เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 49 สัญชาตญาณของชีวิต
นี่ก็เป็นการต่อสู้กันอย่างหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าตัวเองจะเอาชนะดอกบัวดอกเดียวไม่ได้ ไปหาเชือกมาดึงก้านบัวกลับไปตรงกลางอ่าง ตั้งใจเอาไม้บรรทัดมาวัดโดยเฉพาะเพื่อหาจุดศูนย์กลางของอ่าง สมัยเด็กๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับการผูกดอกทานตะวันอยู่ในหนังสือเรียนไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเรามาผูกดอกบัวบ้าง
บอกสาวใช้ไว้เป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ห้ามมาแตะต้อง หากใครมาแตะต้องจะจับคนผู้นั้นยัดเข้าไปในอ่างเป็นปุ๋ยให้บัว เขาต้องตรวจดูทุกวันอย่างละเอียด ดูว่ามันได้ผลหรือไม่ ขอเพียงแค่ได้ผลวันนี้ก็จะอารมณ์ดีทั้งวัน
เมื่อก้านดอกบัวโตขึ้นประสิทธิภาพก็ยิ่งเห็นชัดยิ่งขึ้น ตอนนี้ก้านบัวที่อยู่ใต้น้ำเริ่มมีความโค้งซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะคงที่แล้ว แรงภายนอกที่แข็งแกร่งสามารถเปลี่ยนทิศทางการเจริญเติมโตของพืชได้ มันจะสามารถเปลี่ยนคนได้หรือไม่
มีใบหน้ายิ้มแย้มทั้งวันในสำนักศึกษา ไม่ได้โมโหที่เฉิงฉู่ปี้ที่ไม่เข้าใจโจทย์ แม้ว่ามันจะเป็นสมการเชิงเส้นหนึ่งมิติอย่างง่าย แต่ก็สอนมาตั้งแปดสิบครั้งแล้ว แต่เฉิงฉู่ปี้ยังคงอายหน้าแดงเหมือนอุจจาระแห้ง ไม่อยากบังคับเด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าจะตัวโตกว่าอวิ๋นเยี่ย แต่ข้างในเขายังคงเป็นเด็ก
“เฉิงฉู่เลี่ยง หากคาบต่อไปฉู่ปี้ยังไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เจ้าก็เตรียมรับบทลงโทษได้เลย ถ้าหากสอบตกปลายภาค วันหยุดฤดูร้อนนี้เจ้าห้ามพักเด็ดขาด ภูเขาจำลองในสำนักศึกษามีหนึ่งแห่งที่ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องเป็นคนทำให้สำเร็จ”
คนที่เดิมทีไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเฉิงฉู่เลี่ยงก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที ถามอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “อาจารย์ ฉู่ปี้ตอบคำถามไม่ได้ เหตุใดต้องลงโทษข้า ข้าทำดีที่สุดแล้ว”
“ยื่นมือมา!” ได้ยินเฉิงฉู่เลี่ยงพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เดินไปที่เฉิงฉู่เลี่ยงด้วยใบหน้าบูดบึ้งและสั่งให้เขายื่นมือออกมา ใช้ไม้กระดานห้าแผ่นตีไปที่มือซ้ายของเขาอย่างแรง ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย เสียงดังมาก เฉิงฉู่ปี้ที่กำลังดูเรื่องตลกถึงกับหุบยิ้มทันที มองอวิ๋นเยี่ยอย่างตกใจ
“เจ้าสำนึกผิดหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยถามถึงเฉิงฉู่เลี่ยงอีกครั้งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็จริงจังมากกว่าเดิม ในห้องเรียนเต็มไปด้วยความเงียบ ลูกศิษย์พากันปิดปากแน่นไม่พูดอะไร
เฉิงฉู่เลี่ยงที่ไม่เข้าใจก็ก้มหัวแล้วยื่นมือขวาออกมาเตรียมพร้อมที่จะถูกลงโทษ “ขอเปลี่ยนเป็นมือซ้าย มือขวาเอาไว้เขียนหนังสือ ทำแบบฝึกหัด”
มือข้างซ้ายแดงๆ ของเฉิงฉู่เลี่ยงได้ถูกไม่กระดานสามแผ่นตีอีกครั้ง ได้ยินเสียงเขากัดฟัน เป็นถึงลูกของเหล่าเฉิงหากโดนตีแล้วร้องออกมาจะขายขี้หน้าคนอื่นเขา
“เฉิงฉู่เลี่ยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวันนี้ข้าถึงได้ลงโทษเจ้า”
“เพราะว่าเฉิงฉู่ปี้เรียนไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้ช่วยสอนเขา” อวิ๋นเยี่ยตบไหล่เขาเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณว่าเขาสามารถนั่งลงได้ เดินกลับไปที่แท่นหน้าห้องเรียนแล้วพูดออกมาอย่างเน้นย้ำว่า “เจ้ากับฉู่ปี้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่คนหนึ่งฉลาดอีกคนหนึ่งกลับโง่มันสมเหตุสมผลที่ไหนกัน สภาพแวดล้อมเดียวกัน คุณครูคนเดียวกัน เหตุใดการเรียนของเจ้าจึงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การเรียนของฉู่ปี้กลับเปล่าประโยชน์ เจ้าเป็นพี่ชายมีหน้าที่สอนน้อง เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้าสอนเขาในเรื่องการเรียน ดังนั้นเขามีความผิดแต่ไม่ร้ายแรงมาก ก็เพียงแค่เรียนไม่รู้เรื่อง แต่ความผิดเจ้ากลับรุนแรง สำนักศึกษาไม่ได้วัดมาตรฐานจากนักเรียนที่มีผลการเรียนดี พวกเราควรให้ความสำคัญกับความประพฤติที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคนที่ถูกลงโทษควรเป็นเจ้า ยอมรับหรือไม่”
เฉิงฉู่เลี่ยงยืนขึ้นโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ศิษย์เข้าใจแล้ว ต่อไปจะคอยกระตุ้นให้ฉู่ปี้พัฒนาไปในทางที่ดี ไม่หย่อนคล้อยแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉู่ปี้เป็นเด็กหัวดื้อ เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก แต่ว่าไม่เป็นไร เจ้าเอาไม้บรรทัดนี้ไป จำเป็นเมื่อไหร่ค่อยใช้ ถ้าหากเขากล้าต่อต้านข้าจะลองใช้วิธีของตระกูลเฉิงย่อมได้ อย่างไรก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
พูดจบก็หันกลับมาเขียนบทเรียนใหม่บนกระดานดำ เฉิงฉู่เลี่ยงเหลือบมองเฉิงฉู่ปี้ด้วยความขุ่นเคือง ในมือโบกไม้บรรทัดไปมา เห็นน้องชายดูหน้าซีดจึงได้หันกลับมาเรียนต่ออย่างพอใจ
เมื่อเลิกเรียนได้พูดคุยกับหลี่กังเกี่ยวกับแนวคิดบางอย่างของสำนักศึกษาอยู่ในห้องทำงาน ได้ประมาณการอย่างละเอียดกับสวี่จิ้งจงเกี่ยวกับขนาดของอาคารเรียนใหม่และค่าใช้จ่าย ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้สวี่จิ้งจงดูแลการก่อสร้างไป รู้ว่าบ้านของเขาได้ก่อเตาไฟขึ้นมาจึงได้สร้างอิฐจำนวนมาก เตรียมจะให้ผลประโยชน์เล็กน้อยแก่ชาวบ้านในหมู่บ้านของตัวเองจากการสร้างสำนักศึกษาในครั้งนี้ เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ สวี่จิ้งจงไม่มีทางปล่อยให้ก้อนอิฐที่ไม่ได้คุณภาพเข้ามาในสำนักศึกษา คนอย่างเขาพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง สำหรับอิฐที่ได้คุณภาพใครเอาไปใช้ก็เหมือนกันนั่นแหละ
วั่งไฉลากอวิ๋นเยี่ยและต้ายาวิ่งกลับบ้าน ตอนนี้ต้ายาเรียนอยู่กับอาจารย์อวี้ซันแล้วก็ปรนนิบัติรับใช้เขาด้วย แต่ว่าเด็กคนนี้มีปัญหาด้านสายตา ทำให้น่ากังวลอยู่มาก บอกให้นางใช้สายตาให้น้อยลงแต่ก็พูดไม่รู้ฟัง ดูแล้วคงจะต้องเตรียมแว่นตาให้นางเป็นแน่ อาจารย์หลายคนในสำนักศึกษาก็สายตาพร่ามัวอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ต้องใช้แว่นขยายถึงจะพออ่านหนังสือได้ ในหมู่คนแก่เหล่านี้มีเพียงอู๋เสอและหลีสือที่ไม่มีปัญหา ที่เหลือสายตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจารย์จินจู๋อายุยังน้อยแต่สายตากลับแย่มากทีเดียว
เสียดายที่บรรดาช่างไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ เวลาสองเดือนทำแว่นออกมาได้เพียงแค่อันเดียว เมื่อต้ายาเอาไปใส่ก็ดูสวยงาม แต่น่าเสียดายที่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างเลนส์แว่นไม่ตรงตามต้องการ ต้ายาใส่ได้สองวันก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายตาเป็นอย่างมาก ไม่ได้การแล้ว เห็นได้ชัดว่าระดับของเลนส์แว่นตากับสายตาไม่เข้ากัน ต้องรีบถอดออกมา ต้องรอให้ทดสอบสายตากับเลนส์แว่นที่เข้ากันให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยให้นางเลือกอันที่เหมาะสม
ม้าแดงหนึ่งตัววิ่งผ่านไป ทันใดนั้นทหารม้าได้ยื่นมือมาดึงต้ายาไปจากอวิ๋นเยี่ย ด่าไปสองสามคำ มองดูม้าตัวนั้นหายไปในละอองฝุ่น อวิ๋นเยี่ยต้องให้วั่งไฉเร่งความเร็วอย่างช่วยไม่ได้ ไปรับซ่านอิงที่บ้านหลังเล็กของเขา กลางวันแสกๆ ยังมีคนกล้าทำเรื่องเช่นนี้อีก
ในบ้านร้างที่ไร้ซึ่งผู้คนถูกโซ่ล่ามไว้ เตะประตูไปแรงๆ แล้วเดินกลับบ้านไปอย่างหงุดหงิด ความโกรธยังไม่หายไป เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นต้ายานั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นพูดคุยอยู่กับซินเย่ว ซ่านอิงกำลังถือขาหมูหนึ่งขา กินอย่างเอร็ดอร่อย กำลังจะเดินเข้าไปด่า ตาก็กวาดมองไปที่อ่างบัวข้างประตูด้วยความตกใจ ตอนเช้าที่ออกบ้านไปดอกบัวยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับไม่เห็นแล้ว มีก้านบัวเพียงครึ่งเดียววางอยู่นอกอ่าง ความโกรธเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ใครบังอาจทำเช่นนี้
เสียงคำรามเหมือนฟ้าร้อง จวนตระกูลอวิ๋นได้เกิดความวุ่นวายขึ้น สาวใช้คุกเข่าด้วยความสั่นเทาอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านโหวผู้ใจเย็นจึงได้โกรธถึงเพียงนี้
ไม่จำเป็นต้องให้ตี๋เหรินเจี๋ยวิเคราะห์ ผู้ร้ายก็ถูกจับกุมอย่างรวดเร็ว นายน้อยตระกูลอวิ๋น อวิ๋นโซ่วถือก้านดอกบัวโบกไปมาร้องเรียกอวิ๋นเยี่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำลาย ไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
เมฆดำทะมึนไปทั่วท้องฟ้าก็เริ่มสว่างไสว เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กฉลาด รู้ถึงความสำคัญของดอกบัว มองประเด็นสำคัญออกได้อย่างรวดเร็ว จัดการได้อย่างสะอาดหมดจด ดึงดอกบัวก็ดึงยันโคน แม้กระทั่งรากบัวที่อยู่ใต้ดินที่ยังไม่โตเต็มที่ก็ถูกถอนออกมา แรงเยอะเกินไปแล้วต้องให้รางวัล ส่วนผู้หญิงที่กำลังอุ้มลูกก็ต้องได้รับบทเรียน
อุ้มลูกรักของตัวเอง หอมไปที่แก้มหนึ่งที เจ้าเด็กน้อยใช้ก้านดอกบัวมาเป็นค้อนทองแดงตีไปบนหน้าของเขาเพื่อระบายความไม่พอใจ
ท่านโหวอารมณ์ดีแล้ว คนรับใช้ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเหมือนกระแสน้ำ อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะพบว่าในบ้านของตัวเองมีสาวใช้มากมายถึงเพียงนี้ ในเมื่อมีคนรับใช้เหล่านี้ เหตุใดเวลาล้างหน้าตอนเช้าต้องเป็นซินเย่วและน่ารื่อมู่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ บางครั้งก็เป็นรุ่นเหนียงและต้ายา สี่คนนี้ไม่มีใครปรนนิบัติเป็นสักคน ซินเย่วโยนกะละมังใส่กำแพงในสวนดอกไม้ จากนั้นก็หาตัวไม่เจอแล้ว บอกว่าไม่ชอบเวลาเห็นอวิ๋นเยี่ยเอาเกลือมาสีฟันแล้วทำท่าทางน่ารังเกียจโดยการกลั้วคอ ปกติแล้วน่ารื่อมู่มักจะเทน้ำเย็นให้ เวลาเช็ดหน้าให้ก็มักจะยัดผ้าเข้าไปในจมูกด้วย หลังจากที่รุ่นเหนียงปรนนิบัติพี่อวิ๋นล้างหน้าเสร็จก็มักจะหยิบเหรียญเงินสองเหรียญจากกระเป๋าเงินของพี่อวิ๋น ถ้าหากมีอัญมณีก้อนเล็ก ก็จะหยิบไปด้วยสักสองอัน บอกว่าเป็นรางวัลตอบแทน แพงเกินไปแล้ว ข้าไม่อาจขอให้เจ้าปรนนิบัติข้าได้อีก ส่วนต้ายาก็ชอบทำท่าทางเหมือนไม่อยากทำ ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่สบายใจที่ได้เห็นนางเป็นเช่นนี้ ทางที่ดีจึงทำเองดีกว่า
เพราะเหตุใดถึงได้ไม่มีเสียงหวานหูพูดขึ้นมาว่า “ได้เวลาล้างหน้าแล้วท่านโหว” จากนั้นก็มีนิ้วมือเช็ดไปมาบนใบหน้าของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยรอเวลาเช่นนี้มานานแล้ว สาวๆ ในบ้านเหล่านั้นไม่มีใครปรนนิบัติได้ดีเลยสักคน
เมื่อเห็นซินเย่วและน่ารื่อมู่ขมวดคิ้วแล้วไล่สาวใช้ออกไป อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าความปรารถนาของตัวเองคงหมดหวังแล้วในชีวิตนี้
มือซ้ายอุ้มลูกชาย มือขวาอุ้มลูกสาว ความสุขเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยแทบบ้า ลูกสาวเริ่มยอมเปิดรับบ้างแล้ว ในที่สุดก็เห็นเงาของน่ารื่อมู่อยู่ในนั้น เป็นเช่นนี้ดีแล้ว อย่าได้เป็นคนแบบพ่อก็พอ ผู้หญิงสองคนนี้คือคนที่ไม่ควรเจอมากที่สุด จึงรีบหันหลังอุ้มลูกชายและลูกสาวไปที่ห้องหนังสือ
เอาลูกชายไปวางไว้ในกระถางดอกไม้เก็บม้วนหนังสือ อุ้มลูกสาวไปวางไว้บนโต๊ะหนังสือ ดูนางเตะขาไปมาไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยเหมือนจมอยู่ในกระแสน้ำแห่งความสุข เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ยุ่งยากอยู่บ้างแต่ก็ไม่เกินความสามารถของอวิ๋นเยี่ย เขาคุ้นเคยกับงานประเภทนี้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว สิ่งที่น่ารื่อมู่มัดยุ่งเหยิงบนตัวลูกสาวได้ถูกเขาค่อยๆ แกะออก แม่นมมองด้วยความตกใจที่เห็นอวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวอย่างชำนาญ เพียงครู่เดียวก็ใช้ผ้าห่มผืนเล็กห่อไว้อย่างดี มือข้างหนึ่งโผล่ออกมา ใช้ผ้านุ่มรัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วยัดมือเข้าไปข้างใต้สายรัด ทดสอบสายรัดดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้วแต่ฝีมือยังพอมีอยู่
ไม่จำเป็นต้องมีแม่นมก็ได้ จะให้ลูกกินนมวัวบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกชายโตแล้วจึงให้ขวดนมเขาไปถือกินเอง ส่วนตัวเองถือขวดนมให้ลูกสาวไว้ค่อยๆ ป้อน ไม้ก๊อกของกวนจงไม่เลวเลยทีเดียว ทำเป็นจุกนมได้เหมาะกับปากเด็กน้อยเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ขวดนมชนิดนี้ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของฮองเฮานางได้แรงบันดาลใจมาอย่างกะทันหันตอนที่ให้นมลูก ตอนนั้นฝนฟ้าคะนอง ดอกไม้ร่วงหล่นมาจากฟ้า กลิ่นหอมโชยมาจากรอยแยกของดิน บรรยายได้เกินจริงยิ่งกว่าตอนที่ชังเจี๋ยประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาเสียอีก ฮองเฮาได้ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ธรรมดานี้สำเร็จ ไม่ได้สนใจสายตาความขุ่นเคืองในมุมของอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย รับคำสรรเสริญจากผู้คนบนโลกไปเพียงคนเดียว
ซินเย่วและน่ารื่อมู่ที่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยจะขอให้นางพาลูกออกไป พึ่งจะเข้ามาในห้องหนังสือก็รู้สึกทึ่งกับสภาพแวดล้อมที่ดูกลมกลืน อวิ๋นน้อยกำลังคุยอ้อแอ้กับอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยก็ตอบกลับลูก สองพ่อลูกคุยกันอย่างมีความสุข สามารถมองออกได้จากดวงตาที่อ่อนโยนของอวิ๋นเยี่ยว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ลูกชายพูด
ในขณะที่ดูแลลูกชาย เขาก็ไม่ลืมที่จะดูแลลูกสาว บิดผ้าที่ต้มในน้ำเดือดไปชุบน้ำสะอาดแล้วเช็ดปากให้ลูกสาว ท่าทางดูชำนาญและรวดเร็ว