เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 26 หัวขโมยเฒ่าสองคน
หวาเซี่ยนหลิ่งเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นมา เห็นชายเฒ่าหน้าตาประหลาดๆ ยืนอยู่ข้างบน ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ บอกว่าอายุแปดสิบก็ใช่ บอกว่าอายุหนึ่งร้อยก็ใช่ อายุขนาดนี้ต้องทำความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของชายเฒ่าดูไม่ธรรมดา อายุขนาดนี้แต่กลับไม่ต้องพึ่งไม้เท้า หากบอกว่าเป็นราษฎรตระกูลเล็กๆ เขาไม่มีทางเชื่อ
ยังไม่ทันได้วางมันฝรั่งในมือลง เขาก้มตัวลงแล้วตอบว่า “อยู่ต่อหน้าท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าน้อยว่าเซี่ยนจุนก็ได้ขอรับ ท่านเรียกข้าน้อยว่าเฉิงตัวก็ได้ขอรับ ที่นี่ร้อนเกินไป ข้าน้อยพยุงท่านไปหลบแดดที่ซุ้ม ดื่มน้ำสักหน่อย ท่านอยากจะพูดอะไร ข้าน้อยจะตั้งใจฟัง”
เหยียนจือทุยยิ้มและพยักหน้า ให้เซี่ยนหลิ่งพยุงตัวเองไปนั่งที่ซุ้ม ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ส่งคนมาที่ไร่ แค่เตรียมน้ำชาถังใหญ่มาให้พวกเขาเอาไว้ดับกระหาย หวาเซี่ยนหลิ่งหยิบถ้วยที่สะอาดออกมาถ้วยหนึ่ง ใช้น้ำชาล้าง แล้วก็เทชาครึ่งถ้วยยื่นให้กับเหยียนจือทุย
เหยียนจือทุยก็ไม่รอช้า รับมาจิบคำหนึ่ง รู้สึกว่าขมเล็กน้อย แต่รสชาติที่ค้างอยู่ในปากกลับหวานและชุ่มฉ่ำ เขายิ้มและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ชาดีจริงๆ เจ้าเหงื่อเต็มหน้า ดื่มคลายร้อนสักถ้วยหนึ่งสิ ข้าไม่ได้ออกนอกบ้านมาเป็นสิบปีแล้ว ลูกๆ หลานๆ กลัวว่าข้าจะไปตายเอาข้างนอกเลยไม่ยอมให้ข้าออกไปไหน ข้าเห็นว่าพวกเขากตัญญูกตเวทีจึงไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอก ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าเสียเปรียบไปแล้วไม่น้อย พอออกจากบ้านมาก็เจอเรื่องมงคลที่ไม่เคยเห็นมานับพันปี ช่างเป็นวาสนา ได้ยินมาว่าผลผลิตหนึ่งไร่ได้มากถึงยี่สิบตัน เฉิงตัว เจ้าเป็นขุนนาง เจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าฟังไม่ผิด”
หวาเซี่ยนหลิ่งที่พึ่งเทชาลงในถ้วยใบใหญ่หรี่ตาลง ใช้น้ำล้างมันฝรั่งที่พึ่งเก็บมาเมื่อครู่ก่อน เอาออกมาอวดให้เหยียนจือทุยดู “ท่านอย่าพึ่งหัวเราะเยาะข้าน้อย ข้าน้อยพึ่งจะเก็บเกี่ยวได้หนึ่งไร่ เหล่าเสมียนใช้เชือกวัดได้หนึ่งไร่ ไม่ผิดแน่นอน ทั้งหมดเก็บเกี่ยวได้หนึ่งพันห้าร้อยกว่ากิโล เพราะกังวลเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน นี่ไม่ใช่การวัดที่ดินอีกรอบแต่อย่างใด เพียงเตรียมทำการเปรียบเทียบกันดู แต่เมื่อพิจารณาจากการเก็บเกี่ยวในตอนนี้มันน่าจะไม่แตกต่างกันไม่มาก มันฝรั่งนี่คือสิ่งมงคลสิ่งแรกของต้าถังอย่างแน่นอน”
เหยียนจือทุยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมา ตราบใดที่สิ่งนี้ปลูกในต้าถังก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวโหยอีกต่อไป เขาพลิกดูมันฝรั่งที่ถืออยู่ในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งดูก็ยิ่งชอบ จากนั้นก็ถามเซี่ยนหลิ่งอีกว่า “เฉิงตัว มันฝรั่งนี้ทำเป็นอาหารกินอิ่มหรือไม่”
“อิ่ม อิ่มขอรับ มันฝรั่งก็เป็นอาหารเช่นกัน สามารถทำเป็นอาหารรสชาติอร่อย นึ่งเสร็จแล้วนุ่มน่ากิน เป็นอาหารในอุดมคติของคนวัยเดียวกับท่าน”
เหยียนจือทุยปรบมือหัวเราะเสียงดังและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ข้าซื้อไปชิมสักสองสามกิโลได้หรือไม่ ลิ้มรสโชคลาภที่ของมงคลนำมาด้วย บางทีข้าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีกสักสองสามวัน”
“ได้อยู่แล้วขอรับ แต่ข้าน้อยคงให้ท่านได้เพียงยี่สิบห้ากิโล ช่างน่าละอายใจ เพราะมันฝรั่งพวกนี้คือเมล็ดพันธุ์ที่ต้องเอาไปปลูกในปีหน้า มิฉะนั้นข้าจะเอาให้ท่านเยอะกว่านี้อีกขอรับ”
เหยียนจือทุยส่ายหน้าและพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “เป็นเซี่ยนหลิ่งอย่างเจ้าก็ไม่ได้ง่าย วันนี้ออกมาเก็บผลผลิตที่ไร่ด้วยตัวเอง ตากแดดจนเหงื่อไหลท่วมตัวเช่นนี้ ทำงานเพื่อราษฎรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้าจะปล่อยให้ความดีความชอบของเจ้าเปื้อนฝุ่นได้เช่นไร เอาแค่สองสามกิโลก็เพียงพอแล้ว ข้าก็พอจะเข้าใจ หลักการที่ว่าต่อให้พ่อแม่ต้องอดตายก็ไม่มีทางกินเมล็ดพันธุ์”
หวาเซี่ยนหลิ่งเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของชายเฒ่า เขาจึงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่ไร่ เลือกอันที่ใหญ่ที่สุดเอาไปให้เหยียนจือทุย เห็นคนรับใช้เฒ่ากำลังจะเอาเงินออกมาให้ เขาก็รีบโบกมือ “ท่านเป็นผู้เฒ่าที่มีศีลธรรม ข้าน้อยมอบให้ท่านเพื่อแสดงความเคารพเป็นเรื่องสมเหตุสมผล หากยังเก็บเงินอีก ข้าน้อยคงจะต้องละอายใจเป็นอย่างมาก ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยซื้อให้ท่านเอง ไม่มีทางทำให้ความหวังดีของท่านเสียเปล่า”
เหยียนจือทุยยิ้มออกมาอีกครั้ง ตบไหล่หวาเซี่ยนหลิ่งเบาๆ แล้วก็กลับเข้าไปในเกวียนวัวพร้อมกับคนรับใช้เฒ่า จากนั้นก็แล่นออกไปทางหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น
จู่ปู้ขยับตัวมาใกล้หวาเซี่ยนหลิ่ง มองดูเกวียนวัวที่กำลังแล่นออกไปแล้วถามว่า “เซี่ยนจุนท่านรู้จักผู้เฒ่าคนนั้นหรือ ข้าว่าเขาท่าทางไม่ธรรมดา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”
“ใช่หรือไม่ใช่คนธรรมดาไม่สำคัญ แค่อายุเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่เราจะต้องเคารพเขา ให้มันฝรั่งสามลูกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เรื่องดีๆ เช่นนี้เหตุถึงไม่ทำ”
จู่ปู้ยิ้มและพูดว่า “ผลผลิตของมันฝรั่งช่างน่าตกใจถึงเพียงนี้ ผืนดินที่รกร้างว่างเปล่าและลาดชันของปีหน้าหากเอาปลูกมันฝรั่งให้หมด ความปรารถนาของเซี่ยนจุนจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
“พูดประจบประแจงให้มันน้อยๆ หน่อย ทำงานให้มากๆ เข้า เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าก็ต้องมานั่งที่ของข้า ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี ขยันทำงานให้มากๆ หากปีหน้าปลูกมันฝรั่งได้แล้วค่อยดีใจก็ไม่สายเกินไป”
ทั้งสองคนพูดเล่นกันเสร็จก็ออกไปที่ไร่อีกครั้ง เห็นมันฝรั่งที่ขุดออกมาวางอยู่เต็มพื้น หน้าอกของพวกเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาทันที
เหยียนจือทุยนั่งอยู่บนเกวียนวัว มองดูมันฝรั่งสามลูกที่อยู่ข้างๆ ด้วยความมึนงง หากเขาไม่เห็นมันด้วยตาของตัวเอง เขาคงจะคัดค้านว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อครู่เขายืนดูอยู่ที่ข้างไร่ ใช้อาวุธเล็กๆ ตีมันฝรั่งที่ขุดออกมาดู แล้วเอามันฝรั่งอีกลูกมาชั่งจึงรู้ว่าเซี่ยนหลิ่งไม่ได้พูดไหลวไหล ไร่หนึ่งเก็บเกี่ยวได้หนึ่งพันห้าร้อยกิโลไม่ใช่เรื่องโกหก
เกวียนวัวเดินขึ้นไปบนทางลาดชัน เมื่อถึงจุดสูงสุด เหยียนจือทุยสั่งให้เกวียนวัวหยุดเดิน เปิดม่านออกแล้วมองลงมาที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า ทั้งหมู่บ้านไม่มีอะไรน่าสงสัย
เชื่อมกับถนนสายหลักคือถนนหินที่กว้างขว้าง ตัดผ่านซุ้มประตูสูงใหญ่ของตระกูลอวิ๋น ทอดยาวไปถึงภูเขาที่เขียวขจี บนภูเขาเผยให้เห็นชายคาบ้านสองสามหลัง มีเสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ ทำให้คนรู้สึกว่าที่นั่นเป็นสถานที่อันเงียบสงบและสวยงาม
อาคารที่สูงใหญ่มองเห็นได้ชัดเจนจากเชิงเขา ไม่ต้องบอกก็รู้นี่คือจวนตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่ารอบๆ จะเป็นบ้านครึ่งหลัง ล้วนแต่เป็นสวนเล็กๆ ที่มีอิฐสีแดงและกระเบื้องสีเขียว ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวกลางวัน ควันสีฟ้าอ่อนลอยออกมาจากปล่องไฟของบ้านทุกหลัง ทำให้คนรู้สึกสงบสุขและสบายใจ
ตลาดเล็กๆ หน้าประตูจวนตระกูลอวิ๋นช่างครึกครื้น มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา เมื่อครู่มีรถม้าหลายคันที่วิ่งผ่านเกวียนวัวไป และยังได้กลิ่นหอม ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านไหน
เหยียนจือทุยยิ้มออกมาอีกครั้ง สั่งให้คนรับใช้เฒ่าหันหลังกลับ หวนกลับไปดูที่ไร่ข้าวโพด ในตอนนี้เหยียนจือทุยสนใจข้าวโพดมากกว่าอวิ๋นเยี่ยเสียอีก ที่เขารู้มันคืออาหารของจิตวิญญาณ เหยียนจือทุยวิจัยของสิ่งนี้มาแล้วทั้งชีวิต เขาไม่ได้ยึดติดสิ่งของนอกกายมาตั้งนานแล้ว เขาวิจัยมาตั้งนานถึงได้เห็นว่าตัวเองมักจะวนเวียนอยู่ที่เดิม ฮ่องเต้ดีๆ ในประวัติศาสตร์ล้วนแต่เริ่มต้นมาจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง ขอแค่ราษฎรกินอิ่ม มีเครื่องนุ่งห่มครบครัน บนโลกใบนี้ก็ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ หนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่คำสองคำนี้ อาหารและเครื่องนุ่มห่มเท่านั้น มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ชนเผ่านอกก็ทำได้แค่ยอมจำนนอย่างรู้ความ มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ความรู้ก็จะกว้างขว้าง มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ไม่ว่าดินแดนของใครก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กที่แข็งแกร่ง ที่จริงแล้วราษฎรไม่ได้สนว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ ระบบศักดินาก็เป็นแค่การเห่าหอนของเหล่านักปราชญ์ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม
ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอข้าวโพดสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้กับเขาอีกครั้ง “ไอ้หนุ่ม หากข้าวโพดไม่เลว ข้าก็จะยอมรับว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์เทพเซียนจริงๆ” เหยียนจือทุยพูดกับตัวเอง
เกวียนวัวเลี้ยวไปตามถนน ค่อยๆ เดินไปทางไร่ข้าวโพดบนถนนลูกรังเล็กๆ ต้นข้าวโพดที่สูงใหญ่ในไร่ ใบข้าวโพดที่สูงยาวเหยียดออกมาอย่างเงียบๆ มีลมพัดผ่านเข้ามาสักหนก็ส่งเสียงกึกก้อง ดอกที่อยู่ด้านบนปล่อยละอองเกสรออกมามากมายนับไม่ถ้วน เหยียนจือทุยจาม มองต้นข้าวโพดตั้งแต่หัวจรดเท้า มองจากปลายเท้าจนถึงยอด นี่คือต้นข้าวฟ่างที่สูงใหญ่ใช่หรือไม่ ความสูงของลำต้นเหมือนกันมาก ใบกว้างกว่าต้นข้าวฟ่างมาก ก้านหนากว่าต้นข้าวฟ่าง มีอะไรทรงกระบอกเสียบอยู่ในแนวทแยง ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่านี่น่าจะเป็นผลของข้าวโพด
เหยียนจือทุยไม่ได้เรียกใช้งานคนรับใช้เฒ่า เขาหักข้าวโพดออกอย่างแรงด้วยตนเอง เมื่อแกะเปลือกออกแล้วก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เมล็ดข้าวโพดที่อวบอ้วนเรียงกันเป็นแถว ใช้มือบีบดู มีน้ำสีขาวขุ่นไหลออกมา เหยียนจือทุยแกะเมล็ดข้าวโพดเข้าปาก ชิมอย่างละเอียดอ่อน กลิ่นหอมหวานเฉพาะของเมล็ดพันธุ์อยู่ในปากของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะแกะชิมรสชาติของความหวานนี้อีกสักสองสามเมล็ด
องครักษ์ดูแลไร่ข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นเห็นหัวขโมยสองคนนี้ตั้งนานแล้ว กล้าหาญชาญชัยจริงๆ มาขโมยข้าวโพดกลางวันแสกๆ ไม่เห็นข้าเป็นคนจริงๆ เขารีบพุ่งเข้าไปเตรียมต่อยไอ้หัวขโมยสองคนนั้น แต่พอมาถึง แม้แต่ขยับก็ยังไม่กล้าขยับ ไม่มีอะไร หัวขโมยข้าวโพดสองคนนี้เฒ่าเกินไป เฒ่ากว่าปู่ของเขาเสียอีก เขาสาบานว่าหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าที่ชราที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา
ทุกคนบนโลกใบนี้ที่อายุเกินเจ็ดสิบปีล้วนแต่ต้องได้รับการดูแลตามหน้าที่ หน้าที่นี้ไม่เพียงแต่หมายถึงหน้าที่ของประเทศ ยังรวมถึงหน้าที่ของตระกูลอวิ๋น รวมถึงหน้าที่ของหมู่บ้าน ถึงแม้จะก่อเรื่องอะไรผิดก็ไม่มีใครตามเอาผิด หากเป็นความผิดที่ร้ายแรงก็ให้ลูกหลานไปรับโทษแทน หากทำร้ายคนประเภทนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะขึ้นไปอยู่บนขอบฟ้า ราชสำนักก็จะไปไล่ตามเจ้ากลับมารับโทษให้ได้ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับความกตัญญูกตเวที ความจริงก็เหมือนกันหากทำร้ายคนหนุ่มสาว มากสุดก็คงถูกเฆี่ยนสองสามที แต่หากทำร้ายพวกเขา ถูกขับไล่ออกไปสามพันลี้ก็ยังถือว่าเบาไป และจะไม่มีใครรู้สึกว่าเจ้าถูกปรักปรำ
องครักษ์ที่สูงใหญ่ได้แต่เฝ้ามองดูหัวขโมยเฒ่าสองคนนั้นถือข้าวโพดไปๆ มาๆ ทำได้แค่ตะโกนอยู่ไกลๆ อย่างกังวล “พอแล้ว พอแล้ว เด็ดไปหนึ่งฝักก็พอแล้ว เด็ดไปเยอะกว่านี้ข้าจะโมโหแล้วนะ”
พึ่งจะพูดเสร็จ เหยียนจือทุยก็เด็ดข้าวโพดออกมาฝักหนึ่ง ไม่มองไปที่องครักษ์แม้แต่น้อย องครักษ์รีบถูมือ กระโดดเข้ามาและตะโกนว่า “จับขโมย จับขโมย“ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปห้าม ชายเฒ่าที่อ่อนแอทั้งสองคนคงทนรับหมัดของเขาไม่ไหว
“ไอ้หนุ่ม มานี่ บอกข้าว่าข้าวโพดนี่กินอย่างไร คงไม่ใช่กินแบบดิบๆ ใช่หรือไม่”
เห็นหัวขโมยที่เฒ่าที่สุดในนั้นกวักมือเรียกตัวเอง องครักษ์ดูแลไร่ก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างระมัดระวัง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านปู่ทั้งสองคน ของสิ่งนี้บนโลกใบนี้ก็มีอยู่แค่นี้เท่านั้น สองสามปีมานี้ก็เสียเมล็ดพันธุ์ไปไม่น้อยแล้ว ท่านคงจะไม่รู้ คนทั้งหมู่บ้านยื่นคอออกมารอปลูกอยู่เต็มไปหมด”
“พูดไร้สาระอะไรเยอะแยะ ข้าถามเจ้าว่าจะกินของสิ่งนี้เช่นไร” เหยียนจือทุยฝืนยิ้มถามองครักษ์อีกครั้ง
“ยังจะกินเช่นไรได้ ต้มกิน สุกแล้วบดเป็นเส้นได้ ท่านโหวบอกว่าขนมที่ทำขึ้นมามีรสชาติอร่อย อร่อยกว่าขนมข้าวสาลีเสียอีก”
“อืม เมื่อครู่ข้าชิมไปแล้ว รสชาติดีจริงๆ เหตุใดท่านโหวของเจ้าไม่มาดูข้าวโพดเอง แต่กลับส่งคนไม่ได้เรื่องอย่างเจ้ามาคอยเฝ้าดู ถูกขโมยไปหมดจะทำเช่นไร ทำเป็นเล่นเกินไปแล้ว”
องครักษ์เบิกตากว้าง น้อยใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เข้าใจหัวขโมยเฒ่าที่หยิ่งยโสสองคนนี้ ขโมยของแล้วยังไม่หนี ยังมายืนสั่งสอนตัวเองอยู่ตรงนี้ นี่คือหลักการอะไรกัน