เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 47 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน (สี่)
ความโกรธของนายบัญชีทำให้เหอต้าชังหน้าแดง หวงอวี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าชาวนาเฒ่าผู้นี้จะเป็นเจ้าของร้านที่มีรายได้มากกว่าร้อยเหรียญต่อปี ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเยี่ยก็ยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับคิดจะเอาเปรียบอย่างไม่ลังเลโดยไม่เห็นความสำคัญของท่านโหว
อวิ๋นเยี่ยตบไปที่บ่าของเขาแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ ก็เป็นเสียอย่างนี้ หากหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นอาศัยเพียงการหาอาหารจากดิน การเก็บค่าเช่าที่สูงเช่นนี้ถือเป็นการไร้จิตสำนักอย่างแท้จริง แต่เจ้าดูสิ ในหมู่บ้านไม่มีคนว่างงาน มีบางคนใช้ที่ดินเปล่าปลูกผัก ปลูกผลไม้ เลี้ยงปลา เลี้ยงผึ้ง เลี้ยงหมู เลี้ยงแพะ และยังมีคนโลภมากที่เลี้ยงวัวเนื้อโดยเฉพาะ สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดกฎหมายเพราะได้รายงานทางการไว้แล้ว ดังนั้นหนึ่งครอบครัวจึงมีช่องทางการสร้างรายได้มากขึ้น ผลผลิตก็มากขึ้น กฎของต้าถังนั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างน้อยสองส่วน รวมรายได้เบ็ดเตล็ดแล้วตระกูลอวิ๋นก็มีรายได้อยู่มาก”
พูดจบก็วางชามขนมในมือเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากินได้อย่างสบายใจ อาหารของตระกูลอวิ๋นมีแต่ของสะอาด ไม่เลอะคาวเลือด ขนาดฝ่าบาทเสด็จมาที่บ้านของตระกูลอวิ๋น ฝ่าบาทก็ไม่มีข้อห้ามในการกินแม้แต่น้อย เมื่อวานนี้ผู้ตรวจสอบจงเฉิงมาถึงที่บ้านก็เอาตระกร้าไปหยิบของกินแล้วก็หนีไป คงกลัวว่าข้าจะเก็บเงิน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเป็นตำแหน่งสูงส่งแต่ยากจน ข้าเคารพพวกเจ้าเป็นอย่างมาก
พวกเจ้ากล้าที่จะฟ้องร้ององค์หญิง แม้แต่องค์ชายเจ้าก็ไม่ปล่อยไว้ ที่ชิงเชวี่ยและข้าพากันถล่มวังในพวกเจ้าก็ไม่เคยปล่อยผ่านไป ดีมาก ดูเยอะๆ ฟังเยอะๆ ตอนนี้พวกเจ้ากำลังฝึกฝนวิธีการจัดการเรื่องการเมือง เปิดตามองโลกกว้าง เจ้าจะพบว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ทุกที่ ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวเราเอง”
หวงอวี่กำลังกินขนมที่มีน้ำผึ้งแต่ในใจกับมีความรู้สึกขมขื่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คำพูดของอวิ๋นเยี่ยทำให้ดวงตาของเขามีน้ำไหลออกมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ เมื่อพูดถึงอาจจะดูน่าฟัง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นหน้าที่ที่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เป็นทางเลือกหนึ่งในร้อยของข้าราชการ ขุนนางคนอื่นๆ ทำกิจการส่วนตัวบ้างเล็กน้อยเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ภายในครอบครัวก็ไม่มีใครคิดเอาความ มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเท่านั้นที่ทำไม่ได้ เงินเดือนของเขาเดือนละแปดร้อยตำลึงที่ใช้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ ฉางอันข้าวแพง ลูกหลานชาวนาคิดว่าขนมพุทรามีกลิ่นเหม็น มีเพียงลูกสาววัยสี่ขวบของเขาเท่านั้นที่รอคอยจะกินขนมพุทราทุกวัน เมื่อก่อนเคยคิดว่าคุณธรรมนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดแต่ตอนนี้เขาดูอ่อนแอมาก เหมือนกับเมืองที่ติดชายหาด หากคลื่นลูกใหญ่ซัดมาก็จะถล่มลง เกิดอะไรขึ้นกับคุณธรรมของโลกใบนี้
ฉางอันเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เมืองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบแปดลี้เต็มไปด้วยบ้านเรือน มีเรือแล่นในแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ราษฎรในเมืองแออัด ประกาศฉุกเฉินห้ามเดินทางตอนกลางคืนที่มีมาหลายสิบปีกำลังค่อยๆ หมดลง ฤดูดอกสาลี่บานที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเปรียบเหมือนดั่งเมืองสวรรค์ ร้องเพลงและเต้นรำบนแม่น้ำชวีเจียงอย่างไม่รู้จบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนไป แม้ทุกครั้งที่รายงานสถานการณ์ในราชสำนักจะดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ทำเอาขุนนางทุกคนต้องคอยระแวง
เขาพยายามเก็บความรู้สึกในใจไว้ อย่างไรตัวเองก็ต้องตรวจสอบตระกูลอวิ๋นให้ละเอียดอย่างแน่นอน จะไม่พลาดเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนึกถึงม้าพยศและคนรับใช้ผู้โหดร้ายของตระกูลอวิ๋นก็อยากจะบอกอวิ๋นเยี่ยว่าอย่าให้ส่วนเล็กๆ เหล่านี้มาทำลายชื่อเสียงของตัวเอง แต่เขากลับพบว่าม้าที่น่าเบื่อตัวนั้นกำลังเดินเข้ามาในซุ้ม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังกินขนมก็เดินตรงเข้ามากัดขนมในมือของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกโกรธ ซ้ำยังถือขนมให้มันกินอย่างสบายใจ
ชายเฒ่าสองสามคนเดินล้อมเข้ามาลูบที่หัวของวั่งไฉ เหอต้าชังหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นวั่งไฉ น่าสงสาร มันผอมลงไปมาก ที่หลิ่งหนานมีอยู่ไม่กี่อย่างที่คนกินได้ เจ้าดูสิ วั่งไฉผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เงินก้อนนี้ถือไว้เอาไปซื้ออาหารเองเถิด พวกเรามาเพลิดเพลินกับความสุขที่ฉางอันกันเถอะ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
หวงอวี่เห็นเหรียญจำนวนมากถูกใส่เข้าไปในกระเป๋าใต้คอของมัน แลดูหนัก แค่เห็นก็รู้สึกปวดใจ เงินในกระเป๋าของวั่งไฉมีมากกว่าเงินในกระเป๋าของเขาเสียอีก
“วั่งไฉเป็นเด็กดีทุกครั้งมักจะไปกินขนมที่ร้านข้า หากยังไม่ได้จ่ายเงินก็จะไม่ไปไหน ทำเอาข้าต้องแกล้งหยิบเงินออกมาทุกครั้งแล้วค่อยใส่คืนให้มัน มันรู้ประสายิ่งกว่าเหล่าหูเสียอีก เขามากินอาหารที่ร้านข้าเสร็จก็ไม่เคยพูดเรื่องจ่ายตัง ข้ายังจำได้เสมอ รอให้ร้านไก่ย่างของเจ้าเปิดแล้วข้าก็จะไม่จ่ายเงิน หยิบเสร็จแล้วก็เดินหนีไปเลย…”
เมื่อเห็นว่าเอาเปรียบไม่ได้ชายเฒ่าสองสามคนก็เดินมือไขว้หลังออกมาจากซุ้ม พากันเดินหยอกล้อไปที่ตลาด สิ่งที่ได้เห็นจากตระกูลอวิ๋นได้ทำลายความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ของหวงอวี่โดยสิ้นเชิง เดินตามอวิ๋นเยี่ยไปที่นอกซุ้ม ไม่ได้ไปตลาดแต่อ้อมไปด้านหลังที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน
ความรู้สึกแรกของหวงอวี่ที่มีต่อที่นี่คือความสะอาด ไม่มีขี้ไก่และขี้ม้าที่พบได้ทั่วไปในชนบท บนกำแพงเตี้ยๆ จะมีกิ่งก้านของผลไม้ห้อยลงมาบ้าง บางครั้งก็ต้องก้มหัวลงจึงจะเดินผ่านไปได้
ที่ลานเต็มไปด้วยผักตากแห้งต่างๆ แล้วยังมีถั่วนานาชนิด สีสันจากผักต่างๆ ดูสะดุดตา ครอบครัวนี้ทำเกี่ยวกับผักแห้ง อย่าดูถูกผักแห้งและถั่วพวกนี้เชียว เมื่อถึงฤดูหนาวก็ขายได้เงินไม่น้อย ได้ยินมาว่าตอนนี้บ้านเขาไม่ได้ขายแต่ผักแห้ง ภรรยาบ้านนี้ฉลาด นางพบว่าเมื่อนำผักแห้งกับสามชั้นลมควันไปนึ่งด้วยกัน รสชาตินั้นไม่สามารถบรรยายได้ หากโรยพริกลงไปสักหน่อยเรียกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก
“ปีที่แล้วครอบครัวเขาได้ส่งมาในจวนบ้างเล็กน้อย เด็กสาวสองสามคนพากันแย่งกินจนหมด ผู้ใหญ่ยังกินไปได้ไม่กี่คำ ได้ยินมาว่าปีนี้ครอบครัวเขาไม่ขายผักแห้งแล้ว จะเริ่มขายเนื้อนึ่ง ผักแห้งราคาถูกกลับราคาขึ้นภายในพริบตา ปีนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ร่ำรวย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไปพบพ่อค้าคนกลางเพื่อแบ่งหุ้นสองส่วนมาให้ครอบครัวข้า ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ต้องการ นี่คือกิจการผูกขาดที่ชาวบ้านคิดขึ้นมาเอง ตัวเองจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายทำไม แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะไม่ยอม พอบอกไม่เอาเงินก็ส่งเนื้อนึ่งสองสามไหมาทุกปี
“อวิ๋นโหว ข้าเชื่อมั่นในตัวชาวบ้านที่ร่ำรวยของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว แต่ว่าการทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ” ขุนนางหนุ่มมองดูผู้หญิงที่กำลังยุ่งอยู่ในสวนแล้วถามด้วยความกังวล
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เว่ยกงก็เคยบอกข้าเช่นนี้ คำพูดที่ว่าเมื่อผู้คนมีเสบียงอาหารในยุ้งฉางมากพอ เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะตระหนักถึงมารยาท แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยชอบคนจนที่จิตใจดี ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกันจะใช้ชีวิตเหมือนวัวเหมือนม้าตลอดไปไม่ได้ แม้กระทั่งตอนตายก็ยังไม่ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ นี่คือความล้มเหลวในการเป็นคน พูดได้เลยว่านี่คือความเศร้าของคน มารยาทนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้หลังจากเกิดมาบนโลกใบนี้ หากเด็กทุกคนมีการศึกษาที่เป็นทางการและเป็นระบบ สิ่งที่เจ้ากังวลควรเป็นสิ่งที่เหล่าอาจารย์กังวล ในแง่ตำแหน่งหน้าที่การงาน พวกเขาจะพิจารณาคุณธรรมของเหล่าลูกหลานในฐานะอาจารย์ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบก็ควรจะทูลฝ่าบาทว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ก็ถือเป็นหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง”
ยกมือห้ามผู้หญิงที่กำลังจะเดินเข้ามาทำความเคารพ ดูเหมือนว่าหวงอวี่จะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นเพื่อนที่ดีของเขามาหลายปีมากกว่าจะเป็นท่านโหว ยืนมือไขว้หลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนชี้ไปมา พูดคุยหัวเราะกันอยู่ในหมู่บ้าน
ทิวทัศน์ของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสวยงามจริงๆ ความสวยงามนี้ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาและแม่น้ำ แต่อยู่ที่คน ไม่ว่าจะเป็นชายเฒ่าที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ หรือว่าจะเป็นคุณยายที่นั่งเย็บรองเท้าอยู่ใต้ร่มไม้ ทำให้คนมองเห็นรู้สึกสบายใจ หญิงสาวที่กำลังยุ่งอยู่ก็ไม่ลืมที่จะไกวเปลที่อยู่ข้างๆ เด็กน้อยตัวอ้วนยื่นมืออ้วนๆ ออกมาจะไปจับตุ๊กตาเสือ เด็กน้อยที่โตกว่าใส่เสื้อสีแดงแต่ไม่ได้ใส่กางเกงกำลังวิ่งไปทั่วลานเพื่อไล่ไก่ หวงอวี่ยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่อคนใช้ชีวิตเช่นนี้ จะยังต้องการอะไรอีก หากหมู่บ้านผู้มั่งคั่งเช่นนี้มีสิ่งมืดมนแฝงอยู่แสดงว่าสวรรค์ขาดความยุติธรรม
“อวิ๋นโหว ตอนที่ข้ามา ข้าได้ยินชายเฒ่าที่ใส่เสื้อผ้ามอมแมมบอกว่าเขาต้องจ่ายค่าเช่าหกเหรียญให้แก่ตระกูลอวิ๋น ท่านรู้ไหมว่าข้าโกรธมากแค่ไหน ยิ่งได้ยินว่าเมื่อลูกชายของเขาไปออกรบท่านจึงได้ยกเว้นค่าเช่าของเขา มันทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นเจ้าของที่ดินที่โหดร้ายที่สุดในโลก แล้วยังได้ยินอีกว่าท่านเก็บภาษีเด็กแรกเกิด มันทำให้ข้ามีความคิดอยากจะสู้กับท่านให้ตายไปข้างหนึ่ง ท่านบอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ควรมีเรื่องพวกนี้อยู่ในหมู่บ้านที่สวยงานเช่นนี้”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะ เรื่องราวในหมู่บ้านเขาก็พอรู้อยู่บ้าง พ่อบ้านมักจะมาเล่าเป็นเรื่องตลกให้ตัวเองฟังเวลาว่าง ได้ยินหวงอวี่พูดเช่นนี้จึงพาเขามาที่ท้ายหมู่บ้าน ยังเดินไปไม่ถึงหวงอวี่ก็ได้พบชายเฒ่าที่สวมกางเกงขาสั้นนอนรับลมอยู่ใต้ร่มไม้ มีเหล้าเหยือกเล็กวางอยู่บนโต๊ะ ฝักถั่วเหลืองต้มที่อยู่ในชามถูกกินไปมากกว่าครึ่ง เปลือกของมันวางกองอยู่เต็มโต๊ะ หญิงสาวกระโปรงแดงกำลังเก็บของอยู่ เมื่อเห็นท่านโหวมาก็ก้มหัวอย่างเขินอาย หันกลับไปเรียกพ่อเพื่อจะปลุกให้ชายเฒ่าผู้นั้นตื่นขึ้นมา
ชายเฒ่าลืมตาขึ้น เขาลุกขึ้นมาทันทีแล้วเชิญอวิ๋นเยี่ยและหวงอวี่นั่งลง บอกให้หญิงสาวไปต้มฝักถั่วเหลืองเพิ่มแล้วนำมาที่นี่ อวิ๋นเยี่ยเอนกายลงบนเก้าอี้ หยิบเหล้ามาดมอย่างไม่เกรงใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในหมู่บ้านแล้ว ทำไมยังคงดื่มเหล้าแรงเช่นนี้ ไปขายเสบียงที่ฉางอันก็แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย ใส่ชุดมอมแมมเช่นนี้จะทำให้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นขายหน้าคนอื่นเขา”
ชายเฒ่านำน้ำร้อนลวกถ้วยชาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว หากใส่เสื้อผ้าดีๆ คนอื่นๆ ก็จะรู้ว่ามาจากหมู่บ้านของเรา ข้าวสาลีหนึ่งกระสอบขายให้คนอื่นสี่เหรียญสามตำลึง แต่ขายให้พวกเราสี่เหรียญห้าตำลึง ช่างใจดำเสียจริง ช่วยไม่ได้ข้ายุ่งอยู่ในสวนมาสองวัน ยังไม่ได้อาบน้ำก็ไปฉางอันแล้ว เป็นอย่างที่คิด วิธีนี้ใช้ได้ผล ข้าวสาลีของพวกเราเมล็ดสวยจึงขายได้ราคาสี่เหรียญห้าตำลึงแล้วซื้อของพวกเขาในราคาสี่เหรียญสามตำลึง เสื้อผ้าขาดๆ ของข้าได้สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวถึงสี่ร้อยกว่าเหรียญ”
หวงอวี่ไม่เข้าใจ ระหว่างการซื้อกับการขายจะไม่มีความแตกต่างด้านราคาได้อย่างไร พ่อค้าใจดำเหล่านั้นยอมให้เจ้าขายแพงแต่ซื้อถูกได้อย่างไร เช่นนั้นเขาจะหาเงินได้อย่างไร หวงอวี่อยากปรึกษาเรื่องนี้กับชายเฒ่า
“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่พ่อค้าจะทำเช่นนั้น พ่อค้าผู้นั้นไม่ได้ลอกคราบมาจากลิงโง่ เราไม่มีทางได้เปรียบเมื่ออยู่ในกำมือของเขา รับซื้อเสบียงในราคาสามเหรียญหกตำลึง แต่ขายเสบียงในราคาห้าเหรียญ ความแตกต่างของราคาเสบียงต่อหนึ่งกระสอบอยู่ที่หนึ่งเหรียญสี่ตำลึง ทำเช่นนี้ข้าก็ขาดทุนตายพอดี ข้าวสาลีของเราผลผลิตดีแต่ว่าไม่อร่อย หากทำเป็นบะหมี่เมื่อนำไปต้มก็จะเหนียวติดหม้อ ใครจะไปกินเส้นเหนียวๆ แบบนั้นได้ทั้งปี
โชคดีที่ฝ่าบาทมีคุณธรรม ได้มีการรับประกันการซื้อขายเสบียงอาหารในปริมาณมากเพื่อลดราคาเสบียง ซื้อเท่าไหร่ก็ขายเท่านั้น ข้าวสาลีของเราเมล็ดสวยจึงถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ดี ข้าวสาลีของคนอื่นเมล็ดไม่สวยแต่อร่อยจึงเป็นได้แค่ระดับกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงได้ราคาสามเหรียญสำหรับข้าวสาลีหนึ่งตัน เป็นปริมาณข้าวสาลีที่มากกว่าครึ่งกระสอบ ข้าวสาลียี่สิบตันของข้าอยู่ๆ ก็เพิ่มปริมาณขึ้นมาอีกหนึ่งตัน การซื้อขายแบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก พรุ่งนี้ข้าจะช่วยให้คนในหมู่บ้านได้ไปแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ส่วนไหนที่เกินมาก็ให้ข้า ถือเสียว่าเป็นค่าแรง ได้ยินคนในเมืองบอกว่าฝ่าบาทอยากจะเป็นเทียนเค่อหัน เช่นนั้นก็ต้องออกแรงหน่อย จะหยุดพักไม่ได้”