เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 42 พระภิกษุในเมฆหมอก
นักบวชลัทธิเต๋าผมหงอกได้หยุดหยวนเทียนกังไว้ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เจ้าได้บรรลุเป้าหมายในการดูหมิ่นลัทธิเต๋าแล้ว เช่นนั้นก็บอกพวกเรามาว่าเรื่องแบบไหนที่มีค่าพอสำหรับลิ้นของเฉิงเสวียนอิง”
“อันที่จริงข้าควรจะเอามือหนึ่งข้างของพวกเจ้าทั้งแปดคนมาด้วย ข่าวนี้ได้มาในราคาสูง ลิ้นของเฉิงเสวียนอิงได้ชดใช้บาปของตัวเอง ลิ้นของคนลัทธิเต๋านั้นมีค่า ข้าชดใช้ให้ไม่ไหว น่าเสียดายที่คนอย่างข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ มีท้องใหญ่แค่ไหนก็กินข้าวเข้าไปมากเท่านั้น ยังดีที่ข้ายังกินข้าวชามนี้ของลัทธิเต๋าได้ เหล่าหยวน อย่างไรโลกใบนี้ก็ต้องมีคนโง่เขลาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครให้ช่วยเหลือ”
นักบวชลัทธิเต๋าสองสามคนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับชักดาบออกมา หยวนเทียนกังมองไปที่อวิ๋นเยี่ยที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก แล้วหันไปมองซ่านอิงที่อยากจะลองใช้ดาบ พยายามระงับความโกรธไว้แล้วถามว่า“บอกเรื่องนั้นกับข้ามา”
รู้ว่าเหล่าหยวนลำบากใจมาก อวิ๋นเยี่ยจึงไม่แกล้งพวกเขาอีกต่อไป หยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หยวนเทียนกัง หยวนเทียนกังเปิดดูกระดาษแผ่นนั้น ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เสวียนจั้งคือใคร การกลับมาของเขาสำคัญมากเลยหรือ”
จากคำพูดเหล่านี้อวิ๋นเยี่ยสามารถรู้ได้เลยว่าลัทธิเต๋านั้นเย่อหยิ่งและโง่เขลาเพียงใด เดินมือไขว้หลังไปที่ขอบหน้าผาสองก้าว นี่คือที่ที่พวกนอกรีดในสำนักศึกษากระโดดลงจากหน้าผาโดยมีร่มชูชีพอยู่ข้างหลัง เพียงมองดูเมฆหมอกด้านล่างก็รู้ได้ว่าลูกศิษย์เหล่านั้นบ้าระห่ำแค่ไหน เมิ่งปู้ถงกำลังทุกข์ทรมานในการดิ้นรนให้ตนเองมีคุณสมบัติในการเกณฑ์ทหาร ไม่รู้ว่าเขายังคงมีความกล้าที่จะกระโดดหน้าผาหรือไม่
“อวิ๋นเยี่ย ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีวันเชื่อคำพูดโง่ๆ เหล่านั้น แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องบอกข้าว่าทำไมเวลาที่เขากลับมาจึงเป็นเวลาที่ลัทธิเต๋าของข้าต้องล่มสลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี เจ้าต้องถึงขั้นทำลายมิตรภาพเชียวหรือ”
“คนเจ้าเล่ห์ ตอนนี้รู้จักพูดเรื่องมิตรภาพกับข้าแล้วหรือ หลายปีมานี้ลัทธิเต๋าผ่านทุกอย่างมาได้ราบรื่นเกินไป แต่ละคนนอกจากหลอกหาเงินจากชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องแล้วก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก เสวียนจั้งเป็นใครน่ะหรือ
เขาคือคนที่เดินทางไปไกลถึงสองหมื่นลี้จนไปถึงเทียนจู๋แหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา และเป็นพระภิกษุที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากที่นั่น ได้แสดงธรรมให้พระภิกษุที่นั่นอย่างนับไม่ถ้วน นั่งบนขบวนช้างเผือก มีผู้ศรัทธามากมายนับไม่ถ้วน ได้นำคำสอนโบราณมากมายกลับมา เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระศาสดาในแผ่นดินของเรา
ในพิธีไว้อาลัย พวกเจ้าสามารถจัดทำพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าจะจัดการพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมอย่างเสวียนจั้งได้อย่างไร การเดินทางหนึ่งหมื่นลี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพากเพียรแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง พระภิกษุที่ได้แสดงธรรมที่เทียนจู๋นั่นแสดงให้เห็นถึงปัญญาที่ยิ่งใหญ่ การนำพระคัมภีร์ดั้งเดิมกลับมาก็เพื่อจะให้พรแก่สามัญชน ในบรรดาพวกเจ้ามีเฉิงเสวียนอิงอยู่ ซึ่งคนอย่างเขาที่โยนเด็กลงทะเล เจ้าคิดว่าลัทธิเต๋าจะมีสวัสดิภาพที่ดีในอนาคตได้อย่างไร
ข้าอุตส่าห์ไว้หน้า อยากจะช่วยเหลือพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคิดว่าข้ามีแผนการร้าย ชักดาบออกมาคิดจะทำอะไร แทงข้าหรือ พวกเจ้ากล้าอย่างนั้นหรือ เฉิงเสวียนอิงต้องไปที่ทะเลตะวันออกเพื่อล้างบาปของเขาเท่านั้น หากข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่โยนเด็กลงทะเล พวกเจ้าก็จะคิดว่านี่คือการทำบุญครั้งใหญ่ จากนั้นก็กลับมาใช้ลิ้นของตัวเองพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อได้พบกับเสวียนจั้งอีกครั้งก็อ้างโน่นอ้างนี่ไป หากอ้างไม่ได้ก็แกล้งทำเป็นใบ้ พวกเจ้าถนัดเรื่องการหลอกลวงอยู่แล้ว คงจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี”
“มีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ เหตุใดในฉางอันจึงไม่มีคนรู้เรื่อง” นักบวชลัทธิเต๋าทั้งแปดคนมองหน้ากัน อย่างไรก็ปิดบังความกลัวของตัวเองไม่ได้ มีเพียงหยวนเทียนกังที่เอ่ยปากถาม
“เหล่าหยวน หากภายภาคหน้าไม่มีข้าวกินก็มาที่จวนตระกูลอวิ๋นได้ ข้าจะสร้างวัดเต๋าเล็กๆ ให้เจ้า สำหรับมิตรภาพที่มีมาหลายปีข้ายังพอจะดูแลเรื่องอาหารการกินของอาจารย์และลูกศิษย์ในสำนักเจ้าได้”
พูดจบก็เดินชนนักบวชลัทธิเต๋าที่ยืนขวางทางอย่างไร้มารยาท เดินฝ่ากลุ่มของพวกเขาออกมา ซ่านอิงหัวเราะแล้วกระโดดขึ้นไปบนกิ่งต้นสนที่สูงเหนือหัว จากนั้นก็กระโดดข้ามหัวของนักบวชลัทธิเต๋าแล้วตามอวิ๋นเยี่ยไป สุนัขน้ำตาลตัวใหญ่เห็นว่าเจ้าของเดินไปแล้วก็วิ่งลอดเป้ากางเกงของนักบวชลัทธิเต๋า กระดิกหางวิ่งลงภูเขาหวังว่าจะได้เจอของอร่อย
บรรดานักบวชลัทธิเต๋าพากันถอนหายใจ แล้วรีบเดินไปที่ศาลารับลม ตอนนี้ชีวิตของเฉิงเสวียนอิงสำคัญที่สุด
เมฆและหมอกได้ล้อมรอบบนภูเขาเหมือนกับเขตแดนสวรรค์ ในหนึ่งปีมีเพียงไม่กี่วันที่ภูเขาอวี้ซันจะไม่มีเมฆหมอก น่าแปลกที่เมฆหมอกจะล้อมรอบบนยอดเขาเท่านั้น เหมือนวงแหวนเมฆขนาดใหญ่บนภูเขา ธรรมชาติของฉางอันที่พึ่งจะฟื้นฟู ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่าภูเขาอวี้ซันล้อมรอบไปด้วยหมอก ซึ่งโด่งดังพอๆ กับสะพานแม่น้ำป้าเปี๋ยหลิว
เขาชอบสะพานและภูเขาเป็นที่สุด เมฆหมอกไม่สูงไม่ต่ำกำลังล้อมรอบเอวพอดี ราวบันไดสีแดงที่พึ่งซ่อมแซมใหม่ได้ปรากฏอยู่ระหว่างเมฆและหมอก อวิ๋นเยี่ยและซ่านอิงเหมือนเทพเซียนเถิงอวิ๋นขี่หมอก ใช้มือพัดหมอกอย่างมีความสุข มองดูพวกมันลอยอยู่รอบๆ ตัวช่างดูสง่างามเป็นอย่างมาก เจ้าสุนัขสีน้ำตาลวิ่งลุยเมฆแล้วพยายามยื่นหัวให้สูงพ้นหมอกเพื่อที่จะเข้าใกล้เจ้าของมากกว่านี้
“อมิตาพุทธ เหตุใดอวิ๋นโหวจึงมีความสุขเช่นนี้ หรือว่าเมื่อเห็นศาสนาพุทธเสื่อมลงอวิ๋นโหวจึงได้มีความสุข” ลมพัดผ่านเบาๆ ศีรษะที่ไร้เส้นผมได้ปรากฏขึ้นในหมู่เมฆหมอก ดูท่าทางแล้วเหมือนเต้าซิ่น จีวรสีเทาของเขาเปียกชื้นเพราะเมฆหมอก หัวที่ไร้เส้นผมเต็มไปด้วยหยดน้ำ คิ้วยาวสีขาวก็เต็มไปด้วยหยดน้ำ ไม่รู้ว่าพระภิกษุเฒ่านั่งอยู่ในกลุ่มเมฆหมอกมานานเท่าไหร่แล้ว
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงแค่ต้องการลิ้นของเฉิงเสวียนอิงเพื่อให้ทุกอย่างสมเหตุสมผลเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงต้องขอยืมความลับทางศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีความเมตตา คิดว่าคงจะไม่ถือสา”
“สามปีมาแล้ว ศาสนาพุทธได้ปกปิดเรื่องของเสวียนจั้งมาสามปีแล้ว แต่ในวินาทีสุดท้ายก็ถูกอวิ๋นโหวพูดออกมา เหตุใดอวิ๋นโหวจึงไม่ช่วยพวกเราปิดบังเรื่องนี้ วันนี้เจ้าได้ทำให้เหตุมันเกิดขึ้น ในอนาคตก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสีย”
พระภิกษุเฒ่าปากคอเราะร้าย ดูเหมือนว่าอยากจะเอาคืนในภายหลัง แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ตกใจกับเรื่องนี้ เขาเดินมาแล้วก็คิดจะนั่งอยู่ข้างหน้านักบวช แต่พอเห็นลานหินนั้นเปียกชื้นจึงคิดว่ายืนจะดีกว่า
“ยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธคือสมัยของจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ มีบทกวีกล่าวไว้ว่า ‘วัดโบราณสี่ร้อยแปดสิบแห่งหลงเหลืออยู่ในราชวงศ์หนาน หอคอยจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปกคลุมไปด้วยลม หมอก และฝน ดินแดนกระสุนแห่งเจียงหนานมีวัดอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพัน พวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะภาคภูมิใจที่สามารถทำให้จักรพรรดิสละตนได้ถึงสี่ครั้ง พวกเจ้าเป็นแบบอย่างในประวัติศาสตร์พันปีของจักรพรรดิ คนที่เชื่อจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ พวกเจ้ากลับยืนดูเขาหิวตายทั้งเป็น พวกเจ้าช่างจิตใจเย็นชาเหลือเกิน พวกเจ้ายังจะต้องการให้ผู้อื่นนับถืออีกหรือ
ดูสิว่าพวกเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง ผู้ที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินคือสำนักพุทธศาสนา คนที่เก็บดอกเบี้ยแพงที่สุดก็คือสำนักพุทธศาสนา คนที่มีเงินมากที่สุดก็คือครัวในสำนักพุทธศาสนาของเจ้า เจ้าบอกว่าข้าทำผิดแผนของสำนักพุทธศาสนา ในภายภาคหน้าจะต้องตกนรกขุมที่สิบแปดหรือไม่ หากในภายภาคหน้าข้าต้องตกนรก แล้วตอนนี้เจ้าจะกังวลไปทำไม เพียงแค่รอเวลาที่ข้าต้องรับกรรมก็พอแล้ว ที่เจ้ามานั่งท่ามกลางหมอกจนเปียกชื้นเพราะต้องการได้รับความเห็นใจ? หรือต้องการใช้ความเศร้าเพื่อเอาชนะ ท่านพระภิกษุ ข้าทำเรื่องต่างๆ ลงไปเองย่อมขึ้นอยู่กับข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก คำแนะนำทางด้านจิตใจนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นแต่ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าหรอก”
เต้าซิ่นค่อยๆ ยืนขึ้น ร่างผอมบางดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น อวิ๋นเยี่ยพูดต่อไปว่า “ข้ารับผิดชอบในการพูด แต่หากเจ้าอยากลงไม้ลงมือก็ให้ไปหาเขา เขาถนัดเรื่องนี้ เขามักจะเสียใจที่บนโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของเขาอีกต่อไป มันทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว” อวิ๋นเยี่ยพูดในขณะที่รีบเดินไปหลบอยู่ข้างหลังซ่านอิง พระภิกษุเฒ่าผู้นี้น่ากลัวมาก น่ากลัวยิ่งกว่าภิกษุเฒ่าถานอิ้นที่อยู่บนภูเขาไม่จีเสียอีก
ซ่านอิงพอใจกับคำประจบประแจงของอวิ๋นเยี่ยเมื่อครู่ก่อนเป็นอย่างมาก ยกกำปั้นขึ้นมาแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ยบอกว่าฌานหนึ่งดรรชนีของเจ้าสามารถทำลายก้อนหินได้ ทรงพลังเป็นอย่างมาก กำปั้นของข้าก็ถือว่าไม่เลว ก็สามารถทำให้หินธรรมดาหักได้เช่นกัน วันนี้เรามาดูกันว่าฌานหนึ่งดรรชนีของเจ้ากับพลังของหมัดข้าอะไรจะเก่งกว่ากัน”
เต้าซิ่นมองอวิ๋นเยี่ยที่หลบอยู่หลังซ่านอิงอย่างแปลกใจ พูดด้วยความสงสัยว่า “ฌานหนึ่งดรรชนีเป็นคำสอนอย่างหนึ่งทางพุทธศาสนา มันกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ศิลปะการต่อสู้ของอาตมาก็เป็นเพียงการฝึกฝนเตะต่อยเล็กน้อย บนโลกใบนี้จะมีฌานหนึ่งดรรชนีของกังฟูได้อย่างไร”
ซ่านอิงถามอย่างสงสัยว่า “เช่นนั้นแล้วเก้าเอี้ยงจินเก็ง สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร วิชาพลังคางคก ดัชนีเอกสุริยัน บทเพลงคลื่นทะเลหยก ไม้เท้าตีสุนัข เจ้าไม่เคยได้ยินศิลปะการต่อสู้เหล่านี้หรอกหรือ”
เต้าซิ่นคิดอย่างละเอียดแล้วพูดกับซ่านอิงว่า “ไม่มี ไม่เคยได้ยินมาก่อน ศิลปะการต่อสู้เป็นเพียงผลของการต่อสู้ของกล้ามเนื้อและกระดูก จะมีศิลปะการต่อสู้ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว” ซ่านอิงตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธเคือง ตอนที่เขาดื่มเหล้ากับอวิ๋นเยี่ย ระหว่างการสนทนาอวิ๋นเยี่ยได้พูดถึงศิลปะการต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใส ฟังดูชื่อก็เหมือนจะเป็นเรื่องจริงว่านี่คือแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้ แต่ตอนนี้แม้แต่พระภิกษุเฒ่าผู้เก่าแก่ที่สุดก็ยังไม่เคยได้ยิน แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคิดขึ้นมาเอง ทำเอาตัวเองนิ้วหักเพราะต้องการจะฝึกฝนวิชาดัชนีนิ้วดีด
เด็กหนุ่มที่ถูกหลอกได้หายไปในเมฆหมอก เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย พระภิกษุ และสุนัขน้ำตาลที่เปียกชื้นไปทั้งตัว
อวิ๋นเยี่ยเกาคางแล้วพูดกับเต้าซิ่นว่า “วันนี้คงจะต่อสู้กันไม่ได้แล้ว เรามาพูดถึงความคับข้องใจของสำนักพุทธศาสนาของเจ้ากับลัทธิเต๋าดีกว่า”
เต้าซิ่นหันหลังแล้วเดินจากไป เมฆหมอกกระจายไปทั่ว ได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล “เจ้ามันคนเจ้าเล่ห์ ทำเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อความสนุก ฉางอันเงียบสงบมากเกินไปทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบาย เมื่อถูกฝ่าบาทกักบริเวณก็คิดจะสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วอาตมาจะดูว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”
บนภูเขาเหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยและสุนัขน้ำตาล อวิ๋นเยียลูบที่หัวสุนัข ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย ผิวปากแล้วเดินลงเขา แม้ว่าชายเสื้อจะเปียกโชก แต่ว่าก็ไม่ได้ลดอารมณ์แห่งความสุนทรีย์ของเขาเลยสักนิด
พูดถึงจักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ หากเต้าซิ่นยังไม่เข้าใจเรื่องความขัดแย้งระหว่างอำนาจศักดิ์สิทธิ์กับอำนาจกษัตริย์ก็ถือว่าใช้ชีวิตในช่วงอายุสิบแปดปีได้อย่างเปล่าประโยชน์ หลี่ซื่อหมินไม่ใช่จักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ หากฝุ่นเข้าตาเพียงเล็กน้อยแล้วส่งผลต่อการมองเห็น เขาก็จะควักดวงตาของตัวเองโดยไม่ลังเล ทำลายล้างจุดที่เป็นเหตุ ต่อให้จักรพรรดิเหลียงอู่ตี้ขี่ธนูไฟก็ตามไม่ทัน
ความจริงแล้วศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋านั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หลี่ซื่อหมินผู้ที่รักในความเท่าเทียมมาโดยตลอดได้นั่งอยู่ในความมืดดูการต่อสู้ของทั้งสองสำนัก หากมีหนึ่งในสองสำนักเป็นใหญ่ เขาก็จะมอบไม้ให้แก่ฝ่ายที่แข็งแรงน้อยกว่า หลังจากที่ลากเข้าไปในความมืดแล้วตีไม่ยั้ง เมื่อทั้งสองฝ่ายมีอำนาจเท่ากันค่อยปล่อยออกมา รักษาภาพลักษณ์ที่สงบสุขต่อไป รอครั้งต่อไปที่จะตีผู้ที่เอาชนะได้
จนมาถึงตอนนี้ โลกได้รักษาความสมดุลเป็นอย่างดี ขุนนางมีอำนาจ ราษฎรมีความซื่อสัตย์ พ่อของแผ่นดินมีความเมตตา ลูกๆ มีความกตัญญู ช่างเป็นภาพที่สวยงาม แต่ว่ามักจะมีไฮยีน่าที่น่าเกลียดวิ่งอยู่ข้างนอกเสมอ ทำให้หลี่ซื่อหมินรู้สึกปวดหัว หากจะตีขาเขาก็รู้สึกปวดใจ หากไม่ตี มันก็มักจะวิ่งไปรอบๆ เพื่อแสดงถึงการมีอยู่ของตัวเอง ดังนั้นจึงสั่งห้ามไม่ให้เข้าฉางอันสามเดือน เมื่อไม่ได้เห็นก็จะไม่กลุ้มใจเท่าไหร่