เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 3 เมืองฉางอันที่น่าสยดสยอง
เรือพึ่งมาถึงลั่วหยาง อาจารย์เซียวอวี่ที่รออยู่ที่นี่นานแล้วได้ขึ้นมาบนเรือ ท่าทางไม่เกรงใจ สั่งให้อวิ๋นเยี่ยเปิดคลังสมบัติ เขาต้องการจะตรวจสอบจำนวนคร่าวๆ สักหน่อย เพื่อประกาศให้ทั่วหล้ารู้ว่าคนในราชวงศ์นั้นร่ำรวยแค่ไหน
มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถอวดความร่ำรวยได้ ส่วนคนอื่นๆ มักจะพากันซ่อนเงินไว้ในคอกหมูอย่างลับๆ ในวันปกติก็กินแต่ข้าวต้ม ใส่เสื้อผ้าที่มีรอยฉีกขาด พวกเขาจะกินเนื้อสัตว์ในช่วงวันเทศกาลเท่านั้น ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัด เมื่อถึงค่ำคืนที่มืดมิดก็จะไปนั่งนับเงินในคอกหมู เพลิดเพลินไปกับความสุขของเงินอยู่ตามลำพัง
ตีให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยคิดที่จะเอาเงินไปซ่อนไว้ในคอกหมู มีเงินก็ควรนำไปใช้ ซ่อมแซมห้องให้สวยงาม กินอาหารดีๆ มีม้าลากรถเยอะๆ ผู้หญิงในบ้านมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้คนรับใช้ ทุกคนต่างมีความสุข นั่นคือเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องแต่งตัวเหมือนขอทานทั้งๆ ที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย
ว่ากันว่าซาลาเปาจะมีไส้หรือไม่มีนั้นไม่ได้ดูที่ภายนอก แต่ก็ไม่สามารถหาไส้เจอได้ในการกัดเพียงหนึ่งถึงสองคำ หลังจากที่อาจารย์เซียวอวี่เห็นสมบัติล้ำค่าก็ยิ้มไม่หุบ แต่เขากลับอยากให้อวิ๋นเยี่ยถ่อมตน ถ่อมตน แล้วก็ถ่อมตน ไม่ให้ไปทำเรื่องเหมือนคราวที่แล้วที่โจมตีจนเรือพังเพราะแย่งผู้หญิงกัน และไม่ควรยิงหน้าไม้ในตอนกลางคืน ยิงคนตายอย่างง่ายดายราวกับยิงกระต่าย คืนนั้นหลู่อ๋องก็ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ โดนลูกหน้าไม้ยักษ์พุ่งเข้าใส่จนกระเด็น ตอนนี้องค์ชายยังเอาแต่พูดว่า “เฉียดไปนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น” อยู่เลย
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าฝ่าบาทคิดผิดที่ส่งอาจารย์เซียวอวี่มา ตอนนี้ต้องการให้ทั้งเมืองรู้ว่าในคลังนั้นมีสมบัติล้ำค่า ไม่ได้ต้องการถ่อมตนสักหน่อย ผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก กังวลว่าหลังจากที่ทำสงครามตามพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้วจะมีการเพิ่มภาษีหรือไม่ มีคนฉลาดคิดว่าการที่ฝ่าบาทยกเว้นภาษีแท้ที่จริงแล้วคือกลยุทธ์อย่างหนึ่ง
คำพูดที่ว่าหากอยากได้สิ่งใดก็ต้องให้สิ่งนั้นก่อน ฝ่าบาทที่ฉลาดและโหดร้ายได้ยกเลิกภาษีก็เพื่อรอให้คนโง่เหล่านี้เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองก่อน จากนั้นก็… เหอะๆๆ
คนฉลาดต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อภรรยาน้อยของตัวเอง เฝ้าระวังคนตรวจลาดตระเวนทั่วเมืองอย่างระแวดระวัง วุ่นวายอยู่กับการวัดแบ่งที่ดินที่ให้กับคนที่สถานะถูกปิดบัง เอาแต่บอกว่าตัวเองมีลูกสามคนแต่ก็อิจฉาเพื่อนบ้านที่แบ่งที่ดินทำกินให้ลูกทั้งสี่คน ในใจก็หวังจะให้ฝ่าบาทยึดที่ดินของคนโง่พวกนี้เร็วๆ จากนั้นก็ลงโทษโดยการให้พวกเขาล้มละลาย เมื่อถึงตอนนั้นตัวเองคงจะพึงพอใจเป็นที่สุด
ผู้คนทั้งริมสองฝั่งแม่น้ำเห็นสมบัติล้ำค่าเต็มท้องเรือ ทองคำที่กองอยู่บนพื้นเรือเมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ส่องก็สว่างจ้าจนลืมตาแทบไม่ขึ้น พระเจ้า ที่ตรงกลางนั้นคือต้นอะไร ทั้งสูงและมีสีแดง หรือว่าจะเป็นต้นโพธิ์ทอง?
“คนบ้านนอกจะไปเข้าใจอะไร สิ่งนั้นเรียกว่าปะการัง ครอบครัวที่ร่ำรวยหากมีปะการังขนาดหนึ่งศอกก็สามารถนำมาเป็นมรดกตกทอดของตระกูลได้ ราชวงศ์ต้องการทำให้สูงถึงสิบศอกเพื่อแสดงถึงความสง่างามของราชวงศ์” คนที่มีประสบการณ์มองคนฉลาดเหล่านั้นด้วยหางตาแล้วหัวเราะเยาะ
“อาจารย์เซียวเหตุใดจึงนำทองคำออกจากคลังในลั่วหยางย้ายไปเก็บไว้บนเรือล่ะ” อวิ๋นเยี่ยถามเซียวอวี่เมื่อเห็นทองคำรูปพีระมิดวางอยู่
“นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท ข้ากับเจ้ามีหน้าที่ทำตามก็พอแล้ว อย่าหอบทองไว้ในอ้อมแขนเพราะนั่นไม่ใช่ของเจ้า หากขาดหายไป เจ้าจะไม่สามารถรักษาหัวตัวเองไว้ได้ ทุจริตสมบัติของประเทศใครก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้”
อวิ๋นเยี่ยเอาทองคำมาวางกองไว้บนพีระมิดแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “ทองคำเหล่านี้มักจะดึงดูดให้คนทำผิดไม่ใช่หรือ ท่านก็รู้ว่าข้าเห็นทองคำไม่ได้ ทำได้แค่มองไม่สามารถแตะต้องได้ช่างทรมานเหลือเกิน”
อาจารย์เซียวอวี่ยกโทษให้กับการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของอวิ๋นเยี่ยอย่างสงวนท่าที ยืนอยู่บนหัวเรือรับลมเย็นๆ สภาพอากาศที่อบอ้าวในกวนจงเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้สูงอายุ สำหรับเขาแล้วสายลมเย็นๆ ที่หัวเรือมีค่ามากกว่าทองคำที่กองอยู่ด้านหลังเสียอีก
“จดหมายเหตุของข้าถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลาง แต่หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานของเจ้าถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นสูง แล้วยังมีแม่แบบถึงสามเล่ม เล่นเอาศาลาหงเหวินวุ่นวายไปหมด นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนอยากจะเอาหัวชนเสาให้ตายในตำหนักจินหลวน บอกว่าทนไม่ได้ที่โดนดูถูก หนังสือของเด็กเมื่อวานซืนกลับถูกยกย่องให้เป็นหนังสือชั้นสูง แต่หนังสือของคนอื่นๆ ถือว่าเป็นหนังสือชั้นกลาง หนังสือของฮองเฮาเป็นหนังสือสำหรับผู้หญิง ถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลางนั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ว่าหนังสือของพวกเขามีไว้สำหรับผู้ชาย มีเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานของการปกครองประเทศและสันติภาพ แต่กลับถูกจัดให้เป็นหนังสือชั้นกลาง พวกเขาคิดว่านี่คือความอัปยศอดสู
สองวันมานี้เหล่านักปราชญ์คิดว่าการเอาหัวชนเสานั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อไปแล้ว เพราะฝ่าบาทได้สั่งให้เอาผ้าห่มมาห่อเสาทุกต้นในตำหนักไท่จี๋ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาหัวชนเสาไม่ได้ รอให้เจ้ากลับมาค่อยไปเอาหัวชนกำแพงที่บ้านเจ้าแทน เหล่านักปราชญ์ที่มีนิสัยแข็งกร้าวได้ถ่มน้ำลายใส่อาจารย์หลี่กังของเจ้า เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่อายุถึงเก้าสิบปี อาจารย์ของเจ้าจึงทำได้แค่ยืนอยู่เฉยๆ บอกแต่ว่าเมื่อเจ้ากลับมาเขาจะถลกหนังเจ้าเพื่อไถ่โทษให้แก่ผู้อาวุโสทุกๆ คน”
ได้ยินเหล่าเซียวพูดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็ตกใจจนทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น เรื่องนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว การทำให้ขุนนางขุ่นเคืองนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แค่ต้องหลบอยู่ในภูเขาอวี้ซัน เท่านี้ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่แน่ราษฎรอาจจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจน ทำผิดต่อเจ้าของทรัพย์สมบัติเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่คนยากจน อย่างไรก็ยังพอมีคนชื่นชมอยู่บ้าง
แต่การสร้างความขุ่นเคืองให้แก่บรรดาเหล่านักปราชญ์จะทำให้คนทั้งเมืองเอาแต่สาปแช่ง คำด่านี้จะไม่ได้คงอยู่เพียงชั่วครู่แต่จะถูกสาปแช่งต่อไปอีกเป็นเวลาหลายปี การไม่ถูกด่าสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก คราวนี้ดีเลย อวิ๋นเยี่ยและลูกศิษย์คนหนึ่งถูกด่าว่าบ้ากาม ส่วนอีกคนหนึ่งถูกด่าว่าเป็นขโมย สามารถไปดูในหนังสือประวัติศาสตร์ได้เลยว่าชื่อเสียงของตระกูลอวิ๋นนั้นป่นปี้มากแค่ไหน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แม้ว่าจะยกลูกสาวของตระกูลอวิ๋นให้พร้อมกับสินสอดก็คงไม่มีใครมาสู่ขอ เสี่ยวยาอาจจะขายไม่ออก แต่ว่าต้ายานั้นไม่มีปัญหา ตระกูลอวิ๋นขึ้นชื่อว่าเป็นโจรก็ไม่ต่างอะไรกับชาวตันยิง เพียงแค่ไปสู่ขอผู้หญิงที่ตัวเองฉุดกลับมาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้แต่งงาน
คราวนี้ควรจะทำอย่างไรดี เมื่อก่อนที่เคยเผชิญหน้าด้วยก็มีเพียงนักปราชญ์จอมปลอมเท่านั้น ที่ไม่ว่าจะดุด่าอย่างไรพวกเขาก็คิดว่ากำลังถูกชมอยู่ เพราะว่าพวกเขาด่าได้เจ็บกว่า แต่ในเมื่อกลายมาเป็นขุนนางแล้วก็ต้องไม่ถือว่าเป็นนักปราชญ์อีกสิ!
พวกคนที่เอาแต่ศึกษาหาความรู้มาทั้งชีวิต หากพวกเขาสักคนหนึ่งก้าวออกมาก็จะถูกพวกขุนนางดูถูก ขอเพียงแค่พวกเขายอมกล้าออกมาจากภูเขา ฝ่าบาทก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เชิญพวกเขามาดื่มชาและพูดคุยกันที่ห้องหนังสือ แม้แต่ฮองเฮาก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า หากจั่งซุนกล้าเข้ามาหา บางทีพวกเขาอาจจะออกไปจากที่นี่ทันที คิดว่าเป็นความอับอายอย่างหนึ่ง
ชีวิตนี้ไม่ได้จะแสวงหาอะไร เพียงแค่อยากเขียนหนังสือไม่กี่เล่มเอาไว้สอนลูกศิษย์ ชี้นำแนวทาง พูดถึงความดีความชั่วของคน หาบทสรุปในกรณีที่น่าสงสัยของประวัติศาสตร์บางอย่าง ตอนนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยฉวยโอกาสไป นี่ไม่ใช่แค่การแหย่รังต่อ แต่หลี่ซื่อหมินได้ผลักอวิ๋นเยี่ยเข้าไปอยู่ในหุบเขาแห่งความชั่วร้าย
“ผู้บัญชาการเซียว ท่านช่วยข้าด้วย มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าตัวตายบนกองทอง” อวิ๋นเยี่ยพูดพร้อมกับดึงที่แขนเสื้อของเซียวอวี่
ใบหน้าของเซียวอวี่เต็มไปด้วยแววดูถูก “เจอกันเมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าเหล่าเซียว แต่พอเห็นข้าไม่สนใจเรื่องที่ซ่อนทองคำของเจ้า เจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์เซียว ตอนนี้ได้ยินว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อยากจะขอร้องให้ข้าช่วย เจ้าก็เรียกค่าว่าผู้บัญชาการเซียว คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าจะให้ข้าช่วยได้อย่างไร ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองขึ้นมาหนังสือชั้นสูงพึ่งจะถูกแต่งตั้งเพียงสามเล่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือ ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ เล่มใหม่ล่าสุดของท่านอวิ๋นโหวผู้ปราดเปรื่อง ข้าจะรอดูวันที่รถม้าและเจ้าหน้าที่ล้อมเต็มหน้าบ้านเจ้า ฮ่าๆๆ”
เรื่องดูถูกกันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว มองใครก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด ชายชราอายุเก้าสิบปีนอกจากเหยียนจือทุยแล้วยังจะมีใครอื่นอีก ยังไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร แค่พูดถึงหลานชายของเขา อวิ๋นเยี่ยก็ถึงกับเหงื่อตก หลานชายของเขามีชื่อว่าเหยียนชือกู่ได้ทดสอบคัมภีร์ทั้งห้า กำหนดรูปแบบตัวอักษร เขียนเป็น ‘สรุปคัมภีร์ทั้งห้า’ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ราชสำนักได้เฉลิมฉลองเรื่องนี้อยู่สามวัน มีหลานชายเก่งถึงเพียงนี้ตาเฒ่าผู้นี้กลับบอกว่าตอนที่หลานชายของเขาเข้าทดสอบ ‘บันทึกราชวงศ์ฮั่น’ ไม่ได้อ่านหนังสือเลย เอาแต่ขี้เกียจ สมควรต้องถูกลงโทษ กล้าขโมยความคิดเห็นจากบทความของท่านลุงเหยียนโหยวฉินของเขาไปทำเป็นคำอธิบายประกอบ ช่างไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย
ตาเฒ่าคนนี้เป็นขุนนางระดับสูงในเป่ยฉี ตอนนี้เขากะจะมาเอาเรื่องเรื่องการแต่งตั้งหนังสือชั้นสูง ข้าควรจะทำอย่างไรดี ไม่แปลกใจเลยที่คนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างหลี่กังยังต้องยืนให้เขาด่า และสิ่งที่ทนไม่ได้ก็คือการถูกด่าอย่างมีเกียรติ ไม่ได้เป็นการรับโทษแต่อย่างใด ไม่สนว่าเรื่องนี้จะถูกหรือผิด แต่อวิ๋นเยี่ยคิดว่ามันเป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่ง
“ผู้บัญชาการเซียว ในเมื่อทุกคนชอบหนังสือชั้นสูง เช่นนั้นก็แต่งตั้งหนังสือทุกเล่มให้กลายเป็นหนังสือชั้นสูงก็สิ้นเรื่อง อย่างมากก็ต้องใช้แรงคนบ้างเล็กน้อย หากเงินไม่พอข้าจะเป็นคนออกเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
“เหอะๆ เจ้าคิดว่าเงินจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เดินไปที่ไหน หนังสือคณิตศาสตร์พื้นฐานของเจ้าได้กลายเป็นผลงานวิจัยทางวิชาการที่สำคัญที่สุดของต้าถัง ไม่ว่าหนังสือของข้าจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่มีผลอะไรอยู่ดี เพียงแค่ถูกแต่ตั้งให้เป็นหนังสือชั้นกลางก็ถือว่าราชสำนักได้ไว้หน้าข้ามากพอแล้ว คงจะสงสารที่ข้าอายุมากแล้ว ต่อจากนี้คงไม่มีโอกาสได้เขียนหนังสือแล้วจึงได้ให้สิ่งนี้เป็นของขวัญ สิ่งที่เจ้าพูดออกมา จะมีนักวิชาการคนไหนทนได้ บรรพบุรุษยังต้องตกใจ เจ้ารอโดนอัดได้เลย หากเก่งจริงตอนที่ถูกบรรพบุรุษจัดการก็เอาตัวให้รอดก็แล้วกัน ข้าจะรอดู หากทำให้พวกเขาโกรธล่ะก็ เหอะๆๆ”
เซียวอวี่ยิ้มและดูอวิ๋นเยี่ยที่นอนขี้เกียจอยู่บนเรือ ในใจรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองเสียเปรียบอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด ตอนนี้เห็นอวิ๋นเยี่ยติดอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก แล้วคนในราชสำนักก็ยังพร้อมใจกันที่จะส่งอวิ๋นเยี่ยไปสู่ความตาย ช่างดูยิ่งใหญ่เสียจริง สมแล้วที่ลงทุนไปอย่างมากมายเพื่อกำจัดอวิ๋นเยี่ย ความจริงตอนนี้ก็เหมือนกับว่ากำลังยัดอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในปล่องภูเขาไฟแล้ว เขาอยากรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีวิธีวิเศษวิโสอะไรมาใช้ในการหลบหนีอันตรายในครั้งนี้
อวิ๋นเยี่ยนอนกลิ้งไปมาอยู่บนดาดฟ้า จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วตะโกนออกคำสั่งกับตงอวี๋เสียงดังว่า “ตงอวี๋ ตงอวี๋ พวกเราต้องหันหัวเรือแล้ว พวกเราจะกลับไปเป็นโจรที่เขาเหยี่ยเหรินซาน ตอนนี้ฉางอันอันตรายเกินไป!”
ตงอวี๋มองอวิ๋นเยี่ยอย่างงงงวย ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านโหวถึงได้อยากไปเป็นโจร จะไม่กลับฉางอันแล้ว? หลิวจิ้นเป่ายังรับปากตัวเองไว้แล้วว่าเมื่อกลับไปถึงจะให้เงินรางวัล แล้วพาตัวเองไปหอเอี้ยนไหลโหลว
เซียวอวี่หัวเราะดังลั่น ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้าก็ดีแต่หนี ไม่แก้ไขปัญหา ชื่อเสียงเสื่อมเสียไปแล้ว ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ หนังสือชั้นสูง ตำแหน่งผู้นำกองทัพเรือ ไม่ใช่สิ่งที่ขอมาได้ง่ายๆ นะ ฮ่าๆๆ”
ที่ตาเฒ่าพูดไว้ก็ไม่ผิดไปจากความจริงเลย หนีไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องแบบนี้ต้องชี้แจงกันต่อหน้าถึงจะชัดเจน แต่ว่ามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า หนังสือของข้าเป็นหนังสือเรียนที่เอาไว้สอนลูกศิษย์ จึงถูกใช้งานมากเป็นธรรมดา หนังสือประวัติศาสตร์ คัมภีร์อี้จิง[1]และหนังสือห้าคัมภีร์ที่พวกเขาเขียนเป็นหนังสือที่เข้าใจได้ยาก มีไม่กี่คนที่ชอบอ่าน และมีพระไม่กี่คนที่ไม่มีอะไรทำจึงได้แปลพระไตรปิฎก และยังเตรียมตีพิมพ์ออกมาเพื่อหลอกชาวบ้าน เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน
——
[1] คัมภีร์อี้จิง นับเป็นปรัชญาโบราณที่เก่าแก่มากที่สุดเล่มหนึ่งของโลก