เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 40 ของอร่อยมาแล้ว
จั่งซุนดื่มชาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ฝ่าบาทก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ตอนที่ข้าพูดเรื่องนี้กับเขา เขาก็บอกว่ายิ่งวุ่นวายยิ่งดี วุ่นวายช่วงแรกดีกว่ามาวุ่นวายช่วงท้าย วุ่นวายตอนนี้ดีกว่ามาวุ่นวายภายหลัง การมีศาสนาพุทธอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องดี การที่ลัทธิเต๋าอาละวาดเกินเหตุก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการหาจุดสมดุลในความวุ่นวายนี้”
“ที่ฝ่าบาทพูดก็มีเหตุผล ศาสนาต้องมีผู้นำจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ หากอำนาจศักดิ์ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจกษัตริย์ เมื่อถึงคราวนั้นท่านจะร้องไห้ไม่ออก”
“พวกเขากล้าอย่างนั้นรึ!” จั่งซุนขมวดคิ้วด้วยความโกรธ ตบลงไปที่พนักเก้าอี้หนึ่งที สมแล้วที่เป็นแม่ของแผ่นดิน เมื่อนางโกรธขึ้นมาทั้งห้องมีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยคนเดียวที่ยังยืนอยู่ ที่เหลือต่างพากันหมอบหัวติดพื้นเหมือนนกกระทา
เสี่ยวอู่ที่เดินถือกาน้ำชาเข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี ถึงแม้ว่านางจะตกใจแล้วคุกเข่าลง แต่อวิ๋นเยี่ยเห็นว่านางกัดฟันเหมือนอยากจะลุกขึ้นมา นอกจากพ่อแม่และอาจารย์ที่นางเต็มใจยอมคุกเข่า แต่ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกอับอายที่ต้องคุกเข่าให้ผู้อื่น
ไม่ได้การแล้ว เจ้าเด็กโง่คนนี่คิดว่าจั่งซุนเป็นคนมีเมตตาอย่างนั้นหรือ อวิ๋นเยี่ยรีบเดินเข้าไปรับกาน้ำชามาจากเสี่ยวอู่ ให้คนอื่นๆ หลีกทางไปชั่วครู่
เสี่ยวอู่เดินออกมาท่ามกลางฝูงชนแล้วยังหันกลับไปมองจั่งซุนอยู่เรื่อยๆ นางอิจฉาความยิ่งใหญ่ของจั่งซุนเป็นอย่างมาก
“อวิ๋นเยี่ย ที่เจ้าบอกว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของกษัตริย์เป็นเรื่องจริงหรือ” จั่งซุนยังไม่เข้าใจว่าเหล่าพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋าได้รับความเคารพมากกว่าราชวงศ์เสียอีก
“แน่นอนอยู่แล้ว มีบางประเทศที่ฮ่องเต้ต้องได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา ท่านว่าใครมีอำนาจมากกว่ากันล่ะ จักรพรรดิเหลียงอู่ถวายชีวิตแด่วัดถงไท่ถึงสี่ครั้ง เพราะว่าในยุคนั้นอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีมากกว่าอำนาจของกษัตริย์”
“คราวก่อนข้าวโพดที่เจ้าให้ชิงเชวี่ยนำเข้ามาในวังรสชาติดีมาก ฝ่าบาทโปรดมาก เหล่านางสนมก็ชอบ จั่งเล่อที่ปกติไม่ค่อยจะกินข้าวกลับชอบกินข้าวโพดเป็นอย่างมาก วันนี้ไปเก็บมาเยอะๆ หน่อย ข้าจะนำกลับไปด้วย ต่อจากนี้เจ้าห้ามแอบกิน เสบียงอาหารดีๆ เช่นนี้ต้องเหลือเมล็ดไว้เพาะปลูก”
“กระหม่อมจะให้คนไปเก็บเดี๋ยวนี้ เก็บมาให้หมดจะเหลือเมล็ดไว้ทำไม มันฝรั่งที่เป็นของดีขนาดนั้น ตอนนี้ก็เอาไปให้หมูกินเสียแล้ว”
คำพูดของอวิ๋นเยี่ยประโยคเดียวทำเอาจั่งซุนหัวเราะขึ้นมา เรื่องมันฝรั่งเป็นความคิดของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มีจั่งซุนเป็นหัวหน้า ผู้คนจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับมันฝรั่งขึ้นมา หากให้พวกเขาไปเฉยๆ พวกเขาก็จะไม่รักษาให้ดี แต่ถ้าหากให้ซื้อในราคาสูงพวกเขาก็จะรักษาเป็นอย่างดี นิสัยเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไม่ได้มีแค่ราษฎรทั่วไป เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ก็มีความเจ้าเล่ห์เช่นกัน สำหรับข้อโต้แย้งระหว่างพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าก็เป็นเรื่องวุ่นวายธรรมดา รอให้ผ่านพ้นไปสักพักก็คงสงบลง กล้าลองดีกับอำนาจของกษัตริย์หรือ เช่นนั้นก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด
“ปีหน้าจะปลูกมันฝรั่งให้มากขึ้นอีก คราวนี้เจ้าพอใจหรือยัง เจ้าจงตั้งใจปลูกข้าวโพดต่อไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนอื่นไม่สนใจก็ช่าง แค่ข้ากับฝ่าบาทสนใจก็พอแล้ว หากเจ้าอยากจะไปดูการร้องเพลงเต้นระบำที่ฉางอันก็แอบไปเอา อย่าให้ถูกเหล่าขุนนางจับได้ จริงสิ คนยิงธนูตอนกลางคืนในตระกูลเจ้าช่วยส่งมาคอยเฝ้าวังให้ข้าได้หรือไม่”
สำหรับคำขอนี้ของจั่งซุนให้ตายอย่างไรก็จะไม่รับปาก หากให้ซ่านอิงไปเฝ้าวังหลวงในตอนกลางคืน คนที่เขาอยากจะยิงให้ตายมากที่สุดก็คือหลี่ซื่อหมิน ครั้งที่แล้วยิงไม่ตายเขาก็เสียใจเป็นอย่างมาก หากได้เจอกันอีกครั้ง ไม่แน่ความคิดที่อยากจะฆ่าฝ่าบาทอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้
“เห็นทีว่าจะไม่ได้ เขาเป็นแค่หัวขโมยคนหนึ่ง น้องสาวข้าก็ถูกเขาขโมยไปแล้ว หากให้ไปเฝ้าวังหลวงแล้วขโมยองค์หญิงไปสองคนข้าจะเดือดร้อนเอา เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าเด็กนี่คิดอยากจะเป็นโจร หากไม่ใช่เพราะข้าห้ามไว้ ไม่แน่เขาอาจจะยึดภูเขาลูกหนึ่งและทำเรื่องในด้านมืดให้แก่กษัตริย์”
จั่งซุนคิดว่าอวิ๋นเยี่ยหลอกนางจึงพูดเสียดสีอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าช่างเป็นคนใจคอคับแคบ ตอนที่เจ้าขอให้อู๋เสอมาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาข้าก็ตอบตกลงแล้ว แค่อยากจะได้คนของเจ้าทำไมมันยากเย็นนัก ในวังหลวงมีคนแบบนี้เยอะจะตาย ในค่ายทหารก็ไม่รู้มีนักแม่นธนูอยู่เท่าไหร่ที่รอเข้าวังมาเป็นทหารยาม การที่ข้าขอคนของเจ้าก็ถือว่าช่วยเชิดหน้าชูตาให้แก่ตระกูลเจ้า ยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีก”
ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ใครๆ ก็ดูแววตาออกว่านางกำลังเสียดาย ด่าว่าอวิ๋นเยี่ยมาตลอดทางที่เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมาถึงด้านนอกก็ได้หวนกลับมาเป็นฮองเฮาผู้ใจดีอีกหน จูงมือท่านย่าพร้อมกับแสดงความยินดี และยังชมซินเย่วว่าเป็นคนขยัน แม้แต่น่ารื่อมู่ก็ยังได้รับปิ่นปักผมจากนาง อุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนมาดูแล้วอวยพรให้เป็นสิริมงคล ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจความยิ่งใหญ่ของฮองเฮาแต่ก็ยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันด้วย รักษาระยะห่างได้กำลังดี เรื่องนี้นางเชี่ยวชาญไม่มีใครเทียบเทียม
นางหยิบข้าวโพดที่องครักษ์ประจำตระกูลอวิ๋นเก็บกลับมาพร้อมกับพูดชื่นชม จากนั้นก็นำขบวนใหญ่กลับไปที่ฉางอัน เสี่ยวอู่ชะเง้อคอมองจนลับสายตาจึงได้กลับเข้าบ้าน พึ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบว่าอวิ๋นเยี่ยมองมาที่นางแล้วหัวเราะ นางหน้าแดงขึ้นมา เตรียมตัวจะเดินหนีอาจารย์กลับไปยังส่วนหลังบ้าน
“เจ้าชอบความอลังการเช่นนี้หรือ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกกดขี่ กัดฟันจนฟันจะแตกอยู่แล้ว ในอนาคตอยากจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้หรือไม่ ข้ากับรัชทายาทมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากจะเป็นพระชายาของรัชทายาทก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เขามีภรรยาไปแล้วสองคน หากเจ้าแต่งเข้าไปอย่างดีก็เป็นได้แค่ภรรยาที่สาม หากเจ้าไม่พอใจในตำแหน่งนี้ เจ้าก็กำจัดผู้หญิงสองคนที่ตำแหน่งเหนือเจ้าได้ แต่ไม่แน่ลำดับขั้นตอนอาจจะเต็มไปด้วยคาวเลือด ฆ่าคนที่ขวางทางเจ้าให้หมด เจ้าถึงจะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮา แต่ไม่แน่ว่าในขั้นตอนนี้หากเจ้าไม่ทันระวังก็อาจจะถูกคนอื่นกำจัดได้เช่นกัน”
เสี่ยวอู่มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อาจารย์ ข้าแค่ชื่นชอบความรู้สึกที่มีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่ไม่ได้ชอบฆ่าคน เพราะว่าท่านไม่ชอบ ซือซือไม่ชอบ เสี่ยวตี๋ไม่ชอบ เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาก็ไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นเสี่ยวอู่ก็เลยไม่ชอบด้วย ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง ต่อให้เสี่ยวอู่ตายก็จะไม่เป็นภรรยารองใคร แม่ข้าไม่มีความสุขที่ต้องเป็นภรรยารอง แล้วใครจะอยากไปเป็นภรรยารอง พระสนมของฮ่องเต้ข้ายังไม่อยากเป็นนับประสาอะไรกับรัชทายาท”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะ ตัวเองพยายามปลูกฝังความภาคภูมิใจในตัวเองให้แก่เสี่ยวอู่มาโดยตลอด คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า และจะไม่ทำเรื่องขายหน้า เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีคือช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุด จากมุมมองของสุขอนามัยทางสรีระ ช่วงนี้หน้าอกจะเริ่มโตขึ้น และจะมีประจำเดือนเร็วๆ นี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือด้านความคิด นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่จะมีมุมมองที่ดีที่สุดในชีวิต
การทำให้เสี่ยวอู่ภาคภูมิใจในตัวเองในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมาของเสี่ยวอู่คือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของนาง ควรจะเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความอัปยศอดสูไว้แต่เนิ่นๆ การที่ต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายที่ข่มเหงนาง นางจึงต้องรีบเรียนรู้การใช้กลอุบาย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วเพราะมีอวิ๋นเยี่ยคอยปกป้อง ทำให้ความภาคภูมิใจในตัวของนางถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ นำความฉลาดมาใช้ในการเรียนรู้เพื่อเป็นผู้นำนักปราชญ์ในสำนักศึกษารุ่นต่อไป อวิ๋นเยี่ยหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นเสี่ยวอู่ มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้นถึงจะผลักดันสำนักศึกษาให้ไปสู่จุดสูงสุดได้ แต่ว่าก็กังวลว่านางจะพาเหล่าลูกศิษย์สำนักศึกษาไปก่อกบฏ ทำให้เขายังคงลังเลอยู่มาก
“อาจารย์ ท่านก็ไม่ได้อยากให้ข้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ใช่หรือไม่ ท่านไม่อนุญาตให้ข้าติดต่อกับองค์ชายเหล่านั้น มิเช่นนั้นเมื่อข้าเติบโตขึ้นข้าก็จะอยากแต่งงานกับองค์ชายผู้โง่เขลาเหล่านั้น”
เสี่ยวอู่และอวิ๋นเยี่ยมักจะพูดกันตรงๆ เสมอ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางกำลังพูดความจริง เมื่อหลี่ไท่ได้พบนางเขาก็มักจะพูดถึงนางเสมอ ความฉลาดของเสี่ยวอู่ทำให้เขาประทับใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำหนักของหลี่ไท่ก็จะวุ่นวายเหมือนตำหนักหลังของหลี่จื้อ ตอนนี้พึ่งจะสิบเอ็ดขวบก็รู้จักบริหารเสน่ห์ของตัวเองแล้ว หากภายหลังโตขึ้นกว่านี้ล่ะก็ พระเจ้า บูเช็กเทียนคือคนที่อาศัยความงามเพื่อสร้างรากฐานให้แก่ตระกูล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งงานกับหลี่ไท่ แต่ด้วยระดับปัญญาอย่างหลี่อั้นและหลี่โย่วคงต้องถูกยั่วยวนจนละลายกลายเป็นโคลนอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอู่ยังได้รับประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่ไม่เคยมีมาก่อนจากตัวเองอีกด้วย และยังได้รับความรู้มากมายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษกันแน่
“เจ้าเลิกภูมิใจในเรื่องนี้ได้แล้ว เจ้าช่วยหาหนุ่มรูปงามที่มีความรู้มาเป็นคู่ครองไม่ได้หรือ ทำไมต้องเป็นคนในราชวงศ์ด้วย หากเจ้าเข้าวังหลวง วันนั้นก็คือจุดจบของพระสนมเหล่านั้น” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวสาวน้อยอย่างเอ็นดู
“หนุ่มรูปงาม? ท่านหมายถึงลักษณะแบบนั้นหรือ” นิ้วชี้ไปที่ลานกว้างพร้อมกับทำท่าทางเหมือนจะอาเจียนออกมา
เมื่ออวิ๋นเยี่ยหันไปมองก็พบว่าเชิ่นซินวิ่งออกมาที่ลานกว้าง ถือกระจกสีทองเล็กๆ ยืนเขียนคิ้วอยู่ใต้แสงอาทิตย์ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้สึกอยากอาเจียนเช่นกัน อาจารย์และลูกศิษย์จับมือพากันวิ่งหนีไป สถานการณ์ตรงหน้าชวนให้ขนลุก มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนที่ดวงตาลุกเป็นไฟอยากจะเข้าหาเชิ่นซิน
เมื่อมาถึงข้างป่าไผ่ เสี่ยวอู่หยุดวิ่งแล้วหันมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่า “ถ้าหากในโลกนี้ยังมีผู้ชายอย่างอาจารย์ ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกข้าก็จะแต่งงานกับเขา”
“เป็นไปไม่ได้หรอก บนโลกนี้ไม่มีใครที่จะเหมือนกันได้ทุกอย่าง เจ้าอยากแต่งกับข้าก็พูดมา ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เจ้าไปหาคนรักใหม่จะดีกว่า ตอนนี้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณข้าจึงคิดว่าข้าเป็นคนที่ดีที่สุด เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีจะไปรู้อะไร เจ้ามีชีวิตของเจ้า อาจารย์ก็มีชีวิตของอาจารย์ จุดเกี่ยวข้องโชคชะตาชีวิตของพวกเราคืออาจารย์และลูกศิษย์ หากเจ้าพูดแบบนี้กับอาจารย์ท่านอื่นจะทำให้เคืองใจ มีเพียงคนอย่างข้าเท่านั้นที่จะยอมให้เจ้าพูดเรื่องไร้สาระได้ รอเมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะพบว่าความคิดของตัวเองนั้นตลกแค่ไหน ตอนนี้กลับไปอาบน้ำ นอนหลับพักผ่อนแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ วันหลังก็ไม่ต้องพูดถึงอีก เพราะนี่เป็นการดูหมิ่นอาจารย์แล้วก็ดูหมิ่นตัวเจ้าเองด้วย”
เสี่ยวอู่ตอบรับอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ววิ่งออกไป อวิ๋นเยี่ยปาดเหงื่อที่ท้ายทอย น่ากลัวเกินไปแล้ว คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะอยากแต่งกับเจ้า หากแต่งกับเจ้าไปชีวิตก็คงไม่มีวันสงบสุขแล้ว
อวิ๋นเยี่ยส่ายหัวโยนความคิดนี้ออกไปให้ไกล ภายใต้ความสวยงามของเสี่ยวอู่เหมือนมีไทแรนโนซอรัสที่สามารถกินคนได้โดยไม่คายกระดูก น่ากลัวกว่าถูกปีศาจถลกหนังเสียอีก ใครจะชอบกอดไทแรนโนซอรัสนอน คนผู้นั้นคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!
หลังจากที่จั่งซุนไปแล้ว จวนตระกูลอวิ๋นก็เงียบสงบลงทันที ไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนอีก บนหลังคาก็ไม่มีสายลับเกาะติดเหมือนหมัด ทำให้ซ่านอิงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก วันนี้เขาได้เตรียมลูกธนูฟันหมาป่าไว้เป็นพิเศษ ว่ากันว่ามีอนุภาพทำลายล้างสูง ดื่มเหล้าที่ลานกว้างกับเหล่าเจียงทั้งคืนก็ไม่มีใครมา ช่างโชคร้ายเสียจริง
เมื่อเลขบนป้ายหน้าประตูบ้านตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนเป็นเลขหนึ่ง มีนักบวชลัทธิเต๋าใส่ชุดสีเขียวคนหนึ่งมาที่ประตูหน้าบ้านตระกูลอวิ๋นพร้อมกับส่งบัตรเชิญมาให้หนึ่งใบ จากนั้นก็เดินไปทางขึ้นยอดเขาอวี้ซันอย่างช้าๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูเป็นกันเอง ที่หลังยังแบกดาบที่นักปราชญ์มักจะพกติดตัว พู่ของกระบี่กระทบบนไหล่ ทุกครั้งที่ย่างก้าวก็จะแกว่งไปมาเบาๆ พู่ของกระบี่นี้เป็นสีทอง…
อวิ๋นเยี่ยมองดูบัตรเชิญก็ยิ้มออกมา ทว่าสายตากลับดูเย็นชาจนทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นได้ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงพาซ่านอิงไปที่ยอดเขา ข้างหลังยังมีสุนัขที่แลบลิ้นน้ำลายไหลอีกหนึ่งตัว มันรู้ดีว่าวันนี้จะได้กินของอร่อย