เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 41 ลิ้นวิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบันก็มักจะชอบคุยกันบนโต๊ะอาหารเสมอ ที่ศาลารับลมบนยอดเขามีโต๊ะอยู่สองตัว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะมากมายของฉางอัน มีเนื้อย่างต่างๆ แล้วยังมีอาหารของตระกูลอวิ๋นที่ทำโดยร้านอาหารตระกูลเฉิง ในไหสีดำขลับเป็นเหล้าชั้นสูงของตระกูลอวิ๋น มีชายฉกรรจ์อยู่นอกศาลากำลังย่างแกะหนึ่งตัวอยู่ ทำเอาทั้งภูเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศ อวิ๋นเยี่ยเกลียดกลิ่นนี้เป็นอย่างมาก แต่ซ่านอิงกลับชอบกลิ่นนี้เป็นที่สุด
หลังจากที่กองทัพเรือหลิ่งหนานกลับมาที่ฉางอัน ราคาของเครื่องเทศก็ถูกลง ตอนนี้แม้แต่ครอบครัวเล็กๆ ของชาวบ้านธรรมดาก็มีเครื่องเทศไว้หมักเนื้อ ถ้าหากบ้านใครไม่มีกลิ่นเครื่องเทศ คนเขาจะคิดว่าบ้านนั้นใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีคนกินเครื่องเทศเยอะขึ้น ดูเหมือนว่าจะทำให้ราคาขึ้นอีกแล้ว ทุกคนต่างรอคอยการกลับมาครั้งถัดไปของกองทัพเรือหลิ่งหนานเพื่อที่จะซื้อกักตุนไว้เล็กน้อยตอนลดราคา ตัวเองจะได้ไม่ต้องกินเนื้อปลาโดยที่ไม่มีเครื่องเทศ เพื่อนบ้านจะได้ไม่มองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ
อวิ๋นเยี่ยคิดมาเสมอว่ารสชาติของอาหารจะถูกทำลายด้วยเครื่องเทศ อาหารหลายร้อยรสชาติเมื่อใส่เครื่องเทศก็ทำให้กลายเป็นรสเดียวกันหมด กลิ่นหอมแต่รสชาติไม่อร่อย ส่วนที่บ้านนั้นซินเย่วพยายามแกล้งเป็นคนรวยอยู่สองวัน สุดท้ายเด็กสาวบางคนถึงกับร้องไห้ไม่ยอมกินข้าว ไม่รู้จะทำอย่างไร ตระกูลอวิ๋นจึงได้กลับมาสู่ยุคกินง่ายอยู่ง่ายอีกครั้ง
เมื่อมองดูนักบวชเต๋าหนุ่มหน้าศาลาที่กำลังทำความเคารพพระพุทธรูป อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร สุนัขสีน้ำตาลที่อยู่ด้านหลังก็เห่านักบวชเต๋าผู้นั้นเสียแล้ว หมอกอันเยือกเย็นที่บดบังดวงตาของนักบวชลัทธิเต๋าได้หายวับไปทันที่ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ยินชื่อเสียงของอวิ๋นโหวมานานแล้ว แต่ข้ากับเจ้าไม่เคยได้คุยกันจริงจังเลยสักครั้ง ทำให้วันนี้เกิดการเข้าใจผิด โชคชะตาช่างตลกเสียจริง ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว วันนี้ยังพอมีเวลา ข้าอยากจะขออนุญาตอวิ๋นโหวขอให้ข้าได้ลองลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ไม่เคยได้กินมาก่อนจะได้หรือไม่ เพื่อที่ข้าจะได้มีความทรงจำเก็บไว้บ้าง”
“หากเจ้าสามารถทำให้เด็กเหล่านั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ข้าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนลงมือทำอาหารร้อยจานให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้ลิ้มรสความอร่อย และข้าก็จะคุกเข่าขออภัยเจ้าด้วย”
ชายรูปงามมักจะไม่ใช่คนดี อย่างน้อยคนที่อวิ๋นเยี่ยพบเจอส่วนใหญ่หากไม่ใช่พวกหลงใหลในกามก็เป็นพวกโรคจิต หลี่เค่อที่อายุยังน้อยแต่กลับมีนางสนมสิบกว่าคน หลี่ไท่ที่อายุน้อยกว่าไม่กี่เดือนตอนนี้ก็มีภรรยาแล้วหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเชิ่นซิน เจ้าหมาน้อยนั้นได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ขันที ตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่มีท่าทีแปลกๆ รู้จักมาขอสบู่อาบน้ำจากอวิ๋นเยี่ยแล้วทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาก็อาบน้ำในแม่น้ำแล้วใช้ทรายขัดตัว หากนักบวชเต๋าที่อยู่ตรงหน้าถอดเสื้อคลุมออกเขาก็เป็นคุณชายดีๆ นี่เอง นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ
เฉิงเสวียนอิงไม่ได้แก้ตัวต่อ เขาผายมือเชิญให้อวิ๋นเยี่ยนั่งลง ซ่านอิงนั่งอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ย สูดดมกลิ่นอาหารแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาหารไม่ได้มีปัญหาอะไร ”ซ่านอิงพูดเสียงดังมาก เมื่อเฉิงเสวียนอิงได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “อวิ๋นโหวสบายใจได้ อาหารในวันนี้ปรุงโดยพ่อครัวชื่อดังที่ข้าเชิญมาจากฉางอัน คิดว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไร”
“ข้าเชื่อใจพ่อครัวแต่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า คนที่โยนเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรลงทะเลได้ก็ไม่แปลกที่จะวางยาพิษ”
“อวิ๋นโหวฟังแค่คำบอกเล่าแล้วก็มาถือโทษข้า เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ”
“เฉิงเสวียนอิง อย่าให้ข้าต้องดูถูกเจ้า รายงานของหน่วยสืบราชการลับได้พิสูจน์ว่าเจ้าทำเรื่องนี้จริง ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ เจ้าต้องการจับลูกของตงอวี๋ไปสังเวยราชามังกรทะเล แต่ตงอวี๋ไม่ยอม เอาแต่ตะโกนว่าเจ้าเป็นปีศาจ สุดท้ายเขาจึงเสียลิ้นไป ตอนนั้นเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ อย่าบอกว่านี่เป็นเรื่องไม่จริง”
เฉิงเสวียนอิงหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ชายผู้นั้นชื่อตงอวี๋หรือ ข้าปล่อยลูกของเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไม่เขาจึงยังโกรธแค้นข้าเช่นนี้”
“เจ้าจากบ้านมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าความรักของคนในครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร หากมีคนทำกับลูกข้าเช่นนี้ ต่อให้ต้องขึ้นเขาลงห้วยข้าก็จะจับเขามาทุบให้แหลกเป็นหมื่นๆ ชิ้น ตงอวี๋เห็นเจ้าที่ฉางอัน หากไม่ใช่เพราะเขาบอก แล้วข้าเองก็ไปตรวจสอบข้อมูลหน่วยสืบราชการลับก็คงจะไม่รู้เลยว่าคนอย่างเจ้านั้นจิตใจโหดเ**้ยมถึงเพียงนี้”
เฉิงเสวียนอิงหัวเราะขึ้นมา ยกจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โลกนี้ช่างซับซ้อน ไม่สามารถแยกถูกและผิดได้ อวิ๋นโหว เมื่อได้รับชัยชนะจนเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาที่จะตัดลิ้นให้สุนัขกินแล้ว เจ้ากวาดล้างตระกูลโต้วภายในวันเดียวเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียว ตอนนี้เจ้าก็อยากจะได้ลิ้นของข้าเพื่อเด็กไร้เดียงสาเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นโทษที่เบาแล้ว ข้าจะไม่พอใจได้อย่างไร”
อวิ๋นเยี่ยยกจอกเหล้าขึ้นมาคำนับเฉิงเสวียนอิง อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ การแสดงความเคารพก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
เหล้าแรงมาก เมื่อกลืนลงไปก็เหมือนมีไฟไหลจากลำคอลงสู่ท้อง ลมหนาวที่พัดมาบนยอดเขาก็ได้สลายไปในทันที คนสามคนที่ศาลาไม่มีใครพูดอะไร เมื่อกินอาหารได้สองสามคำก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาคำนับซึ่งกันและกัน หากผู้ใดที่ไม่รู้สาเหตุ เมื่อมาถึงที่นี่จะต้องคิดว่าสามคนนี้เป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานกำลังดื่มเหล้า
ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง เฉิงเสวียนอิงก็หยิบดาบมาจากด้านหลังของตัวเอง ดึงเล่มดาบออกมาส่วนหนึ่งแล้วใช้นิ้วลูบที่คมมีดด้วยความถะนุถนอม หันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดาบเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ ข้าฝึกดาบกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุสิบห้าปีได้สำเร็จการศึกษา เวลาที่ข้าท่องโลกดาบเล่มนี้ก็ได้ดื่มเลือดจากคอโจรชั่วร้าย เคยตัดหัวคนร้ายที่ไร้ยางอาย อวิ๋นโหว ดาบเล่มนี้ไม่เคยดูหมิ่นคำสอนของอาจารย์เลย เจ้าเชื่อหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยโยนซี่โครงแกะที่อยู่ในมือทิ้งไป พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “เชื่อ เพราะว่าข้าพบว่านอกจากเจ้าจะชอบโยนเด็กลงทะเลแล้ว แต่ในด้านอื่นๆ เจ้าสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างแท้จริง เจ้าบอกว่าดาบเล่มนี้ได้กระทำความยุติธรรม เช่นนั้นก็ถือว่าไม่ผิดแน่นอน”
เฉิงเสวียนอิงพยักหน้าพร้อมกับขอบคุณอวิ๋นเยี่ย แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “สำนักเต๋าของข้าไม่เคยใช้คนเป็นเครื่องสังเวย หากถูกจับได้ไม่เพียงแค่จะถูกคนยุติธรรมอย่างอวิ๋นโหวตามล่า แม้แต่คนในสำนักเต๋าเองก็จะไม่ปล่อยไว้เช่นกัน การกำจัดคนในสำนักนั้นเป็นเรื่องปกติ”
อวิ๋นเยี่ยเกาหัว เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก คนที่ใช้คนเป็นมาบูชาให้กับประวัติศาสตร์จะเป็นพระอาจารย์ซีหวาได้อย่างไร ในตอนแรกที่อวิ๋นเยี่ยโกรธหยวนเทียนกังก็เป็นเพราะเหตุนี้ คิดว่าหยวนเทียนกังกำลังปกป้องฆาตกรชั่วร้าย แต่ดูแล้วตอนนี้เหมือนว่าจะมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ไม่สิ ไม่ว่าเขาจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ แต่ที่เด็กๆ ตายก็เป็นเพราะเขา แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่ปกติ แต่อย่างไรผู้ร้ายก็คือเขา ยิ่งไปกว่านั้นปีหน้าก็ยังคงจะมีเด็กที่ถูกจับโยนลงทะเล ความชั่วร้ายได้กลายเป็นนิสัยติดตัวเขาไปเสียแล้ว สุดท้ายก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจหากไม่ได้โยนเด็กลงทะเลในทุกๆ ปี เมื่อถึงตอนนั้นก็ยากที่จะหยุดแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ถือว่ามากไปหากจะเอาลิ้นของเฉิงเสวียนอิง
เห็นความเยือกเย็นในดวงตาของอวิ๋นเยี่ย ความหวังสุดท้ายของเฉิงเสวียนอิงได้ดับลง ถอนหายใจแล้วหยิบมีดเล็กหนึ่งด้ามที่มีลวดลายสวยงามออกมาจากแขนเสื้อ มีดกระทบแสงแวววับดูแหลมคมเป็นอย่างมาก หยิบน้ำตาลทรายจากในถ้วยที่อยู่บนโต๊ะใส่เข้าไปในปากแล้วลิ้มรสชาติของมัน เมื่อกินน้ำตาลเสร็จแล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อข้าแยกรสชาติทั้งห้าออก ข้าก็ได้ค้นพบว่าปลายลิ้นไวต่อรสหวานมากที่สุด ดังนั้นข้าจะใช้ความหวานชดเชยให้กับเด็กคนแรกที่ตายไป ไม่ว่าอย่างไรทั้งหมดก็เป็นความผิดข้า”
หลังจากพูดเสร็จก็หยิบมีดขึ้นมาแล้วตัดปลายลิ้นตัวเองอย่างระมัดระวัง วางไว้ในจาน ไม่ได้สนใจเลือดที่ออกจากปาก หยิบพู่กันมาเขียนลงบนกระดาษว่า “ข้าจะใช้รสเค็มเพื่อชดใช้ให้เด็กคนที่สองที่ตายไป”หลังจากที่ให้อวิ๋นเยี่ยดูแล้วเขาก็หยิบมีดขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ ตัดขอบลิ้นของตัวเองอย่างระมัดระวัง วางไว้ในจานที่สอง
หลังจากบ้วนเลือดก้อนใหญ่ออกมา เขานำพู่กันจุ่มเลือดแล้วเขียนประโยคที่สาม “ข้าจะใช้รสเปรี้ยวชดใช้ให้แก่เด็กคนที่สามที่ตายไป” ก่อนจะวางกระดาษลงแล้วตัดลิ้นด้านในออกมาวางไว้ในจานที่สาม
อวิ๋นเยี่ยมองดูการกระทำของเฉิงเสวียนอิงอย่างเย็นชาโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย หากตกใจเพราะเลือดแค่นี้ก็คงจะใจเสาะเกินไป ซ่านอิงที่อยู่ข้างๆ ก็ดูจะไม่สนใจอะไร เมื่อได้ยินความรู้ใหม่ก็เอาแต่ใช้ตะเกียบจุ่มเครื่องปรุงต่างๆ แล้ววางลงบนลิ้น ทดสอบดูว่าสิ่งที่เฉิงเสวียนอิงพูดนั้นจริงหรือไม่
เฉิงเสวียนอิงที่เจ็บปวดพยายามที่จะแลบลิ้นส่วนที่เหลือแล้วใช้มีดตัดออกมา อวิ๋นเยี่ยมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาตัดจนถึงด้านในสุด สั้นยิ่งกว่าลิ้นของตงอวี๋เสียอีก
ตอนนี้เฉิงเสวียนอิงเหมือนกับคนญี่ปุ่นที่หลังจากถูกตัดลิ้นแต่ก็ยังคงรักษาความสง่างามไว้ พยายามทำให้มือของตัวเองไม่สั่น มองไม่เห็นความยุ่งเหยิงบนตัวอักษรที่เขียนไว้ “ข้าได้ใช้รสขมชดใช้ให้แก่เด็กคนที่สี่ที่ตายไป อวิ๋นโหว เจ้าพอใจหรือยัง”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า หยิบขาแกะครึ่งท่อนที่อยู่บนโต๊ะไปให้สุนัขด้านหลังที่กำลังรอกินของอร่อย มองดูสุนัขกัดขาแกะอย่างสะใจ ปรบมือแล้วพูดว่า “สมกับเป็นลูกผู้ชาย ข้าจะไม่เอาลิ้นเจ้าให้สุนัขกินแล้ว ใช้ขาแกะท่อนนั้นแทน เรื่องนี้ถือว่าจบลงแล้ว มีบางเรื่องไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่ เจ้าให้หยวนเทียนกังมาหาข้าที่บ้าน ข้าจะบอกเขาเองว่าเกิดอะไรขึ้น การที่ตัดลิ้นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หากวันนี้เจ้าไม่มา ข้าก็จะไปยืนรอที่หน้าประตูสำนักเต๋าแทน”
เฉิงเสวียนอิงบ้วนเลือดออกมาอีกครั้ง หยิบขี้เถ้าหญ้าเตรียมจะเอาใส่ปากเพื่อห้ามเลือด แม้ว่าจะดูเหมือนเจ็บปวด แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มอยู่ พยายามอยู่สองครั้งไม่สำเร็จจึงได้ล้มเลิกไป ผายมือทำท่าทางส่งแขก ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้านี่ไม่เคยบกพร่องเรื่องมารยาท
พึ่งจะออกมาจากศาลาก็ได้ยินเสียงของเฉิงเสวียนอิงที่เจ็บปวดจนเอาหัวชนเสา อวิ๋นเยี่ยที่พึ่งชิมสมุนไพรหวงเหลียนที่อยู่ด้านข้างพูดกับซ่านอิงในขณะที่ความขมของสมุนไพรหวงเหลียนยังอยู่ในปาก “เจ้าช่วยเรียนรู้จากเขาหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร ขนาดถูกตัดลิ้นก็ยังมีมารยาท เลิกปีนกำแพงบ้านข้าได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าชอบต้ายา ข้าก็ไม่ได้ห้าม แต่เจ้าเดินเข้าประตูใหญ่ไม่ได้หรือ เรื่องดีๆ ก็ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องลักขโมย”
ซ่านอิงไม่ได้พูดอะไร น้ำลายไหลเต็มปาก เอาแต่ดึงแขนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยบอกเป็นเชิงให้เขามองไปด้านหน้า เห็นนักบวชลัทธิเต๋าแปดคนนั่งอยู่พื้นที่โล่งใต้ศาลา ทุกคนพกดาบ มองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หยวนเทียนกังที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดว่า “อวิ๋นโหว เฉิงเสวียนอิงได้ทำตามทุกอย่างที่เจ้าขอแล้ว หากเจ้าไม่ปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ วันนี้เจ้าก็อยู่ที่เขาอวี้ซันนี่แหละ พวกข้าไม่ได้ต้องการอะไรมาก ขอแค่เจ้าชดใช้ลิ้นให้แก่เฉิงเสวียนอิงก็พอ”
“เหล่าหยวน เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้าอยากได้คือลิ้นของข้า ไม่ได้อยากรู้ว่าศาสนาพุทธกำลังทำอะไร ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ว่าพระอวี้หลินมาที่บ้านข้าเมื่อห้าวันก่อน เขาได้รู้ความลับของข้าแล้ว ตอนนี้ไม่แน่อาจกำลังทำการช่วยเหลือ พวกเจ้ามาช้าไปสี่วัน แน่ใจว่าเจ้าต้องการลิ้น ไม่ได้อยากรู้เรื่องความลับนั้นหรอกหรือ”
หยวนเทียนกังขนหัวลุก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีท่าทีสนใจ แถมสุนัขน้ำตาลที่อยู่ข้างหลังยังคงเลียปากไม่หยุด จึงทำให้เขาตกใจวิ่งออกไป