เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 34 กิจการของหวงสู่
ชายเฒ่าเที่ยวเล่นอยู่ในสำนักศึกษาอย่างมีความสุข ถึงขั้นบอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเขาเข้าไปในห้องเรียน เขาสอน ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ให้กับลูกศิษย์ด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างพึงพอใจท่ามกลางทุกคนที่กุมมือขอบคุณเขา สำหรับเรื่องที่อาจารย์อวี้ซันอธิบายไม่เหมือนกับที่เขาสอน นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเก็บมาพิจารณา
ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาคือสถานที่ที่ทุกคนที่มายังสำนักศึกษาต้องไม่พลาด เหล่าขุนนางในฉางอันเห็นว่าประตูใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว หากมีเพื่อนจากที่อื่นมาเยี่ยมเยียน การพาไปเที่ยวประตูใหญ่สักรอบหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ผู้หญิงของตระกูลใหญ่โตไม่ยอมออกมาเจอแขก แต่เมื่อมีพ่อกับพี่ชายไปเล่นที่สำนักศึกษาเป็นเพื่อนกลับไม่ใช่ข้อห้ามอะไร เพียงแค่เจ้าต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายก็แค่นั้น ข้อนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนใช้ความพยายามทำให้เกิดขึ้น มิเช่นนั้นสำนักศึกษาที่เต็มไปด้วยผู้ชายมันอาจจะบิดเบือนจิตใจที่เปราะบางของพวกลูกศิษย์ได้
หลี่กังไม่รู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่แล้ว เขาจึงยอมเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ในสำนักศึกษามีนิสัยแย่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นลูกศิษย์ที่หน้าตาหล่อเหลาและรูปร่างผอมบาง พวกเขาก็จะไปลูบที่คางดูสักสองสามที ลูกศิษย์บางคนที่มีจินตนาการล้ำเลิศก็แต่งเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างตัวเองกับเพื่อนร่วมชั้นสาวงามที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย
เห็นเพื่อนร่วมชั้นสองคนที่ใส่เสื้อสีฟ้าปลิวไสวเดินเข้ามา ท่าทางที่สง่างามและเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะผลักเหยียนจือทุยให้รีบวิ่งออกไป คุณพี่ จะแต่งตัวเป็นผู้ชาย อย่างน้อยก็หาผ้ามารัดหน้าอกที่นูนโตเอาไว้หน่อยได้หรือไม่ น้ำลายของลูกศิษย์พวกนั้นจะไหลออกมาอยู่แล้ว แม้แต่ชายเฒ่าวัยเกือบหนึ่งร้อยก็ยังมีชีวิตชีวา อ้าปากค้างมองดูสาวงาม
เขาถือพัดอยู่ในมือ นี่คือของสิ่งใหม่ที่พึ่งจะหาเจอเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในสำนักศึกษามีกันแค่ไม่กี่คน คนที่ขี้อวดหน่อยแม้แต่ฤดูหนาวก็ยังเอาออกมาพัดสักสองสามที มิเช่นนั้นมันคงไม่เพียงพอที่จะแสดงท่าทางของตัวเอง
“เอ๊ะ พี่อวิ๋น วันนี้ข้าเห็นว่าดวงอาทิตย์สดใสสวยงาม อดไม่ได้รู้สึกอยากออกไปเที่ยวเล่น ไม่ทันได้รู้สึกตัวก็มาถึงที่สำนักศึกษา ขอให้พี่อวิ๋นนำทาง พาข้าและพี่หลี่เยี่ยมชมหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ได้ ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนผู้เฒ่า คอยอธิบายเรื่องของสำนักศึกษาให้เขาฟัง ท่านทั้งสองอยากจะเที่ยวเล่นก็เชิญตามสบาย”
“เจ้ากล้าหรือ ท่านพ่อของข้าบอกแล้วว่า หากเจ้ากล้าละเลยพวกข้า อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” พี่หลี่ที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วตะโกนเสียงดัง
“อย่าตะโกน ตะโกนอีก เดี๋ยวจะจับเจ้าไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา พาพี่สะใภ้ของเจ้าไปหาโหวเจี๋ยซะ หากทำให้ผู้เฒ่ารำคาญ แม้แต่พ่อของเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ อยู่ดีๆ มาทำอะไรที่สำนักศึกษา”
ตอนนี้ทั้งสองคนถึงได้เห็นว่ามีชายเฒ่านั่งอยู่บนรถ พวกเขารีบทำความเคารพ ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชายโค้งคำนับช่างดูแปลกประหลาด
“พี่อวิ๋นอย่าตกใจไป ท่านพ่อของข้าสั่งให้เสี่ยวหวังพาน้องๆ มาเยี่ยมชมสำนักศึกษา พี่สะใภ้จะมาหาโหวเจี๋ยที่สำนักศึกษาพอดี พวกข้าจึงตามมาด้วย”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว โค้งคำนับผู้เฒ่าเหยียนก่อน แล้วพวกเจ้าก็ไปหาหลี่อั้นกับหลี่โย่วที่สำนักศึกษา ให้พวกเขาพาเจ้าไปเดินดูรอบๆ” ลูกชายคนที่เจ็ดของหลี่ซื่อหมินมีนามว่าหลี่อวิ้น ขี้ขลาดตาขาว ชอบแต่ความสนุกสนาน เขาบอกเองว่าขอแค่มีชีวิตที่มีความสุขก็เพียงพอ นี่คือคำพูดที่คนฉลาดถึงจะพูดออกมา
เหยียนจือทุยชอบเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หลานหลิงเอาลูกอมสูตรลับของตระกูลอวิ๋นให้กับผู้เฒ่าเหยียน นางเข้ามาเบียดในรถ เอะอะโวยวายใส่อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด แต่ผู้เฒ่าเหยียนก็ไม่ว่าอะไร พูดคุยและหัวเราะกับเด็กสองคนนั้นอย่างมีความสุข
กลับมาจากประตูใหญ่ก็เห็นโหวเหลียนเอ๋อร์ตาแดงก่ำและโหวเจี๋ยที่ก้มหน้าก้มตาออกมาจากห้องเรียน มีหัวยื่นออกมาจากหน้าต่างตั้งมากมาย พวกเขาเตรียมที่จะดูเรื่องสนุก
“อวิ๋นเยี่ย ไม่เลวจริงๆ เจ้าสัญญากับพ่อของข้าที่ลั่วหยางว่าจะดูแลน้องชายของข้าเป็นอย่างดี เจ้าดูซิ นี่คือผลลัพธ์จากการดูแลของเจ้าใช่หรือไม่” พูดจบก็ดึงมือของโหวเจี๋ยออกมาจากด้านหลังให้อวิ๋นเยี่ยดู
“ไม่เลวหนิ นี่คือมือของลูกผู้ชาย ผิดอะไร โหวเจี๋ยใช้กำลังของตัวเองแบกหินพวกนั้น เหตุใดเจ้าไม่ไปพูดถึงหินที่สง่างามและแปลกประหลาดพวกนั้น แต่กลับเอาแต่พูดถึงเรื่องมือของเขา มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่จะสนใจเรื่องมือหยาบ ต่อไปโหวเจี๋ยก็ต้องพึ่งพามือคู่นี้ต่อสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง จะอ่อนนุ่มได้เช่นไร”
ประโยคเดียวพูดจนโหวเจี๋ยรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมาทันที โหวเหลียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นเยี่ยอย่างดุเดือดและพูดว่า “ถึงแม้ว่าที่เจ้าพูดมันจะมีเหตุผล แต่เจ้าลงโทษให้เขาไปแบกก้อนหิน ลงโทษหนักเกินไปหรือไม่ เขาแค่ลอกข้อสอบของคนอื่นเองไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่โหวเจี๋ยกลัวที่สุดก็คือมีคนพูดถึงเรื่องนี้ ใครพูดเขาก็จะโกรธคนนั้น ได้ยินที่พี่สาวของตัวเองพูด เขาอับอายจนหน้าแดงก่ำไปหมด ปัดมือของพี่สาวออกและวิ่งหนีไปทันที โหวเหลียนเอ๋อร์ยังคงตะโกนอยู่ข้างหลัง “เสี่ยวไกว” นี่คือชื่อเล่นของโหวเจี๋ย ตอนนี้แม้แต่ฆ่าตัวตายโหวเจี๋ยก็อยากทำ เขาทิ้งพี่สาวของตัวเองไว้ข้างหลัง และพวกลูกศิษย์ที่ยื่นหัวออกมาต่างก็พากันหัวเราะ ชื่อเสียงของโหวเจี๋ยจบสิ้นแล้ว
ในที่สุดชายเฒ่าก็รู้สึกเหนื่อย หลานหลิงก็ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่ออกไปแล้ว พาชายเฒ่ากลับไปพักที่ห้องของอวิ๋นเยี่ย จู่ๆ ชายเฒ่าก็เบิกตาโตพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อย่าทำผิด ยืนตรงๆ และเดินไป ทางของข้าเดินเสร็จแล้ว ต่อไปก็อยู่ที่ว่าพวกเจ้าจะเดินต่อไปเช่นไร” หลังจากพูดจบก็หลับตาลงอีกครั้ง
เมื่อมานั่งอยู่ในห้องทำงาน ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดของชายเฒ่าหมายความว่าอะไร พึ่งจะสงบลง กลุ่มองค์หญิงของราชวงค์ก็รวมตัวกันเข้ามา มองดูเกาหยางที่สูงส่งแล้วก็มองไปยังหลานหลิงที่ชาญฉลาด จากนั้นก็มองดูเหล่าองค์หญิงน้อยๆ หรือว่าความผิดที่ชายเฒ่าพูดถึงคือพวกนาง?
พระเจ้า ข้าอยากจะหนียังไม่ทัน ยังมีอารมณ์ไปยั่วพวกนางอีก? ในนั้นมีคนดีๆ สักคนไหม ผู้เฒ่า ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว
หลี่ซื่อหมินไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อย เอาเหล่าองค์หญิงมารังควานอวิ๋นเยี่ย ไม่ให้เขาได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น อวิ๋นเยี่ยที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนตอนนี้อ้าปากหาวกว้างราวกับฮิปโป ยังต้องเล่าเรื่องในทะเลให้กลุ่มองค์หญิงฟัง อธิบายความแตกต่างระหว่างปลาทองกับวาฬ เขาไม่ได้ถูกปลาตัวเล็กยาวหนึ่งนิ้วตกใส่จนสลบไป แต่ถูกวาฬขนาดใหญ่เท่าบ้านตกใส่ หากไม่เชื่อก็ลงไปดูก้างปลาวาฬในห้องข้างล่าง นั่นคือก้างที่เหลืออยู่หลังจากกินเนื้อปลาไปหมดแล้ว
กว่าจะหลอกล่อเด็กผู้หญิงน่ารำคาญเหล่านั้นออกไปได้ช่างหนักหนา หลังจากนั้นอวิ๋นเยี่ยกระโดดเข้าไปในห้องของอาจารย์อวี้ซัน เตรียมที่จะนอนหลับจนถึงฟ้าสว่าง ถึงมีใครมาเรียกก็ไม่เปิดประตู
ตื่นนอนขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว ปิดประตูนอนท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว เหงื่อท่วมตัวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้คงพลาดเวลาอาหารของสำนักศึกษาแล้ว ต้องไปหาอะไรกินที่ร้านของหวงสู่แทน
หากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนที่ได้เจอแรกสุดคือหวงสู่ ตอนนี้เขาเหมือนกลายร่างเป็นพังพอนสีเหลืองไปแล้ว มีเนื้อที่แก้มทั้งสองข้าง ตัวอ้วนขึ้นไม่น้อย หากไม่ใช้เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบา อวิ๋นเยี่ยคงสงสัยว่าเจ้านี่ได้สูญเสียทักษะของหัวขโมยไปหมดแล้ว
สั่งให้หวงสู่ทำบะหมี่ชามใหญ่ให้ตัวเอง เพิ่มพริกเพิ่มน้ำส้มสายชูและเพิ่มกระเทียม เขาถือกะละมังจะไปอาบน้ำที่แม่น้ำตงหยางซะหน่อย อากาศร้อนเช่นนี้ ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่าอาบน้ำอีกแล้ว
ช่างโชคร้าย ท้องฟ้ามืดมน ดวงจันทร์และดวงดาวถูกบดบังอยู่หลังก้อนเมฆ เมื่ออยู่ริมแม่น้ำแล้วยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วเลย หวงสู่ถือตะเกียงขึ้นมาแล้วพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านโหว ท่านอาบน้ำในถังน้ำของที่ร้านก็ได้ ข้าน้อยไปตักน้ำให้ท่านเอง ข้างนอกมืดเกินไป หกล้มหัวกระแทกไปมันจะไม่ดี”
“เหลวไหล ถังน้ำในร้านของเจ้าเป็นน้ำที่ใช้ดื่ม เจ้าคงไม่ได้อาบน้ำในถังใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าคงไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว อาหารของร้านเจ้ายังกินได้อยู่หรือไม่”
หวงสู่ตะโกนออกมาด้วยความน้อยใจ เอาบรรพบุรุษมาสาบานว่าไม่มีเรื่องนี้แน่นอน เขาจะไปอาบน้ำในแม่น้ำ ไม่เคยอาบน้ำในถังเก็บน้ำ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้อาบน้ำในถัง เขาถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปในแม่น้ำ
นอนอยู่บนพื้นทราย ปล่อยให้สายน้ำที่เย็นฉ่ำไหลผ่านร่างกาย และยังเจอปูสองตัวที่ขนาดเท่าเหรียญ จึงจับมันไว้ในมือ หมุนมันอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้พวกมันหนีไปไหน
“ท่านโหวมีเรื่องอะไรดีๆ หรือ” หวงสู่นอนอยู่ในแม่น้ำ เงยหน้าขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ย
“เจ้าดูออกแล้วหรือ ยกก้อนหินออกจากอกแล้วจริงๆ นอนหลับอย่างสบายใจไปตอนบ่าย พึ่งจะตื่นขึ้นมา พลาดเวลาอาหารไปแล้วจึงต้องมากินบะหมี่ที่เจ้า”
“ความคิดของท่านโหว ข้าน้อยไม่กล้าคาดเดา แต่แค่ท่านมีความสุข ข้าน้อยก็มีความสุข แสดงว่าสำนักศึกษาจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอย่างแน่นอน ข้าน้อยอาศัยสำนักศึกษาใช้ชีวิตไปวันๆ แค่อยากจะส่งข้าวชามนี้ต่อไปให้ลูกให้หลาน ให้เสี่ยวสู่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าข้า หากมีเวรกกรรมอะไรก็ให้มาลงที่ข้า แม้แต่ฟ้าผ่าฟ้าร้องข้าก็ยอมแบกรับมัน วันสบายๆ หากจับมันเอาไว้ก็คงไม่มีทางยอมปล่อยมันไป”
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง ปีนี้สำนักศึกษากำลังจะสร้างตึกอีกแล้ว ปีหน้าลูกศิษย์คงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
“เช่นนั้นก็ดีเลย ร้านเล็กๆ ของข้าน้อยก็ควรขยับขยายบ้างแล้ว ท่านตั้งชื่อใหม่ให้ข้าน้อยหน่อยสิ ท่านโหวท่านเป็นถึงอาจารย์ของสำนักศึกษา ชื่อที่ข้าน้อยตั้งเอาออกมาใช้ไม่ได้จริงๆ ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอยู่ตั้งนาน พึ่งจะแขวนป้ายขึ้นไปก็ต้องรีบเอาลงมา” หวงสู่กุมมือขอร้องอวิ๋นเยี่ย
“ชื่อที่เจ้าตั้งคืออะไร ชื่ออะไรล่ะ ไหนลองบอกมาซิ โดยทั่วไปแล้วใช้ชื่อที่ตัวเองเป็นคนตั้งดีที่สุดจะได้เป็นกิจการค้าขายที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถึงแม้ว่าชื่อจะไม่ไพเราะ แต่พูดแล้วติดหู จำง่าย แพร่กระจายรวดเร็ว”
“ข้าน้อยคิดว่าตัวเองชื่อหวงสู่ จึงอยากจะเรียกกิจการค้าขายของตัวเองชื่อเดียวกัน เช่นเดียวกับขนมพายแม่ยายเฉาที่ตลาดตะวันหก หวังซยาจื่อบะหมี่เย็น ชีสหลิวหุน ซุปชาจังอีตาน ปีนี้ข้าน้อยเตรียมสร้างตึก จึงคิดว่าจะตั้งชื่อว่าหวงสู่โหลว ข้าน้อยไปถามคนอื่นมาแล้ว มีตึกๆ หนึ่งชื่อว่าหวงเฮ่อโหลว กิจการของข้าน้อยมีชื่อว่าหวงสู่โหลวก็คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ช่วยไม่ได้ที่ในความคิดของชายคนนี้ หวงเฮ่อกับหวงสู่จะเท่าเทียมกัน ดูเหมือนว่าการขอให้อวิ๋นเยี่ยตั้งชื่อใหม่ให้ก็คงเพราะว่าเกรงใจ แต่นี่ก็เป็นกิจการของเขา อยากชื่ออะไรก็ได้ แต่ชื่อว่าหวงสู่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ชื่อว่าสู่โหลวดีกว่า อ่านผิดก็กลายเป็นซูโหลว ไม่เลวเลยทีเดียว
บอกความคิดให้กับหวงสู่ฟัง หวงสู่เกาหัวอย่างชอบอกชอบใจ ดีใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาคิดอยู่เสมอว่ากิจการค้าขายของตัวเองควรเป็นชื่อของตัวเอง
เขายืนเท้าเปล่าตะโกนขึ้นฟ้าว่า “พระเจ้า กิจการของข้ามีชื่อแล้ว” บางทีมันอาจจะเป็นคำพูดที่ผิดต่อสวรรค์ จู่ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นอยู่บนหัวของทั้งสองคน