนึ่งไร่ถูกขุดออกจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ขุดดินหามันฝรั่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าขุดออกไปจนหมดแล้ว ผลผลิตกว่าหนึ่งพันห้าร้อยกิโลทำให้ทุกคนถึงกับตกใจ ใครเคยได้ยินว่าที่ดินหนึ่งไร่มีผลผลิตถึงยี่สิบห้าตันบ้าง
ตระกูลอวิ๋นยังปลูกมันฝรั่งในที่แห้งบนเนินเขาอีกด้วย ปริมาณน้ำฝนของปีนี้โดยปกติแล้วก็คงได้ผลผลิตประมาณนี้ หากปลูกในไร่เทียนจื้อเฮ่าทั้งหมด จะได้ผลผลิตขนาดไหนกัน
หวาเซี่ยนหลิ่งปากสั่น ชี้ไปตรงผืนดินที่อยู่ไกลๆ และออกคำสั่ง “วัดอีกหนึ่งไร่ เรารอดูผลผลิตต่อ บางทีหากที่ดินผืนนี้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตอาจจะเยอะอย่างน่าประหลาดใจจนนับไม่ถ้วนก็ได้”
ทุกคนล้วนแต่เป็นเกษตรกรมาก่อนทั้งนั้น แค่มองดูดินก็รู้ว่าเป็นดินดีหรือไม่ดี ดินสีขาว มีทรายและหินผสมอยู่ข้างใน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ดินดี แต่ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาพากันแยกย้ายไปขุดแปลงที่เซี่ยนหลิ่งชี้ต่อไป
เกวียนเทียมด้วยวัวคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล คนขับเป็นชายเฒ่าผมขาวผู้หนึ่ง เขาสวมใส่ชุดของคนใช้ เห็นว่าในไร่คึกคักเป็นพิเศษเลยจงใจเลี้ยวเข้ามาที่นี่
คนรับใช้เฒ่าผู้นั้นกุมมือแสดงความเคารพชายเฒ่าของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่มาดูเรื่องสนุกสนานและถามว่า “สหายท่านนี้ ทำไมไร่นี้ถึงได้มีแต่คนของราชสำนัก กำลังทำอะไรอยู่หรือ”
ชายเฒ่าหันหน้ามาเห็นว่าเป็นชายที่มีอายุมากกว่าตัวเอง เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า “สหายก็มาดูเรื่องสนุกสนานเหมือนกันหรือ คนพวกนี้คือคนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน พวกเขากำลังขุดแปลงให้บ้านข้าอยู่ มันฝรั่งน่ะ ท่านคงเคยได้ยินชื่อมันฝรั่งใช่หรือไม่ เป็นของดีที่ท่านโหวของข้าเอามาจากเทพเซียน เมื่อครู่แปลงนี้ขุดได้ยี่สิบกว่าตัน ทำเอาเซี่ยนหลิ่งคนนั้นถึงกับตกใจ ยังไม่เชื่ออีก อยากจะขุดหาดูอีกสักสองสามไร่ ข้าก็แค่มาดูเรื่องสนุก
ปีนี้ฝนตกน้อย ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยว ปีที่แล้วที่ดินหนึ่งไร่ของบ้านข้าเก็บเกี่ยวได้สองพันกิโล นี่ก็แค่หนึ่งพันห้าร้อยกิโลเท่านั้น ยังทำเอาเซี่ยนหลิ่งตกใจถึงขนาดนี้ หากข้าบอกพวกเขาว่าบ้านของข้าเก็บเกี่ยวได้สองพันกิโลคงจะตกใจจนตาย”
สำหรับการแสดงออกของเซี่ยนหลิ่ง ชาวนาในหมู่บ้านต่างรู้สึกไม่พอใจ มันฝรั่งเป็นอาหารที่ดี ถึงแม้จะกินเป็นอาหารได้ แต่ใครจะทนกินได้ทุกวัน มีแต่คนที่กลัวหิวตายที่จะเห็นว่ามันฝรั่งมีค่าราวกับชีวิต
“หากเป็นเช่นนี้ ปีนี้ท่านก็ปลูกไว้จำนวนไม่น้อยไม่ใช่หรือ ที่บ้านคงจะร่ำรวยจนน่าอิจฉาทีเดียว” คนรับใช้เฒ่าช่างพูดจาเป็น ทั้งสองพากันนั่งลงบนตอไม้ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกัน
“โอ้ย สหายของข้า มันฝรั่งให้ผลผลิตสูงก็จริง แต่ว่ามันทำร้ายผืนดิน ปลูกมันฝรั่งหนึ่งฤดูต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการปลูกหญ้ารักษาดิน ปีนี้บ้านของข้าปลูกแค่ครึ่งไร่ เพียงพอสำหรับคนทั้งบ้านกินก็พอแล้ว ราชสำนักก็ไม่อนุญาตให้วางแผงขายมันฝรั่ง มีแค่พวกเศรษฐีใจดำไม่กี่คนที่แอบเอาออกมาขายอย่างลับๆ ได้ยินมาว่าทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“ธัญพืชดีๆ เช่นนี้ เจ้าไม่ปลูกให้มากหน่อยช่างน่าเสียดาย ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวยี่สิบกว่าตัน หมายความว่าปลูกแค่ปีเดียวยังคุ้มค่ากว่าปลูกข้าวสาลีสองฤดูเสียอีก”
“มีอะไรน่าเสียดาย มันฝรั่งกินแค่ในปีที่มีภัยพิบัติก็พอแล้ว บ้านไหนกินของสิ่งนี้ทั้งวันทั้งคืนกัน แล้วอีกอย่างปีหน้าเราจะปลูกข้าวโพด หากปลูกมันฝรั่งทั้งหมด คนอื่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร หัวหน้าหมู่บ้านบอกแล้วว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นของเราจะไม่แย่งเสบียงอาหารของคนยากลำบากพวกนั้น ปีหน้าปล่อยให้พวกเขาปลูก พวกเราจะปลูกข้าวโพด”
“ข้าวโพด มันคืออะไรกัน ข้าเกิดมาตั้งนาน ทำไร่ทำนามาระยะหนึ่งแล้ว ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ หรือว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ที่ท่านโหวของเจ้าไปเอามาจากเทพเซียน?”
ชาวนาของตระกูลอวิ๋นหัวเราะและพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านโหวของข้าเป็นคนโลภเรื่องกิน เมื่อก่อนตามเทพเซียนไปทุกที่ หาของอร่อยๆ ทุกที่ เขาไปกินข้าวโพดเข้าโดยบังเอิญ แต่จำไม่ได้ว่ากินที่ไหน สุดท้ายเจอเมล็ดข้าวโพดที่ยังกินไม่หมดสองสามเมล็ดอยู่ในกระเป๋าของตัวเอง จึงใช้ความพยายามครั้งสุดท้าย โยนมันลงในกระถางแล้วฝังเอาไว้ ใครจะไปรู้ ถึงฤดูใบไม้ร่วง กลับมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ก็เลยเอามาปลูกในแปลงผืนใหญ่เช่นนี้”
ชาวนาชี้ไปที่ไร่ข้าวโพดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ข้าวโพดอร่อย ท่านโหวพูดไว้เช่นนี้ แม้แต่ท่านโหวที่สูงส่งยังบอกว่าอร่อย มันจะไม่อร่อยได้เช่นไร ปีหน้าหากมีเมล็ดพันธุ์จะปลูกให้เยอะๆ สักหน่อย ราชสำนักแค่บอกว่าไม่อนุญาตให้ขายมันฝรั่ง แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ขายข้าวโพด
คนรับใช้เฒ่าส่ายหน้า ขอบคุณชาวนา แล้วกลับไปที่เกวียนเทียมด้วยวัว กระซิบอะไรบางอย่างให้กับคนในรถ ชี้ไปที่เซี่ยนหลิ่งที่กำลังยุ่งอยู่ไกลๆ เป็นระยะ จากนั้นก็ชี้ไปที่ไร่ข้าวโพด ท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่ามาก
หลังจากฟังรายงานของคนรับใช้เฒ่า ม่านรถก็เปิดออก ชายเฒ่าที่สวมหมวกทรงสูงเดินลงมาจากรถม้า บนหัวของเขามีเส้นผมเพียงไม่กี่เส้น ไม่มีคิ้ว ปากราวกับปากสิงโต จมูกเล็กราวกับกระเทียม ที่คางมีหนวดเคราสีขาว ซ้ำยังข้างซ้ายข้างขวายาวไม่เท่ากันอีก ท่าทางดูน่าตลก แต่กลับดูสุภาพและน่าเกรงขาม ช่างดูเป็นผู้ที่ผู้คนให้ความเคารพ
รอบกายมีกลิ่นอายของบทกวี นี่ก็คือท่านอาจารย์แก่เหยียนจือทุย เขาเดินลงมาจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า จากนั้นก็เดินไปที่เซี่ยนหลิ่ง เมื่อมาถึงที่ไร่ เขาก็เห็นเซี่ยนหลิ่งอ้วนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนกำลังเก็บมันฝรั่งใส่ในตะกร้า เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็กุมมือแล้วถามว่า “เซี่ยนจุน เหตุใดถึงได้เต็มไปด้วยโคลน”