เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 28 ผู้เฒ่ามาแล้ว
ช่วงนี้ภารกิจป้องกันขโมยของตระกูลอวิ๋นค่อนข้างหนัก ล้วนแต่เป็นหัวขโมยเฒ่า พากันมาบังอาจที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น อันดับแรกมาดูการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง จากนั้นก็เริ่มวัดที่ดินหนึ่งไร่ขุดมันฝรั่ง ไม่ต้องใช้คนของราชสำนัก ใช้แค่คนของตระกูลตัวเอง ขุดออกมาชั่งน้ำหนักแล้วก็ไม่สนใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร
หวาเซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้ยืนตัวสั่นอยู่ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า แม้แต่เหงื่อที่อยู่บนหัวยังไม่กล้าเช็ด ท่าทางดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ สองสามวันมานี้พวกเขาได้รับความตกใจนับไม่ถ้วนทีเดียว ต้องดูแลผู้เฒ่า เพราะหากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาคงจะถูกถลกหนัง
อวิ๋นเยี่ยซ่อนตัวอยู่ในไร่ข้าวโพด เขย่งมองดูหัวขโมยเฒ่าพวกนั้น บ้านของพวกเขาก็มีมันฝรั่ง แต่กลับไม่มีใครสนใจ ตอนที่หลี่ซื่อหมินขุดมันฝรั่งที่ตำหนักจินหลวน พวกนั้นก็คิดเพียงว่าเขากำลังทำการแสดง การแสดงที่ฮ่องเต้เป็นคนแสดง ดูเสร็จก็ลืมเรื่องมันฝรั่งไปหมด เมื่อฮ่องเต้มอบมันฝรั่งให้พวกเขา บางคนเอาไปวางบูชาไว้ในห้องพระ บางคนทิ้งให้มันแตกหน่อเองในคลังสมบัติ พอแตกหน่อแล้วก็เอาไปให้หมูกิน สุดท้ายหมูกินพิษตายไปตั้งเยอะแยะ แต่เพราะว่าเป็นของที่ฮ่องเต้เป็นคนมอบให้จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไร จัดการมันอย่างเงียบๆ บางทีคนเลี้ยงหมูก็อาจจะถูกฆ่าปิดปากไปแล้วหลายคน
คนที่ไม่รอบคอบอย่างอวิ๋นเยี่ยมองเห็นว่าทั่วโลกใบนี้มีเพียงตระกูลอวิ๋น ตระกูลจั่งซุน ตระกูลหนิว ตระกูลเฉิง ตระกูลฉิน ตระกูลอวี้ฉือ และยังมีตระกูลของจั่งซุนอู๋จี้กับอีกสองสามตระกูลที่ปรึกษาหารือกันเรื่องปลูกมันฝรั่ง ไม่บอกอะไรพวกคนโง่เหล่านั้น ตัวเองปลูกเองร่ำรวยกันเอง ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยถึงได้รู้ว่ามีคนแอบขายมันฝรั่ง แต่เขาแค่คิดไม่ถึงว่ามีแค่ตระกูลเหล่านี้ที่ปลูกจริงๆ
ไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้ไม่ยอมแพร่กระจายมันฝรั่ง ความรู้ความเข้าใจเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยถามว่าทำไมมันฝรั่งของฮ่องเต้ถึงแพร่กระจายไปทั่วไม่ได้ หลี่ซื่อหมินก็มักจะมีสีหน้าที่ไม่ดี เขากำลังรอให้คนเหล่านี้ไปขอร้องเขา เขาจะได้ฉวยโอกาสใช้จุดอ่อนของพวกเขาในการหากำไรให้ตัวเอง ของที่ได้ไปง่ายๆ มักจะไม่มีใครหวงแหน นี่คือหลักการที่ถูกต้องที่สุด
หากคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วย ราษฎรก็ไม่มีทางกล้าที่จะเห็นด้วย อวิ๋นเยี่ยถูกหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นปกปิด เขาคิดว่าคนทั้งโลกกำลังตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของมันฝรั่งอย่างใจจดใจจ่อ ใครจะรู้ว่าทั้งหมดนี้มีอยู่แค่บ้านไม่กี่หลังที่เขาชอบไปเท่านั้น ชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่ได้เผยแพร่ข่าวดีนี้ออกไปภายนอก ลูกสะใภ้กลับบ้านก็ยังไม่อนุญาตให้พูดมาก หากเผลอพูดเรื่องใหญ่ของหมู่บ้านออกไปก็ไม่ต้องกลับมาอีก ปู่เฒ่าอายุแปดสิบปีรักษาคำพูดในเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าขัดขืน
สถานการณ์ในวงกว้างเป็นเช่นนี้แล้วยังจะแพร่กระจายอะไรได้อีก มันฝรั่งแตกหน่อก็ต้องมีพิษอยู่แล้ว ใครจะบ้าไปกินมันฝรั่งที่มีราสีม่วง ของเช่นนั้นมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของที่กินได้ แล้วอีกอย่าง อาหารที่มีรากินแล้วก็ตายเหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะหวาเซี่ยนหลิ่งไปสะกิด อวิ๋นเยี่ยก็คงไม่มีทางรู้ ซินเย่วหลบหน้าหลบตาอวิ๋นเยี่ย สองสามวันมานี้ถูกตีไปแล้วสองครั้ง ถึงแม้ว่าระหว่างการถูกตีจะมีความสุข แต่ก้นเต็มไปด้วยรอยมือมันก็ดูไม่ดี
เหล่าเฉียนซ่อนตัวอยู่ที่ลั่วหยางไม่ยอมกลับมา บอกว่าจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการของตระกูลอย่างรอบคอบ ต้องให้เวลาเป็นครึ่งเดือน
ท่านโหวหน้าดำหน้าแดงมาสามวันแล้ว สุนัขของตระกูลถูกเตะจนขาพิการไปแล้วสองข้าง หักคอไก่โยนเข้าไปในหม้อต้มซุป การบ้านของพวกเด็กๆ หนักมากขึ้นทุกวัน พากันเช็ดน้ำตาไปด้วยเขียนไปด้วย
สรุปก็คือท้องฟ้าของตระกูลอวิ๋นถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ฟ้าร้องฟ้าแลบไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว คนรับใช้และสาวใช้ต่างพากันกลัวจนตัวสั่น กระทั่งการมาถึงของอาจารย์หลี่กัง ทุกคนถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไอ้หนุ่ม อารมณ์เสียอะไร ก็แค่เรื่องมันฝรั่ง เจ้าลองคิดดู หากไม่มีเรื่องนี้ คนบนโลกนี้จะรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่ เจ้าไม่ดูว่าคนที่มามีแต่คนเช่นไร ล้วนแต่เป็นคนสำคัญของตระกูลจริงๆ คนเหล่านี้ปกติแล้วจะไม่ออกจากบ้าน แต่ตอนนี้พวกเขาแห่กันมาดูมันฝรั่งที่บ้านของเจ้า ซึ่งหมายความว่าในปีหน้าของสิ่งนี้จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ สถานที่ที่ราชวงศ์และเจ้าเอื้อมมือไปไม่ถึงก็จะปลูกกันจนเต็มพื้นที่ เจ้าเชื่อหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเทชาให้หลี่กังถ้วยหนึ่ง วางไว้ในที่ที่เขาสะดวกหยิบและพูดขึ้นว่า “ล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำ ไล่ก็ไม่ไป ต้องให้ลงไม้ลงมือ ต้องให้ข้าหาเงินได้ก้อนใหญ่ถึงยอมจำนน”
“เช่นนั้นเจ้าก็หาเงินสิ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้าหาเงิน คราวนี้พวกเขาเต็มใจมาถึงนี่หนิ เหตุใดถึงต้องไม่หาล่ะ เจ้าขายราคาถูกพวกเขาคงไม่ซื้อ นี่คือการที่พวกเขากำลังมารับโทษของฝ่าบาท ฮ่าๆ บางทีตอนนี้ราชวงศ์อาจจะเริ่มขายเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งในวงกว้างแล้วก็ได้ ไอ้หนุ่ม เจ้าปลูกไปแค่ไม่กี่ไร่ ราชวงค์ปลูกไปห้าพันไร่ เจ้ามาถามข้า ฮองเฮาชาญฉลาดเช่นนั้น จะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้หรือ เจ้าคิดว่าการกักบริเวณเจ้าสามเดือนคืออะไร ขายเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งไปหมดแล้วถึงจะมาเจอเจ้าไงล่ะ”
อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าถอนหายใจแล้วถามว่า “หรือว่าหวาเซี่ยนหลิ่งก็เป็นคนที่ฮองเฮาจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า?”
“เจ้าคิดว่าเช่นไรล่ะ ขุนนางชั้นน้อยที่ไม่มีชื่อเสียง กล้าที่จะเอาเชือกผูกคอข่มขู่เหล่าขุนนาง หากไม่มีฮองเฮาอยู่เบื้องหลัง เขาคงไม่กล้าทำเช่นนี้แน่นอน เจ้าคิดว่าชื่อเสียงมีกันง่ายๆ หรือ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาอยู่ใกล้กับตระกูลอวิ๋นของเจ้า เรื่องแบบนี้คงตกไปไม่ถึงเขา เขาเป็นใครกัน”
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์โดยรวมไม่เท่าชายเฒ่าผู้นี้ คิดคำนวณพิจารณาผู้อื่นในเรื่องที่มองไม่เห็น สุดท้ายเขาเองก็ยื่นคอออกมาอย่างไม่รู้ความ หลี่ซื่อหมิน ทั้งสองสามีภรรยาไม่ใช่คนดีจริงๆ
“ไปต้มโจ๊กมาให้ข้าหน่อย โจ๊กข้าวโพดที่ข้าดื่มครั้งก่อนรสชาติไม่เลว ข้าอายุมากแล้ว ย่อยพวกเนื้อปลาเนื้อสัตว์ไม่ค่อยได้ กินได้แค่โจ๊กข้าวโพด ตระกูลของข้ามีข้าวโพดน้อยเกินไป กินไม่ได้”
กินโจ๊กข้าวโพดสองถ้วยใหญ่เป็นเพื่อนอาจารย์หลี่กัง เขาถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เมื่อหันหลังไปกลับเห็นว่าซินเย่ว เฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยิน จั่งซุนฮูหยิน ฉินฮูหยินและอวี้ฉือฮูหยินซ่อนตัวดื่มเฉลิมฉลองอยู่หลังบ้านตระกูลอวิ๋น เสียงชักชวนให้ดื่มของภรรยาเฉิงเหย่าจิน ถึงจะมีสวนดอกไม้คั่นกลางระหว่างสองสวนก็ยังได้ยิน ดูเหมือนว่าจะดื่มกันไปไม่เบา ซินเย่วกำลังพรรณนาสถานการณ์ที่นางถูกตี พระเจ้า เรื่องนี้ก็พูดออกมาได้?
เมื่อถึงยามดึก ซินเย่วที่ใบหน้าแดงก่ำโบกผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามาในห้อง กลิ่นเหล้ารุนแรงในปากของนางเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยสลบ ปีนขึ้นไปบนหลังของอวิ๋นเยี่ย เอาแต่พูดว่าวันนี้มีความสุขจริงๆ
สามารถบังคับให้ผู้สูงศักดิ์ดั้งเดิมเหล่านั้นมาหาถึงบ้าน มันคือชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับขุนนางใหม่เหล่านี้ ตระกูลอวิ๋นยังเข้าไปในสังคมกลุ่มขุนนางดั้งเดิมไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าได้รับคำเชิญแล้วกี่ครั้ง ยังไงก็ตาม แขนเสื้อของนางพองขึ้นมาเป็นกอง นางหยิบบัตรเชิญออกจากแขนเสื้อ ไม่มีอารมณ์จะดูเท่าไหร่ ล้วนแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งนั้น นี่คือพื้นที่ของซินเย่ว ปกติอวิ๋นเยี่ยจะไม่เข้าไปแทรกแซง เมื่อถอดเสื้อผ้าออกหมด วางกระโถนไว้บนหัวเตียงให้นาง ตบหลังที่เปลือยเปล่าของนางเพื่อช่วยบรรเทาอาการเมา
คนงามเมาแล้วอ้วกก็ดูไม่ค่อยดีอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะเปลือยเปล่าก็ตาม เส้นเลือดสีฟ้าที่คอเต้นเป็นจังหวะ อ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง มองดูแล้วก็สงสาร กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายเต็มห้อง ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่
ในเช้าตรู่ของวันต่อมา ซินเย่วที่กำลังนอนกรนไม่สนใจวันเวลา ดูเหมือนว่านางคงจะยังนอนต่ออีกซักพัก อวิ๋นเยี่ยบอกสาวใช้ทำโจ๊กให้นาง ท้องของนางว่าง หวังว่าวันนี้คงจะได้กินโจ๊กสักคำสองคำ
บัตรเชิญของตระกูลเหยียนมาถึงแล้ว เหยียนจือทุยผู้มีชื่อเสียง หากได้รับบัตรเชิญเช่นนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น ตระกูลอวิ๋นเล็กๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนที่มีคุณสมบัติต้อนรับชายเฒ่าคนนี้มีเพียงท่านย่าของตระกูลอวิ๋นเท่านั้น เมื่อคืนอยากจะให้หลี่กังอยู่เป็นเพื่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าถูกหลี่กังถ่มน้ำลายใส่ บอกว่าครั้งก่อนก็เพราะตระกูลอวิ๋น เขาถึงได้ถูกคนถ่มน้ำลายใส่หน้า แล้วยังเช็ดไม่ได้ น้ำลายนี้ถือว่าเป็นบทเรียนของอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รู้จักเคารพคนเฒ่าคนแก่ ตอนนี้ต้าถังหาคนที่มีอายุมากกว่าเหยียนจือทุยไม่เจอแล้ว เขาก็เป็นแค่เด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเหยียนจือทุย โดนตียังไม่มีที่ให้ระบาย สร้างปัญหาขึ้นมาเองก็รับผิดชอบเอาเอง พูดเสร็จก็หนีจากไปทันที ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเจอกับน้ำลายของเหยียนจือทุยอีกต่อไปแล้ว
เมื่ออวิ๋นเยี่ยจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าของท่านย่าก็เปลี่ยนใหม่หมด เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแบบเดียวกับตอนที่นางเป็นลูกสะใภ้ หวีผมอย่างพิถีพิถัน ปักปิ่นปักผมหยกสีขาว ไม้เท้าก็ไม่ใช้แล้ว นางไขว้มือไว้ตรงหน้าท้องส่วนล่าง รอการมาถึงของเหยียนจือทุย ชายเฒ่าอายุเก้าสิบสี่ปีแล้วยังไม่ตาย ผู้ที่มาหาเรื่องให้ตระกูลอวิ๋นอย่างไร้ยางอาย
ซินเย่วที่น่าสงสารมีสีหน้าซีดเซียว โจ๊กตอนเช้าไม่ได้กินสักคำ เพราะกินไปเท่าไหร่ก็อ้วกออกมาหมด ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เหมือนลอยอยู่บนอากาศ ต้องให้สาวใช้คอยพยุงแขนขึ้นมา
อวิ๋นเยี่ยยืนรอการมาถึงของเหยียนจือทุยอยู่ใต้ซุ้มประตูอย่างห่างๆ ไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อย หลี่ซื่อหมินได้ยินว่าเหยียนจือทุยจะมาหาเขา เขายังต้องออกไปต้อนรับที่ประตูเมือง พาชายเฒ่าเข้าไปพูดคุยที่ตำหนักไท่จี๋
ตระกูลเหยียนเป็นตระกูลเหวินจง บรรพบุรุษคือเหยียนหุย ตระกูลนี้เป็นขุนนางที่สะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น เมื่อเทียบกับตระกูลเศรษฐีเหล่านั้น ตระกูลเหยียนไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นตระกูลที่ทุกราชวงศ์ขาดไม่ได้
ตระกูลนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของการทำไร่ทำนา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการวิจัยความรู้ เหยียนหุยเป็นคนยากจน ใช้ชีวิตอย่างยากจน ได้รับการยกย่องจากขงจื๊อว่าเป็นผู้ที่มีศีลธรรมสูงส่งที่สุด ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงอยู่ห่างไกลจากคำว่าหรูหรา
เหยียนจือทุยนั่งอยู่ในเกวียนวัว เกวียนวัวที่มีการใช้งานมาแล้วเนิ่นนาน ไม้สีน้ำตาลแดงแวววาวเป็นสีเหลืองอำพัน ล้อหนึ่งเป็นล้อใหม่ อีกล้อหนึ่งเป็นล้อเก่า ผ้าคลุมสีน้ำฟ้าเก่าๆ คนรับใช้โค้งตัวขับเกวียนวัวไปข้างหน้า มีคนรับใช้ถือของขวัญเดินตามมาอยู่ข้างหลัง
เหยียนจือทุยมาถึงแล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบวิ่งออกไปทันที รับบังเ**ยนจากมือคนรับใช้เฒ่ามา พาวัวเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นด้วยตัวเอง ชายเฒ่ายื่นหัวล้านๆ ออกมา มองดูร้านค้าตามสองข้างทางอย่างละเอียด จากนั้นก็มองดูเด็กๆ ที่แข็งแรงพอๆ กับลูกวัวพวกนั้น ปากเอาแต่พูดว่า “ไม่เลว ไม่เลว หมู่บ้านดี เด็กๆ ก็ดี!”
สองประโยคนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าชายเฒ่าจะมาหาเรื่องเขา แต่คำพูดสองประโยคนี้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจลักษณะนิสัยของชายเฒ่าอย่างคร่าวๆ นี่คือนักปราชญ์ที่แท้จริง เขาไม่ได้ตำหนิว่าตระกูลอวิ๋นอยู่ใกล้กับดินแดนพ่อค้ามากเกินไป มีกลิ่นทองแดงที่เหม็นไปถึงบนท้องฟ้า และก็ไม่ได้ตำหนิว่าตระกูลอวิ๋นละเลยราษฎร อ่อนน้อมถ่อมตน สร้างตลาดในหมู่บ้านของตัวเอง เขาสนใจแค่ความอุดมสมบูรณ์ของชาวบ้านและสุขภาพของเด็กๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับชายเฒ่าเช่นนี้ ยอมถอยให้เขาจะเป็นอะไรไป?