เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 51 ใช้คนทดลอง (สอง)
ซุนซือเหมี่ยวป่วยหนัก หากบอกว่าร่างกายป่วยไม่สู้บอกว่าจิตใจป่วยมากกว่า การใช้คนมาทำการทดลองทำให้เขามีความกดดันเป็นอย่างมาก แล้วเขายังเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาอยู่แล้ว การทำการทดลองบนตัวของตัวเองครั้งนี้เขาทำลงจริงๆ บาดแผลมีขนาดใหญ่กว่าที่อวิ๋นเยี่ยผ่าให้กับนักโทษ วัคซีนโรคฝีดาษวัวก็ทาไปตั้งเยอะ ของสิ่งนี้เต็มไปด้วยแบคทีเรีย ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่จะทาเยอะเกินไปไม่ได้ ทาเยอะเกินไปก็อาจจะถึงชีวิตได้
ผู้อาวุโสของสำนักศึกษามากันหมด อวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ กุมขมับอยู่ใต้ต้นสน เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาคิดเสมอว่าซุนซือเหมี่ยวคือภูเขา คือน้ำทะเล เขากล้าที่จะดูดสารอาหารมาจากเขาอย่างไม่ที่สิ้นสุด แต่เขากลับมองข้ามไปว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีเนื้อมีหนัง เป็นคนมีศีลธรรม ทั้งๆ ที่รู้ว่าการทดลองพวกนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกายคน แต่ตัวเองกลับทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปริมาณยามีตั้งแต่น้อยไปถึงมาก จนกว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายคน นี่มันส่งผลกระทบเช่นไรกับความเชื่อและศีลธรรมของเขา
ซุนซือเหมี่ยวไม่รู้เรื่องราวของเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด เขาคิดแค่ว่าเรื่องที่ตัวเองเป็นคนทำคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในโลก คนดีๆ ถูกเขาทรมานจนพิการ นักโทษที่ตาบอดพวกนั้น เสียงกรีดร้องที่ทรมานของพวกนักโทษมันช่างกระทบต่อจิตใจอันดีงามของเขา ดังนั้น เขาจึงเงียบขรึมมากกว่าเดิม เขาไม่ได้ท่องพระคัมภีร์มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากท่อง แต่เขาคิดว่าคนอย่างเขาไม่คู่ควรที่จะไปท่องคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น แต่น่าเสียดาย อวิ๋นเยี่ยเข้าใจผิดไปแล้ว คิดไปว่าหากมีความรู้สมัยใหม่เยอะขึ้นก็คงไม่มีทางเชื่อในสิ่งเหล่านั้นอีก ทว่าเขากลับภูมิใจในการติดเชื้อนี้ของตัวเอง
วันนี้เป็นการทดลองครั้งแรกหลังจากการเพาะเชื้อ เมื่อคืนเขาเห็นนักโทษห้าคนกระวนกระวาย ความกลัว หมดหนทาง ความสิ้นหวังสามารถแพร่ระบาดได้ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่จิตใจของซุนซือเหมี่ยววุ่นวายที่สุด หลับตาและกัดฟัน เขาทำการทดลองกับให้ตัวเองถึงสองเท่า เขาหวังเพียงว่าตัวเองจะทำสำเร็จในครั้งเดียว หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากนักโทษทั้งห้าคนนั้น แต่เขากลับคิดไม่ถึง หากทั้งห้าคนนั้นไม่ได้ทำการทดลองกลับไป สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือมีดเหล็กที่แวววาว คนโง่ที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีคนนี้
ตำหนักกันลู่ถูกหลี่ซื่อหมินระเบิดเองกับมือ ตอนนี้ต้องอาศัยอยู่ที่ตำหนักลี่เจิ้ง หลังจากฟังรายงานของหน่วยข่าวกรอง เขาเงียบไปตั้งนาน จั่งซุนไม่ได้ถามอะไร นางแค่นั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
“กวนอินปี้ เราโชคดีเพียงใด ภายใต้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แต่เราก็ไม่ได้หลงระเริง ไข้ทรพิษระบาดไปทั่วโลก ใครที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เราจะแต่งตั้งให้เป็นเทพทันที เป็นคนที่ทั้งต้าถังแม้แต่เราก็ต้องเคารพ ตอนนี้ ในที่สุดก็มีคนเจอความหวังของความสำเร็จ แต่เขากลับคิดว่าการต้องฆ่านักโทษสองสามคนทำให้เขารู้สึกผิดบาปอย่างที่สุด
เอายาที่ควรจะนำไปใช้กับนักโทษมาใช้กับตัวเอง แล้วยังใช้ไปตั้งสองเท่า ตอนนี้หมดสติไปคนหนึ่ง คนหนึ่งนั่งยองๆ อย่างเจ็บปวดบนพื้นไม่พูดไม่จา ไม่กินข้าวกินน้ำทั้งวัน มันทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ นี่คือนักปราชญ์ของต้าถัง เป็นขุนนางระดับสูงแต่ไม่เคยหลงระเริง ทั้งๆ ที่ทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมของตัวเอง แต่เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานในอนาคต บังคับตัวเองให้ตั้งใจทำ มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรเป็นเทพของต้าถัง คนเช่นนี้เท่านั้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จ ถึงจะคู่ควรแก่การได้รับของขวัญอันยิ่งใหญ่”
“คนที่หมดสติไปคือซุนซือเหมี่ยว คนที่นั่งอยู่บนพื้นคืออวิ๋นเยี่ยใช่หรือไม่ พวกเขามักจะมีจิตใจดีที่แปลกๆ ความโมโหที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเฉิงเสวียนอิงก็แปลกๆ การโยนเด็กลงทะเลเป็นเรื่องเลวทรามของท้องถิ่นจริงๆ แต่เฉิงเสวียนอิงพยายามลดลงไปตั้งครึ่งหนึ่ง มันถือว่าเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป ลัทธิเต๋าอธิบายให้เขาฟัง เขาก็ดื้อรั้น บอกว่าโยนเด็กลงไปในทะเลเป็นบาปของเฉิงเสวียนอิง ลัทธิเต๋าเฝ้ามองเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในทะเลตงไห่แต่ไม่ยอมห้ามปรามก็ไม่ใช่คน คนที่ห้ามปรามได้แต่ก็ไม่ห้ามปรามไม่ใช่คน คราวหน้าหากมีโอกาส เขายังอยากได้หูของเฉิงเสวียนอิง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากที่ไหน”
หลี่ซื่อหมินลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียง ตบราวระเบียงและพูดว่า “บางเรื่องที่เราคิดว่ามันสมเหตุสมผล แต่ในสายตาของพวกเขามันมักจะไม่ปกติ หลายครั้งที่เถียงกับตัวเอง หากเรามีความคิดเหมือนพวกเขา เราคงจะรู้สึกผิดตายไปตั้งนานแล้ว ยังจะมีโอกาสสร้างประเทศชาติที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือ”
“ดังนั้น ท่านแก้ไขปัญหาเรื่องโรคระบาดไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่ใช่เจ้า เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน ท่านทำหน้าที่ฮ่องเต้ที่ดี พวกเขาวิจัยวิธีรับมือกับโรคระบาด เหล่าทหารก็สู้รบตบมือ เหล่าขุนนางก็จัดการบ้านเมือง ราษฎรพากันทำไร่ทำนา โลกไม่สงบสุข บางครั้งเราก็โหดร้าย คืนที่ท่านระเบิดตำหนักกันลู่ หม่อมฉันฆ่าคนไปแล้ว ฮองเฮาผู้ที่มีเลือดเต็มมือ ขอแค่ท่านไม่รังเกียจก็พอ”
“เหอะ เราสองคนเป็นเจ้าของโลกใบนี้ เราบดบังลมฝนอยู่ข้างหน้า เจ้าคอยบังลมให้เราอยู่ข้างหลัง โลกใบนี้มักจะมีคลื่นอยู่เสมอ เรื่องพวกนี้ ซุนซือเหมี่ยวไม่เข้าใจ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอยู่นิดหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะทำการใหญ่แต่ไม่เสียสละ ไม่ต้องส่งหมอหลวงไปแล้ว ส่งไปเดี๋ยวก็ถูกอวิ๋นเยี่ยไล่กลับมา มีเขาอยู่ ซุนซือเหมี่ยวคงไม่เป็นอะไรมาก เรามีความมั่นใจในตัวของไอ้เจ้านี่ เราเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เจ้าก็เขียนฉบับหนึ่ง ให้พวกเขาได้มีความมั่นใจ บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา เราอดทนต่อไปก็ได้ พูดเหมือนที่เคยพูด ใช้ความพยายามก็พอแล้ว”
จั่งซุนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมากับหลี่ซื่อหมิน ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า ‘ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนจิตใจดี อย่ามองข้ามสถานการณ์ที่สำคัญ จิตใจที่ดีงาม ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ไพศาล จะรู้ได้เช่นไรว่าลมฝนที่ตกหนักคือพรจากสรวงสวรรค์…’
ไม่ช้า จดหมายที่เขียนให้กับซุนซือเหมี่ยวก็เขียนเสร็จเรียบร้อย ส่วนจดหมายที่เขียนให้อวิ๋นเยี่ยจั่งซุนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ‘ไสหัวออกมา รีบไปวิจัยยารักษาโรคระบาด โซ่วโจวอาจจะมีแนวโน้มที่จะมีการระบาดอีกครั้ง ไม่อยากให้ทั้งโลกตายก็รีบไปทำมา คนที่ตายข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าจะไปบอกเหยียนอ๋องเอง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้’
ทั้งสองคนเขียนเสร็จก็แลกเปลี่ยนกันอ่าน หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม สั่งให้ต้วนหงประทับตราและเอาไปให้ราชทูตส่งไปยังเขาอวี้ซัน
ซุนซือเหมี่ยวช่างหนังเหนียว อาจจะเป็นเพราะเทพเจ้าให้พรกับเขา พอถึงตอนเย็น ไข้สูงก็ค่อยๆ ลดลง ซึ่งหมายความว่าการอักเสบควบคุมได้แล้ว เมื่อหั่วจู้จุดเทียนเขาก็ลืมตาขึ้นมา เห็นหลี่กังที่มีหนวดเคราและผมสีขาวกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างเป็นกังวล เขาก็ยิ้มและพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ายังเป็นคนมีศีลธรรมอยู่หรือไม่”
หลี่กังเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้วยังมีสติ เขาลูบเคราและบอกว่า “เจ้าเป็นคนมีศีลธรรมแน่นอน ทำงานหนักเพื่อราษฎร สูดดมก๊าซพิษและไปค้นหายาสมุนไพรบนภูเขา เดินทางไปยังสามดินแดนอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้ว่ารักษาคนมาแล้วกี่คน สะสมศีลธรรมมาแล้วเท่าไหร่ ทั้งชีวิตนี้ข้ายังไม่เท่าเจ้า เจ้ารอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ ถือว่าเทพเจ้าคุ้มครองใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำตา กระแอมแล้วพูดว่า “หากเจ้าตายไป ข้าก็จะไม่ทำแล้ว มีเจ้าคอยบดบังอยู่ข้างหน้า ข้าถึงจะสบายใจ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไม่กล้าแตะต้องเรื่องต้องห้ามเหล่านั้นแน่นอน พวกเขาบอกว่าไข้ทรพิษเป็นภัยพิบัติจากสรวงสวรรค์ ไม่ควรรักษา แล้วก็รักษาไม่ได้ มีเพียงป้ายชื่อของเจ้าที่สามารถทำให้พวกเขาหุบปาก”
“เหลวไหล เราพบต้นเหตุของไข้ทรพิษแล้ว ตอนนี้กำลังหาทางรับมือ ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่เข้าใจหลักการที่เจ้าพูด แต่ว่าเหล่าเต้าได้ทดลองใช้ยาตามอาการ แต่ก็ไม่ได้ผล มีเพียงลองใช้วิธีที่เจ้าบอกเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะโหดเ**้ยมไปหน่อย แต่หากได้ผลก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี หากเหล่าเต้าตาย เจ้าก็ต้องทำต่อไป อย่าให้วิญญาณที่อยู่ใต้ดินของข้าไม่สบายใจ”
อวิ๋นเยี่ยปิดหน้าปิดตาร้องไห้หนัก ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันร้องไห้ ลูกผู้ชายอย่างหงเฉิงก็ยังสะอึกสะอื้น เป็นครั้งแรกที่สวี่จิ้งจงหลั่งน้ำตาโดยไม่ปิดบัง อยู่ต่อหน้าผู้คนที่สูงส่ง ความคิดที่มืดมนก็ได้ดับสูญไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางแสงอาทิตย์
จดหมายของฮ่องเต้กับฮองเฮามาถึงแล้ว ซุนซือเหมี่ยวส่ายหัวบอกให้หั่วจู้เอาจดหมายเก็บไว้ในกล่อง ตัวเองปิดตาและสงบสติอารมณ์ ฮ่องเต้จะพูดอะไร ไม่ต้องอ่านก็เดาออก อวิ๋นเยี่ยยิ่งไม่ต้องอ่าน พระราชโองการหรือจดหมายที่หลี่ซื่อหมินสองสามีภรรยาเอามาให้อวิ๋นเยี่ย ไม่เคยมีเรื่องดี นอกจากตอนแต่งตั้งเป็นท่านโหว นอกจากถ้อยคำที่ไพเราะและสง่างามในพระราชโองการตอนนั้น ที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแต่ภาษาท้องถิ่น หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยโต้ตอบไปสองครั้ง หลี่ซื่อหมินก็เยาะเย้ยว่าเขาอ่านไม่ออก ต้องเขียนเป็นภาษาท้องถิ่น ดังนั้นมีหลายครั้งที่พระราชโองการที่เขียนให้ตระกูลอวิ๋นมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่าไอ้หนุ่ม อวิ๋นเยี่ยถือว่านี่คือการดูถูก แต่หลายๆ คนรวมทั้งท่านย่าคิดว่ามันเป็นพระกรุณาธิคุณ ต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก ท่านย่าชอบเก็บสะสมพระราชโองการเป็นที่สุด เอามาวางไว้ในห้องพระ นางสามารถเล่าเรื่องพวกนี้ให้บรรพบุรุษฟังได้ทั้งคืนอย่างไม่รู้สึกง่วง
สองสามวันมานี้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกไปจากห้องยาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีเครื่องวัดไข้ ใช้แค่ความรู้สึกของมือ พูดอย่างเคร่งครัด ตอนนี้มีคนทดลองยาหกคน ซุนซือเหมี่ยวขอให้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักโทษด้วย อธิบายสาเหตุที่ทำเช่นนี้ให้เหล่านักโทษฟังไม่หยุด แล้วยังมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จ เป็นผู้นำในการกลืนยาที่อวิ๋นเยี่ยส่งมาให้ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนยาที่แขน
นักโทษเหล่านั้นเห็นว่าเทพเซียนซุนก็ยังมาเป็นคนทดลองยา ความกลัวของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป บางครั้งพวกเขาก็ยังพูดคุยหัวเราะกัน แต่อาการไข้สูงยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในกลุ่มนักโทษมีสองคนที่มีร่างกายแข็งแรง เขาแทบจะไม่มีอาการอะไร ยังคงกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วยังมักจะถามอวิ๋นเยี่ยว่ามีเหล้าให้เขาหรือไม่ เพราะมักจะเอาเหล้าดีๆ ไปทาที่แผล
สามวันต่อมา อาการค่อยๆ ดีขึ้น ทุกคนต่างรอดชีวิตมาได้ ซุนซือเหมี่ยวมองดูรอยแผลสีดำทั้งสองบนแขนของตัวเองแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหวังว่ามันจะได้ผล
การทดลองจริงกำลังจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน มีขวดแก้วขนาดใหญ่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ข้างในมีเสื้อผ้าลินินอยู่ นี่คือผ้าที่เอามาจากผู้ป่วยในเมืองโซ่วโจว มันถูกปกคลุมด้วยไวรัสไข้ทรพิษ ของสิ่งนี้ไม่มีใครกล้าเก็บเอาไว้ในสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยขุดถ้ำในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง มีทหารสามร้อยนายเฝ้าอยู่ที่นี่ แค่มีคนออกไปจากที่นี่โดยไม่ผ่านการสังเกตการณ์สองเดือนก็จะถูกฆ่าอย่างไร้ซึ่งความปรานี โดยไม่ละเว้นว่าจะเป็นใครก็ตาม
แม่ทัพขุนนางทหารไป๋เหยี่ยนเหรินและเหยเหยี่ยนเหริน เป็นคนมีความสามารถที่หลี่ซื่อหมินเป็นคนเลือกมาเองกับมือ ก่อนที่ไวรัสจะมาถึง เขาเคยไปที่ภูเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าขุนนางทหารคนนั้นอยากจะฆ่าเขา เพราะเมื่อเขาไม่มีอะไรทำก็จะมองอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วยังจงใจหยุดอยู่ตรงที่ที่ลงมือได้ง่าย