เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 27 เหยียนจึซั่น เจ้ามีตาหามีแววไม่
เหยียนจือทุยพึมพำขณะกอดข้าวโพดแล้วกลับขึ้นไปในเกวียนวัว คนรับใช้เฒ่าตะโกนใส่วัว แต่เห็นว่ามันไม่ขยับไปไหน ถึงได้เห็นว่าล้อติดอยู่ในโคลนออกไปไม่ได้ องครักษ์หัวเราะ คนรับใช้เฒ่าด่าไปที่องครักษ์ “ตาบอดหรือไง เห็นล้อติดอยู่ในโคลนก็ไม่รู้จักเข้ามาช่วย เดี๋ยวตีให้ตายเลย คนไร้คนอบรบสั่งสอนอย่างเจ้านี่”
พูดเสร็จก็จะเอาแส้ออกมาฟาด องครักษ์จึงวิ่งเข้าไปหลังรถม้าและผลักรถออกไปอย่างสุดกำลัง รีบเอาหัวขโมยเฒ่าที่มีกำลังมากกว่าม้าสองคนนี้ออกไปไกลๆ แค่คิดว่าตัวเองจะถูกหักเงิน ในใจก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
ล้อเกวียนวัวกลับขึ้นมาอยู่บนถนนอีกครั้ง แต่เหยียนจือทุยกลับไม่พูดไม่จา ผลผลิตของเมล็ดพันธุ์ใหม่นี้จะต้องไม่น้อยกว่าห้าตัน หากนำไปบดเป็นแป้ง กินเหมือนข้าวสาลีได้จริงๆ เมล็ดพันธุ์ห้าชนิดก็จะกลายเป็นหกชนิด คำว่าเมล็ดพันธุ์ห้าชนิดถูกเรียกมานานกว่าสามพันปี แต่เมื่อถึงต้าถังกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หกชนิด นี่หมายความว่าอะไร คือความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว
สุภาพบุรุษก่อร่างสร้างตัว เขียนหนังสือ สร้างความดีความชอบ มีศีลธรรม ช่างสูงส่ง อวิ๋นเยี่ยสอนชาวบ้านทำมาหากิน ไม่จำเป็นต้องเป็นขุนนางแต่ก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ นี่คือการก่อร่างสร้างตัว หนังสือ ‘คณิตศาสตร์เบื้องต้น’ ของหวงหวง สี่สิบสามพันวลี แต่ละวลีล้วนแต่สวยงาม นี่คือการเขียนหนังสือ ช่วยเหลือภัยพิบัติในเหอเป่ย ราษฎรต่างพากันยกย่อง บริจาคมันฝรั่งและข้าวโพดอย่างไม่เห็นแก่ตัว ทำให้โลกใบนี้ไม่ต้องกังวลกับความอดอยากอีกต่อไป ช่างเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ หรือว่าเจ้านี่พยายามจะก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เขาอยากจะกลายเป็นเทพเจ้าหรือ
ทว่าเขาพึ่งจะบังคับลูกสาวของคนอื่นให้เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วยังตัดขาของพี่ชายนางอีก ถึงแม้จะไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษ ลูกศิษย์ของเขาก็จริงๆ เลย เพื่อเรียนรู้ความรู้บางอย่าง ถึงกับเห็นความรักของพี่ชายตัวเองเป็นเหมือนสุนัข มองดูจากเรื่องนี้ก็รู้ว่าการสั่งสอนลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นนั้นบกพร่อง ตระกูลเฮ่อหลานก็แค่ต้องการมาเอาภรรยาที่ได้รับการแต่งตั้งกลับไป แต่กลับเกือบถูกฆ่าตายคาที่ หากไม่ใช่เพราะเว่ยเจิงใช้กลยุทธ์ผ่อนผัน บางทีตอนนี้ตระกูลเฮ่อหลานอาจจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์ไปแล้ว จิตใจคับแคบและอารมณ์ร้อนดั่งอารมณ์ของหนุ่มสาวทั่วไป จริงอยู่ที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนฉลาดและอายุยังน้อย ทว่าหากไม่มีนิสัยอารณ์ร้อนของคนวัยหนุ่มสาวมันก็คงจะแปลกๆ
เหยียนจือทุยไม่เข้าใจ เขาได้รู้จักกับอวิ๋นเยี่ยที่มีบุคลิกสองขั้วในวันเดียว อันไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของเขากันแน่ ต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองถึงจะรู้ อากาศร้อนเช่นนี้ สุขภาพของชายเฒ่าทนไม่ไหวแล้ว เขาพิงกำแพงเกวียนวัวเดินทางกลับไปที่บ้านของตระกูลเหยียนในเขตชานเมืองของฉางอัน
เหยียนซือกู่เป็นห่วงสุขภาพของปู่ตัวเองเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ เขาพาคนรับใช้เฒ่าขับเกวียนวัวออกจากบ้านไปกันตามลำพังสองคน แล้วยังไม่อนุญาตให้คนอื่นติดตามไปด้วย ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็ยังไม่กลับกันมา น่าเป็นห่วงจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล ท่านปู่มีชีวิตอยู่อีกวันหนึ่ง ตระกูลเหยียนก็มีวาสนาเพิ่มอีกวันหนึ่ง ไม่กล้าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
คนรับใช้ที่ออกไปหาข้างนอกยังไม่กลับมา ทว่ามีเกวียนวัววิ่งเข้ามาทางซุ้มประตูช้าๆ คนที่นั่งอยู่บนเกวียนไม่ใช่ลุงเหยียนหรอกหรือ เดินเข้าไปดูสองสามก้าว กำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับเป็นลุงเหยียนโบกมือให้และพูดเบาๆ ว่า “นายท่านนอนหลับไปแล้ว อย่ารบกวน วันนี้คงจะเหนื่อยไม่เบา”
เหยียนซือกู่ก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ ให้คนเฝ้าประตูเปิดประตูออกเพื่อให้เกวียนวัวขับไปบ้านของท่านปู่ที่อยู่ทางเหนือ เกวียนวัวพึ่งจะหยุดลง ก็ได้ยินเสียงของเหยียนจือทุย “ถึงบ้านแล้วหรือ วันนี้ข้าไปเป็นหัวขโมยมา เป็นจนเหนื่อย ดูเหมือนว่าข้าจะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่วันแล้ว เหยียนโซ่ว เจ้าไปเรียกพวกไม่ได้เรื่องพวกนั้นมาให้หมด ข้ามีเรื่องจะพูด”
คนรับใช้อ้วนสองคนเดินออกมาจากประตู ก้าวขาเล็กๆ เหยียนซือกู่พยุงท่านปู่มานั่งและพูดเบาๆ ว่า “ท่านปู่ หากท่านเบื่อหรืออยากจะออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกก็บอกหลานสักคำ หลานไปกับท่านไม่ดีกว่าหรือ สองสามปีมานี้ฉางอันเปลี่ยนแปลงไปมากมาย หลานจะได้อธิบายให้ท่านฟัง”
เหยียนจือทุยกลอกตาไม่สนใจหลานชายของตัวเอง เขากำลังยุ่งอยู่กับการบอกให้สาวใช้ที่อยู่รอบๆ ไปเอาผลผลิตที่เขาได้มาวันนี้ออกมาจากเกวียน ยกไปที่ห้องโถง
สาวใช้กำลังยุ่งกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือ ล้างหน้าให้กับท่านปู่ หลังจากวันที่วุ่นวาย คนเฒ่าและเด็กทุกคนในตระกูลเหยียนก็ต่างพากันโค้งคำนับและยืนรอท่านปู่อยู่ในห้องโถง
มีคนมากมาย ทั้งคนเฒ่าผมหงอกและเด็กเล็ก เหยียนซือกู่ก็ยืนอยู่ข้างหลังพ่อของตัวเองไม่พูดไม่จา เขาดูออกว่าการเดินทางออกไปข้างนอกของท่านปู่วันนี้ไม่ค่อยเป็นที่น่าพึงพอใจ
เหยียนจือทุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มๆ ไม่ได้ให้หลานชายสองสามคนของตัวเองนั่งลงเหมือนปกติ พออ้าปากพูด เขาไม่ได้บ่นแต่พูดอย่างใจดีว่า “วันนี้ออกไปข้างนอก ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหลานเถียนเซี่ยนหลิ่ง ดื่มชาดีไปถ้วยหนึ่ง แล้วเขายังให้มันฝรั่งสามลูกมาเป็นของขวัญ ซือกู่ พรุ่งนี้เจ้าต้องไปขอบคุณเขาที่จวน อย่าหยิ่งยโสและจงเอาของขวัญไปด้วย ไปขอบคุณเขาแทนข้า”
เหยียนซือกู่รีบรับปาก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่เซี่ยนหลิ่งเล็กๆ แต่ไปขอบคุณแทนท่านปู่ก็ไม่ถือว่าเสียหน้า
“ตระกูลเหยียนของข้าล่มสลายไปแล้วหรือ ขุนนางทั้งฉางอันได้รับมันฝรั่งมาจากฮ่องเต้ เหตุใดตระกูลเหยียนของข้าถึงไม่มี หรือว่าตระกูลเหยียนของข้าไม่มีศีลธรรม? หรือว่าพวกเจ้าไม่ไปแย่งชิง?”
ลูกชายคนโตของตระกูลเหยียนที่มีนามว่าเหยียนจึซั่นรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อ ตระกูลของเราก็ได้รับมาแล้ว แต่ลูกคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล มีที่ไหนที่ดินหนึ่งไร่เก็บผลผลิตได้ยี่สิบสามสิบตัน มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเล่ห์เหลี่ยมของอวิ๋นเยี่ย ก็แค่เรื่องมงคลอันน่าเบื่อที่อวิ๋นเยี่ยใช้วิธีเบี่ยงเบนสายตาของคนอื่น เช่นเดียวกับกิเลนที่ปรากฏขึ้นมาในสมัยราชวงศ์สุย เอาฟอยล์สีทองไปติดที่ตัวหมูก็เรียกว่ากิเลน มันเป็นแค่วิธีที่ราชสำนักใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจคนก็เท่านั้น มันฝรั่งพวกนั้นรูปร่างน่าเกลียด ลูกสั่งให้เอาไปเลี้ยงหมูหมดแล้ว”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เหยียนจึซั่นพูด เหยียนจือทุยก็อดไม่ได้ที่จะสำลัก กว่าจะหายสำลัก เขาก็พูดกับเหยียนจึซั่นว่า “เจ้ามานี่”
เหยียนจึซั่นยิ้มและเดินเข้าไปหาพ่อของตัวเอง เขาก้มตัวลงเพื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อ แต่กลับเห็นพ่อยกมือที่สั่นคลอนขึ้นมา ตบลงที่หน้าของเขาทีหนึ่ง
เห็นท่านพ่อโมโหขนาดนั้น เขาไม่กล้าถามสาเหตุ แต่รีบคุกเข่าลงแล้วพูดซ้ำๆ ว่าลูกผิดไปแล้ว ท่านพ่อโปรดลงโทษ อย่าโมโหจนทำร้ายสุขภาพ
เห็นพ่อของตัวเองถูกท่านปู่ตบหน้า นี่คือเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเกือบหกปีแล้ว ลูกๆ หลานๆ ของตระกูลเหยียนที่อยู่ข้างหลังต่างพากันคุกเข่าลง ขอให้ท่านปู่เป็นห่วงสุขภาพ อย่าโมโหจนทำร้ายสุขภาพ
“จึซั่น ครั้งก่อนที่เจ้าถูกตี ตอนนั้นเจ้าแอบไปหอนางโลมตอนอายุสิบห้าปีใช่หรือไม่” เหยียนจือทุยระลึกถึงความหลังไปพร้อมกับพูดกับลูกชายที่อายุเจ็ดสิบปีของตัวเอง
เหยียนจึซั่นหน้าแดง เขาก้มหน้าลงและพูดว่า “ตอนนั้นลูกยังมิรู้ความ ยังไม่โตก็ออกไปก่อเรื่องวุ่นวาย ท่านพ่อลงโทษถูกต้องแล้ว แต่แค่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแล้วเกือบหกสิบปี ก็ได้เรียนรู้คำสั่งสอนของท่านพ่ออีกครั้ง มองดูภายใต้ต้าถังที่ใหญ่โต มีใครบ้างที่ยังจะได้รับการสั่งสอนจากท่านพ่อตอนอายุเจ็ดสิบสี่ วาสนาแบบนี้มีกี่คนที่จะได้รับ ลูกหวังแค่ว่าวาสนาแบบนี้จะคงอยู่ต่อไป”
เหยียนจือทุยไม่สนใจต่อพฤติกรรมใจกว้างของลูกชาย เขาหยิบมันฝรั่งขนาดใหญ่ขึ้นมาจากเก้าอี้ และพูดกับเหยียนจึซั่นว่า “ตระกูลเหยียนเคารพบรรพบุรุษ แต่ไม่เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเหยียนหุย เรามุ่งมั่นในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นมาตลอด เรียนรู้การทำไร่ทำนาจากชาวนา เรียนรู้การตกปลาจากชาวประมง เรียนรู้เหตุและผลจากขอทาน ไม่เคยกล้าพอใจในความสำเร็จของตัวเอง เราไม่เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า แต่เราเชื่อในเรื่องจริง จึซั่น อะไรทำให้เจ้าสูญเสียความกล้าที่จะค้นหาเรื่องจริงไป
ใครบอกเจ้าว่ามันฝรั่งมีผลผลิตไม่ถึงยี่สิบสามสิบตัน เจ้าเคยปลูกสิ่งนี้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ย ใช้แค่การคาดเดาในการตัดสิน เอาสมบัติของโลกไปเป็นขยะเลี้ยงหมู เหยียนจึซั่น เจ้ามีตาหามีแววไม่”
เหยียนจึซั่นตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ แต่กลับเห็นว่าท่านพ่อหลับตา ใบหน้าของเขาซีดเซียว จุดด่างบนหัวและหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะสะดุดตามากขึ้น
เขาจึงหันไปดูเหยียนโซ่วที่กำลังเดินออกไปพร้อมกับท่านพ่อ คนใช้เฒ่าที่มีนามว่าเหยียนโซ่วคือคนรับใช้คนเดียวในบ้านหลังนี้ เห็นว่านายน้อยมองมาที่ตัวเอง เขาจึงพูดว่า “นายน้อยคิดผิดแล้ว มันฝรั่งนี้ให้ผลผลิตถึงยี่สิบสามสิบตันจริงๆ วันนี้ ข้าน้อยไปที่ไร่มันฝรั่งกับนายท่าน ไปเห็นหลานเถียนเซี่ยนหลิ่งกำลังเก็บมันฝรั่งพอดี พวกเขาละเอียดอ่อนมาก ที่ดินที่วัดได้หนึ่งไร่มีผลผลิตหนึ่งพันห้าร้อยกว่ากิโลจริงๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ยของผลผลิต พวกเขาวัดที่ดินอีกหนึ่งไร่ นายท่านประเมินดูแล้ว ผลผลิตไม่น่าผิดพลาด ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ข้าน้อยและนายท่านเห็นกับตา ไม่ผิดอย่างแน่นอน”
หลังจากที่เหยียนโซ่วพูดเสร็จ เหยียนจึซั่นก็ตกตะลึง นี่มันส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไป ตัวเองคัดค้านข่าวลือที่ว่าที่ดินหนึ่งไร่ให้ผลผลิตยี่สิบสามสิบตันต่อหน้าคนทุกคน เหตุผลที่พวกเขาไม่พูดอะไรก็คือพวกเขากำลังรอดูเรื่องตลกของตัวเองอยู่ แต่ที่น่าตลกก็คือตัวเองยังคิดไปว่าพวกเขาฟังคำพูดคัดค้านของตัวเองจนพูดอะไรไม่ออก ตัวเขาเองยังรอดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีจุดจบเช่นไร แต่ที่แท้อวิ๋นเยี่ยก็รอดูว่าเขาจะอับอายขายหน้าเช่นไร
“วันนี้ข้าไปเป็นหัวขโมยมา วิ่งไปขโมยเมล็ดพันธุ์ที่ไร่ของตระกูลอวิ๋น โชคดีที่ไปเจอกับของสิ่งนี้ มันเรียกว่าข้าวโพด เป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่เช่นกัน มีรสชาติหวาน ว่ากันว่าไม่แย่ไปกว่าข้าวสาลี แต่กลับให้ผลผลิตที่มากมายมหาศาล ที่ดินหนึ่งไร่ ข้านับดูแล้ว หนึ่งไร่มีผลผลิตอย่างน้อยห้าหกตัน มันไม่เหมือนกับมันฝรั่ง มันเป็นอาหารจริงๆ หากตระกูลเหยียนเอามันฝรั่งไปให้หมูกินแล้วก็ช่างมันเถอะ ตระกูลข้าไม่แย่งอาหารหมูกิน แต่ข้าวโพดข้าเป็นคนขโมยมา ในเมื่อขโมยมาแล้ว มันก็คือของตระกูลข้า ข้าถามมาแล้ว อีกหนึ่งเดือนข้าวโพดก็จะสุก รอให้มันสุกแล้วข้าจะไปขโมยที่ตระกูลอวิ๋นมาอีก ปีหน้าปลูกให้เยอะๆ หน่อย ข้าจะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหนึ่งปี เฝ้าดูข้าวโพดเติบโต มิเช่นนั้นข้าคงนอนตายตาไม่หลับ”
“ท่านพ่อ ล้วนแต่เป็นความผิดของลูก เรื่องไปขอเมล็ดข้าวโพดให้ลูกเป็นคนไปเอง แม้ว่าจะลำบากแค่ไหน ลูกก็จะขอมาให้ได้”
เหยียนจือทุยจับหน้าของลูกชายทีหนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลเหยียนของข้าไม่เคยก้มหัวให้ใคร ใบหน้าของเจ้ายังมีคุณค่า จะไปถูกทำลายที่ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งดุด่าเด็กคนหนึ่งแสดงว่าเขาเห็นความสามารถในตัวเด็กคนนั้น หากทำผิดตระกูลเราก็ไม่มีทางยอมรับผิด ข้าเดินข้ามผ่านความปรารถนามาตั้งนานแล้ว ขโมยข้าวโพดตระกูลเขามาแล้วยังให้องครักษ์ของเขาต้องมาช่วยข้าดันเกวียน
ถือว่าข้าเจอเรื่องมหัศจรรย์มาเรื่องหนึ่ง”
ใบหน้าที่แก่ชราของเหยียนจือทุยเต็มไปด้วยความฉลาดแกมโกงราวกับเด็กน้อย เหยียนจึซั่นรู้สึกแปลกๆ แค่พ่อของเขาแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา แสดงว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
เหยียนจือทุยเพลิดเพลินกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของลูกๆ หลานๆ อย่างเต็มที่ หัวเราะและพูดต่อว่า “ข้าเห็นว่าการเป็นขโมยนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ความสำเร็จนี้ทำให้จิตใจของข้าสดชื่น เรื่องสนุกๆ เช่นนี้ทำแค่ครั้งเดียวไม่ได้ ตระกูลอวิ๋นต้องต้อนรับข้าอีกสักสองสามครั้งถึงจะสมเหตุสมผล ฮ่าๆๆๆ”
Comments for chapter "ตอนที่ 27 เหยียนจึซั่น เจ้ามีตาหามีแววไม่"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
yoyo
เจอตาเฒ่าทารกหรอเนีย