เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 32 ความยากลำบากบนเส้นทางเสฉวน
ภายใต้แสงอาทิตย์มักจะมีเงาทอดอยู่เสมอ ต่อให้เป้าหมายสูงส่งถึงเพียงไหนก็จะยังคงปะบนไปด้วยความเห็นแก่ตัว อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับกงซูมู่ มีบางคำขอแค่ฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ก็พอแล้ว คนเราไม่ควรใช้ชีวิตแบบที่ให้คนอื่นต้องมารับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง
สุดท้ายหลี่ซื่อหมินก็ได้เพิ่มความระมัดระวังต่อสำนักศึกษา การสอบครั้งใหญ่ในปีนี้จึงได้แบ่งเป็นสองส่วน ของสำนักศึกษาหนึ่งส่วน และของบุคคลภายนอกทั่วไปอีกหนึ่งส่วน ที่สนามสอบจะมีข้อสอบสองชุด ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่เพื่อจะได้ขึ้นชื่อว่ามีความยุติธรรม แต่เขาไม่ได้คำนึงถึงว่าการทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อสำนักศึกษามากที่สุด
หลี่ซื่อหมินเป็นคนที่มองการณ์ไกล ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถเข้าเมืองฉางอันได้หากไม่ใช่เพราะเขาจงใจก็ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะอธิบายได้อีกแล้ว
ในที่สุดต้าถังยุครุ่งเรืองก็เดินมาถูกทางแล้ว มีการสร้างสรรค์เกิดขึ้นมามากกว่าการทำลาย พวกชาวเติร์กตะวันตก ชาวเกาชังถูกกำจัดไปแล้ว ถู่อวี้หุน เซวียเหยียนถัว และชาวหุยเกอก็ยำเกรงบารมีของต้าถัง ชาวเกาลี่ก็ค่อยๆ ถอนการบุกรุกทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของต้าถัง สภาพแวดล้อมภายนอกเริ่มดีขึ้น การก่อสร้างขนาดใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว สิ่งนี้ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จึงจะสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่ราชสำนักถูกยึดครองโดยผู้คนที่ทำตัวจงรักภักดีบางคน
คนหนึ่งคนทำเรื่องชั่วร้ายลงไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล สิ่งที่น่ากลัวก็คือความทุ่มเทในการทำเรื่องชั่วร้าย แต่อย่างน้อยความทุ่มเทในการทำเรื่องชั่วร้ายก็ยังไม่น่ากลัวเท่าการทำดีที่มีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่และยังทำอย่างตรงไปตรงมา ทำอย่างกล้าหาญ ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย
จริงที่พวกเขาไม่กลัวความตายเลยแม้แต่นิด เมื่อฝูงตั๊กแตนบินมา ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้จุดไฟทุ่งข้าวสาลีที่สุกแล้วเพื่อเผาตั๊กแตนตายไปสองสามตัว แล้วก็เผาตัวเองตายไปด้วย ฉางอันลุกเป็นไฟเพราะไม่มีการป้องกันให้ดี และไม่มีการกระตือรือร้นหาผู้ก่อการร้าย แต่กลับจุดไฟเผาตัวเองจนตายแทน เมื่อภัยแล้งมาถึงก็ไม่รู้จักสอนให้ราษฎรหาของกินแต่กลับขังคนทั้งหมดไว้ในบ้านเพื่อรอให้อดตายไปพร้อมๆกัน
ทำการใหญ่ให้ดูน่าตื่นเต้น ทำเอาทุกคนต่างตื่นตระหนกตกใจกันไปหมด ทำเรื่องที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองต้องเดินทางมาสู่ความตาย ทั้งๆ ที่ตรงหน้ามีหินก้อนใหญ่แต่ก็ยังจะเอาหัวไปชนก้อนหิน ชนครั้งหนึ่งไม่ตาย ก็ชนอีกครั้งไปเรื่อยๆ จนพื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยศพ จากนั้นตัวเองก็ยืนอยู่บนกองศพแล้วตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ความพ่ายแพ้ในวันนี้เป็นเพราะสวรรค์ไม่คุ้มครองข้า ฝ่าบาท กระหม่อมได้ทำเต็มที่แล้ว” พูดจบก็นำหัวสมองที่เหมือนแตงโมเน่าชนเข้ากับก้อนหิน…
พวกเขาไม่ได้ทุจริต ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ซ้ำยังต้องอยู่กับความยากลำบาก พวกเขามีความบริสุทธิ์มากพอที่จะเป็นนักบุญ แต่กลับทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ทำเอาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
เหลียงต้าที่มีชื่อว่าเจี้ยนผู่ นามว่าตัวหยวนเป็นเพื่อนที่ดีของอวิ๋นเยี่ย สองปีที่แล้วได้ไปรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่กรมขนส่งที่ถนนเปาเสีย ทำหน้าที่รับผิดชอบการขนส่งสินค้าระหว่างฮั่นจงและฉางอัน เป็นตำแหน่งที่ได้ค่าตอบแทนมาก หากไม่ใช่เพราะว่าพ่อของเขาคือคนของจั่งซุนอู๋จี้ เขาก็ไม่มีทางได้รับงานนี้ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมขนส่งก็จงตั้งใจส่งของจากฮั่นจงมาที่ฉางอันก็พอ จากนั้นก็นำของจากฉางอันส่งไปที่ฮั่นจง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่ว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น คิดว่าการขนส่งของไม่พอให้แสดงความสามารถของตัวเอง คิดว่าการสร้างถนนกระดานไม้บนภูเขาหนิวเป้ยที่เป็นทางเชื่อมระหว่างฮั่นจงไปฉางอันจึงจะเป็นเรื่องที่ตัวเองควรทำ
เมื่อถึงเวลาบอกลา เหล่าสหายต้องร่ำลากันทั้งน้ำตา บอกให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่พึ่งมาถึงได้ยินว่าเขาเตรียมที่จะสร้างถนนกระดานไม้บนภูเขาหนิวเป้ยก็ตกใจทันที ยังไม่ทันได้ถามอะไรเหลียงเจี้ยนผู่ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังแล้วพูดว่ารอให้ถนนไม้สร้างเสร็จแล้วเขาก็จะตั้งชื่อตามชื่อของตัวเอง เรียกว่าถนนเจี้ยนผู่ พูดจบเขาก็ขึ้นรถม้าไป
อวิ๋นเยี่ยร่ำลาเหลียงเจี้ยนผู่ครั้งสุดท้ายตั้งแต่ก่อนที่จะถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป เมื่อได้เจอก็แทบจะจำเค้าโครงเดิมของชายผู้แข็งแกร่งไม่ได้ เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ดูหลวมขึ้น มือและเท้าดูหยาบกร้าน นัยน์ตามีสีแดง เบ้าตาคล้ำ เขากลับมาเพื่อรับโทษที่ทำให้ผู้คนสี่ร้อยหกสิบสามคนถูกฝังอยู่ใต้เขาหนิวเป้ย อวิ๋นเยี่ยปลอบเหลียงต้า อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องนี้คงต้องยอมแพ้ ใครจะไปคิดว่าเหลียงต้าจะโดนลงโทษเพียงแค่ไล่ออกเพื่อสอบสวนและบำเพ็ญกุศล บอกลาท่านพ่อ ย้ำเตือนลูกๆ และปลอบใจภรรยา จากนั้นก็นำเงินจำนวนมหาศาลและพลังที่เต็มเปี่ยมไปสร้างถนนเจี้ยนผู่ของตัวเองอีกครั้ง
สองวันก่อนที่เหยียนจือทุยจะมาได้มีข่าวร้ายว่าภูเขาหนิวเป้ยถล่มลงมา ถนนไม้กระดาษสามสิบแปดลี้ที่สร้างขึ้นได้พังทลายลงเหลือเพียงแค่สิบเอ็ดลี้……
อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างถนนไม้กระดานที่ขอบภูเขา ที่นั่นถูกแรงลมทำให้ก้อนหินค่อนข้างผุพังและก็ยังมีทรายสีแดงที่ร่วนซุย เมื่อเจาะเข้าไปก็จะทำให้หินลูกใหญ่ตกลงมา แม้ว่าจะโชคดีสร้างเสร็จแล้วแต่เมื่อก้อนหินถูกแรงลมพัดหลายปีเข้าถนนกระดานไม้ก็จะร่วงหล่นลงมาอยู่ดี ความรู้เหล่านี้ได้มาจากการที่เดินทางไปฮั่นจง ไกด์นำทางได้เล่าเกี่ยวกับความยากลำบากในการสร้างทางด่วนซีฮั่น คนรุ่นหลังใช้เงินจำนวนมากกว่าการสร้างทางด่วนอื่นๆ กว่าจะสร้างถนนสายนี้ได้สำเร็จ เหลียงเจี้ยนผู่ไม่มีระเบิด ไม่มีเครื่องขุดเจาะอุโมงค์ ก็ยังคิดจะวางแผนทำการก่อสร้างที่ยากเช่นนี้? ถนนไม้กระดานของถนนเปาเสียไม่ควรถูกเลือกให้ใช้ทางผ่านบนภูเขาหนิวเป้ยนี้
เป็นอย่างที่คิด เขาใช้สิ่วขุดเจาะรูใหญ่หนึ่งรู ใหญ่มากพอที่จะยัดต้นไม้ยักษ์เข้าไปได้ ภูเขาถล่มลงมาครึ่งหนึ่งแรงงานหกร้อยคนรวมทั้งเหลียงเจี้ยนผู่ถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินก้อนใหญ่นับไม่ถ้วน หากจะขุดออกมาก็ต้องใช้แรงพอๆ กับย้ายภูเขา
เมื่อข่าวร้ายถูกส่งมาถึง ภรรยาของเขาได้ผูกคอตายทันที ซินเย่วถือผ้าผูกคอกลับมาแล้วร้องไห้ไม่หยุด นางพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่าลูกชายของภรรยาเจี้ยนผู่นอนอยู่บนตัวแม่ร้องไห้งอแงอยากกินนม
ราชสำนักได้แสดงความไว้อาลัยอย่างถึงที่สุด อวิ๋นเยี่ยก็ไปเข้าร่วมงานศพในฐานะเพื่อน จิตวิญญาณของความเป็นคนในต้าถังได้สะท้อนออกมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งอย่างเคร่งครัดว่าไม่ให้อวิ๋นเยี่ยเข้าเมืองฉางอันแต่ว่านี่คืองานศพจึงไม่ถูกสั่งห้าม ในงานศพได้พบผู้ประกอบพิธีกรรมสองสามคน พวกเขาต่างแกล้งทำเป็นไม่รู้ เอาแต่พูดเรื่องหลังความตายของเหลียงเจี้ยนผู่ ไม่พูดถึงเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าเมือง
ท่านพ่อของเขายังคงมีสุขภาพแข็งแรง เดินลำตัวตรง อุ้มเด็กน้อยผู้กตัญญูรู้คุณวัยสามขวบที่กำลังเล่นหนวดเคราของท่านปู่ เด็กน้อยคิดว่าแม่ของเขาเพียงแค่หลับไปเท่านั้น
ราชโองการใหม่ได้ดังขึ้นในหัวของอวิ๋นเยี่ย พ่อของต้าเหลียงจะต้องสร้างอนุสรณ์สี่ด้าน และโปรดรับสั่งให้เขาดำเนินการก่อสร้างถนนไม้กระดานแทนลูกชายของเขา หากสร้างถนนไม้กระดานไม่สำเร็จก็ห้ามกลับบ้านเกิด
จบกัน เหลียงต้าถูกฝังไว้ที่นั่น ตอนนี้พ่อของเขาก็จะถูกฝังไว้ที่นั่นอีก ภูเขาถล่มครั้งที่แล้วทำให้เกิดความเสียหายทางธรณีวิทยา หากจะซ่อมถนนกระดานไม้อีกครั้งจะทำให้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่า หลี่ซื่อหมินคิดจะทำอะไร ถึงแม้ว่าถนนสายเปาเสียจะสำคัญ แต่ว่าหุบเขาจื๋ออู่ก็สามารถสร้างถนนได้เช่นกัน ทำไมต้องไปแขวนคอตายบนต้นไม้ต้นเดียวด้วย
การตัดสินใจที่ผิดพลาดสามารถฆ่าคนได้นับพัน ตอนนี้ความผิดพลาดก็ยังดำเนินต่อไป เหลียงเจี้ยนผู่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่แล้วสามีของชาวบ้านเหล่านั้นล่ะ ราชสำนักได้ให้บำเหน็จตามปกติ ทุกคนจะได้รับเงินทั้งหมดหกร้อยเหรียญ ใช่แล้ว ได้เพียงแค่หกร้อยเหรียญเท่านั้น เป็นราคาที่พอแค่สำหรับซื้อแกะสองตัว
แกะหลายพันตัวไม่ได้มีค่ามากมายสำหรับตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยอยากจะเอาแกะเหล่านั้นไปแลกกับชีวิตคนโดยการจับแกะผูกเชือกแล้วแขวนไว้กลางอากาศ
“ท่านปู่ ท่านปู่ ข้าก็อยากไปซ่อมถนนไม้กระดาน ข้าโตแล้ว ข้าเองก็อยากไปซ่อมถนนเจี้ยนผู่” เมื่อได้ยินเสียงของหลานชาย เหล่าเหลียงก็น้ำตาไหล พยักหน้าให้กำลังใจหลานชาย “ได้สิ หากปู่ตายแล้วเจ้าก็ทำมันต่อไป อย่างไรตระกูลเหลียงก็ต้องซ่อมถนนเจี้ยนผู่ให้เสร็จ”
ช่างหน้าอนาถใจเสียจริง การเดินทางบนถนนในภูเขาเสฉวนยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก กว่าฉานฉงและอวี๋ฝูจะก่อตั้งดินแดนเสฉวนได้ก็ใช้เวลายาวนาน ดินแดนเสฉวนถูกก่อตั้งมาสี่หมื่นแปดพันปี แต่ดินแดนเสฉวนและดินแดนฉินก็ไม่สามารถรวมเป็นแผ่นเดียวกันได้ ทางทิศตะวันตกมีภูเขาไท่ไป่ที่สูงมากจนไม่สามารถข้ามไปได้ มีเพียงนกเท่านั้นที่สามารถบินข้ามภูเขานี้ไปยังยอดเขาเอ๋อร์เหมยในดินแดนเสฉวนได้ ภูเขาถล่มได้ฝังร่างห้าวีรบุรุษทำให้ถนนไม้กระดานบนภูเขาที่มีความอันตรายสามารถเชื่อมต่อกันได้ในภายภาคหน้า ยอดเขาในดินแดนเสฉวนได้ขวางเกวียนมังกรทั้งหกของเทพแห่งดวงอาทิตย์ ด้านล่างมีสายน้ำคดเคี้ยวขนาดใหญ่ที่ไหลริน นกกระเรียนบินขึ้นสูงเสียดฟ้าก็ไม่สามารถบินข้ามไปได้ถึงแม้ว่าจะอยากข้ามไป ถนนคดเคี้ยวที่เต็มไปด้วยโคลน บนสันเขาชิงหนีล้อมรอบไปด้วยบันไดร้อยขั้นจำนวนเก้าโค้ง เมื่อกลั้นหายใจและเงยหน้าขึ้นจะสัมผัสได้ถึงภพค่ำและย่ำรุ่ง ความตื่นเต้นที่มีมากทำให้ยากต่อการหายใจ ถอนหายใจแล้วกุมมือไว้ที่หน้าอกด้วยความหวาดกลัว
การพังลงมาของภูเขาทำให้วีรบุรุษต้องไปสู่ความตาย ช่างกล้าหาญชาญชัย แต่ในเมื่อมีทางเลือกอื่นอยู่ ทำไมต้องเลือกไปสร้างถนนไม้กระดานบนภูเขาหินด้วย เมื่อวีรบุรุษตายไปลูกชายก็ต้องมารับช่วงต่อ นี่มันเป็นเหตุผลอะไรกัน เหลียงเจี้ยนผู่ทำคนตายไปหนึ่งพันคน พ่อของเขาก็จะทำคนตายอีกหนึ่งพันคน ตอนนี้ถึงคราวลูกชายของเขาจะต้องมาทำร้ายคนแล้ว
ทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา เหล่าเหลียงถามเขาว่า “อวิ๋นโหวทำแบบนี้ทำไม”
“ข้าทำแบบนี้ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าข้าไม่อยากเห็นตระกูลเหลียงของเจ้าต้องสิ้นสุดลง ถึงเจ้าตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ช่วยเหลือทางรอดไว้ให้เด็กน้อยไม่ได้หรือ” สหายจากตระกูลอื่นที่รู้จักกันได้ลากอวิ๋นเยี่ยออกไป เสียงหัวเราะเยาะของเหล่าเหลียงได้ดังมาจากข้างหลัง คนขี้ขลาด!
เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมาถึงบ้านก็นั่งอยู่ในสวนด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย ตัวเองเพียงแค่อยากจะส่งเจ้าหน้าที่ที่มีคุณสมบัติมากพอให้แก่ราชสำนักนั้นผิดมากหรือ ให้ผู้ที่ควบคุมน้ำรู้ว่าควรจะควบคุมน้ำอย่างไร ให้ผู้ที่สร้างบ้านรู้ว่าควรจะสร้างบ้านอย่างไร ให้ชาวนาที่ทำนารู้ว่าควรจะทำนาอย่างไร หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ผู้ที่ต่อสู้กันรู้ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร แค่นี้ก็ผิดด้วยหรือ ข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ก็ใช่ว่าจะเป็นข้าราชบริพารที่ดีเสมอไป ข้าราชบริพารที่มีความสามารถ เมื่อพวกเขาฆ่าคนขึ้นมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าข้าราชบริพารที่ทรยศเสียอีก
ในสมองมีม้าวิ่งไปมาเต็มไปหมด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟ้าสว่างโดยไม่ทันได้รู้ตัว แสงอรุณในยามเช้าได้ปกคลุมท้องฟ้า เหยียนจึซั่นขับเกวียนมาส่งเหยียนจือทุยเช่นเคย ชายเฒ่ามาถึงสำนักศึกษาโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า แถมยังบอกอีกว่าดูแม่พิมพ์เสร็จแล้วค่อยกินข้าวในสำนักศึกษาก็ยังไม่สาย
ขณะนั่งอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา ชายเฒ่าและอวิ๋นเยี่ยนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะขนาดเล็ก กินโจ๊กไป นั่งดูลูกศิษย์ที่ยุ่งอยู่กับการพิมพ์หนังสือไป หนังสือที่พิมพ์มีประเภทเดียวก็คือคัมภีร์หลุนอวี่
เมื่อชายเฒ่ามาถึงก็ดูหนังสือเล่มตัวอย่าง ท่าทางพออกพอใจเป็นอย่างมาก เขาขอบคุณลูกศิษย์ทุกคนทีมีส่วนร่วมในการพิมพ์ แต่เขาพูดประโยคนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น “เจ้าเด็กน้อย ข้าหิวแล้ว”
อาหารพื้นฐานของสำนักศึกษาจะมีโจ๊กข้าวฟ่าง ซาลาเปา หัวไชโป๊ เหยียนจือทุยชอบหัวไชโป๊มาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีฟัน จึงทำได้เพียงแค่เอาเข้าปากแล้วก็คายออกมา มองดูอวิ๋นเยี่ยเคี้ยวหัวไชโป๊ด้วยความอิจฉา เวลากินข้าวไม่ควรพูดจา เวลานอนไม่ควรเสียงดัง ชายเฒ่าปฏิบัติตามข้อปฏิบัตินี้ได้ดีมาก จนกระทั่งอวิ๋นเยี่ยรินชาโสมให้เขา เขาจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ไอ้หนุ่ม มีเงื่อนไขอะไรก็บอกข้า ถ้าหากรับปากได้ ข้าก็จะรับปากเจ้า แต่ถ้าหากข้ารับปากไม่ได้ ต่อให้สำนักศึกษาเจ้าใช้แต่หนังสือจากร้านหนังสือข้า ข้าก็รับปากเจ้าไม่ได้”
“ข้าน้อยทำด้วยใจที่กตัญญูอย่างบริสุทธิ์ เห็นผู้เฒ่าอย่างท่านกังวลเกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ ข้าก็อยากจะแบ่งเบาภาระ การใช้เงื่อนไขมาข่มขู่ไม่ใช้นิสัยของสุภาพบุรุษ”
“เจ้าคนกะล่อน มีอะไรก็รีบพูดมา เจ้าวางแผนจะทำอะไรก็รีบบอกมา หากผ่านจุดนี้ไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าทวงบุญคุณแล้ว ครั้งที่แล้วได้ขโมยข้าวโพดของตระกูลเจ้า คิดว่าของของตระกูลอวิ๋นนั้นไม่เลวเลยทีเดียว หากเจ้ายังไม่พูด แม่พิมพ์พวกนี้ก็ถือว่าข้าขโมยไปก็แล้วกัน”