เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 9 ดำน้ำ (สาม)
หนิวเจี้ยนหู่เองก็ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเป็นขุนนางนักปราชญ์หรือขุนนางทหาร ขาของเขาพิการ มันทำให้เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับการรับตำแหน่ง แต่ในฐานะสมาชิกของเหล่าทหาร เขาต้องระมัดระวังต่อสัญญาณดังกล่าวนี้ พวกขุนนางนักปราชญ์ต่างพากันชื่นชมยินดี นี่คือสัญญาณที่ฮ่องเต้กำลังจะเริ่มลงมือกับเหล่าขุนนาง พวกเขาไม่เสียดายที่จะเอาตำแหน่งขุนนางระดับพื้นฐานที่สำคัญๆ บางตำแหน่งในระบบออกมาจัดสรรให้กับขุนนางพวกนี้ มันรวดเร็วมาก ในเวลาเพียงครึ่งเดือนก็มีการจัดการตำแหน่งที่เพียงพอ จากนั้นก็เอาความปรารถนาของฮ่องเต้ไปใช้
“ขุนนางนักปราชญ์ก็ไม่ได้แย่ หากข้าได้รับตำแหน่งผู้ตรวจราชการมณฑลในเฉวียนโจวอาจจะได้ใช้งานกองทัพเรือของเจ้า ในดินแดนเฉวียนโจวก็ไม่ได้มีสินค้าที่โดดเด่นมากเท่าไหร่ ทุ่งนาก็แห้งแล้ง แต่มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คืออยู่ติดกับทะเล เมื่อข้าไปถึงเฉวียนโจว ไม่ต้องสนใจเรื่องอะไร เพียงแค่ขยายท่าเรือในเฉวียนโจว ขยายให้ใหญ่ขึ้นอีกก็พอ หากมีพละกำลังหลงเหลือ ก็สร้างเรือเพิ่มอีก โดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่ที่เอาไปออกทะเล ข้าสัญญาว่าราษฎรในเฉวียนโจวจะอยู่ดีกินดีหากมีท่าเรือแห่งนี้”
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า หลี่ซื่อหมินกังวลว่าเหล่าแม่ทัพจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น จนสุดท้ายแล้วมีอำนาจมากเกินไป จึงถือโอกาสตอนที่ตัวเองยังมีอำนาจปลดตำแหน่งของแม่ทัพที่โดดเด่นลงมาอย่างกะทันหัน รอให้เหล่าทหารผ่านศึกกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว คิดจะเปลี่ยนแปลงก็สายเกินไปแล้ว เจตจำนงครั้งนี้ของหลี่ซื่อหมินหนักแน่นมาก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หากไม่อยากเป็นกบฏ ก็ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
“เสี่ยวเยี่ย เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งแต่ขาของข้าพิการ ข้าก็ไม่มีความหวังอะไรอีกต่อไป มีผลลัพธ์เช่นนี้ในตอนนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล แต่หลังจากที่ข้าไปที่เฉวียนโจว ทางบ้านก็คงต้องพึ่งพาเจ้ามากขึ้น ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็อายุมากแล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าก็ดูแลบ้านไม่ค่อยเป็น ฝากเจ้าดูแลด้วย ให้พี่ๆ น้องๆ มาชี้แนะบ่อยๆ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่บ้านอีกแล้ว”
หนิวเจี้ยนหู่เป็นลูกคนเดียว เดิมทีตามความดีความชอบของหนิวจิ้นต๋า เขาไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงเฉวียนโจว เพียงแค่รับตำแหน่งที่ฉางอันก็พอ นี่คือการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลของเขาและประเทศชาติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริงที่หนาวเหน็บ เขาจำเป็นที่จะต้องทำตาม
ออกมาจากบ้านตระกูลหนิว อวิ๋นเยี่ยก็อารมณ์ไม่ดี หลี่ซื่อหมินเป็นคนอยู่เป็น ยิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องมีหน้าที่ให้รับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง คำนี้ช่างหนักแน่นและทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางทรยศหรือขุนนางที่จงรักภักดี ตราบใดที่เป็นขุนนาง ก็จะต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่าง
ราชวงศ์เจินก้วนไม่มีขุนนางคนไหนที่ทรยศจริงๆ รัศมีของหลี่ซื่อหมินส่องแสงในตอนกลางวันแสกๆ มีคนโง่เพียงไม่กี่คนที่จะฝ่าฝืนข้อห้ามที่เขากำหนดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งการสู้รบ จากมุมมองของประวัติศาสตร์ เขายังเป็นตัวละครที่สู้รบอย่างไม่เสียดายชีวิต สู้รบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นั่งยองๆ ย่างเนื้อปลาวาฬอยู่ในสวนหลังบ้านกับเหล่าฉิน เนื้อปลาวาฬที่รมควันมาแล้วช่างมีความหนึบ ย่างจนหนังกรอบ แล้วเอาน้ำมันพริกมาทา จุ่มลงในน้ำจิ้มที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่างเป็นรสชาติที่อร่อย
“ท่านลุงฉิน หวยอวี้จะไปรับตำแหน่งที่ดินแดนไกล ท่านไม่เป็นห่วงหรือ” อวิ๋นเยี่ยย่างเนื้อปลาวาฬ ทาน้ำจิ้ม แล้วเอาใส่ในชามของเขา
“จะมีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนข้าวัยรุ่นข้าก็ยังไปเป็นตำรวจที่จวนจี่หนาน เป็นลูกผู้ชายก็ต้องเร่ร่อนไปทั่วถึงจะกลายเป็นอาวุธชั้นดี อยู่แต่บ้านตลอดชีวิตมีอะไรดี เจ้าไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มองดูให้มากเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจ ตอนนี้เจ้ามีหนี้สินเต็มไปหมด จัดการเรื่องของตัวเองให้ดีให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องสนใจเรื่องของคนอื่น ข้าชอบเด็กรุ่นเหนียงคนนี้มาก ถึงเวลาแล้ว วันที่หกเดือนตุลาคมข้าให้เหล่าเอ้อไปรับตัวคนที่บ้านเจ้า เจ้าคิดเช่นไร”
เหล่าฉินไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยพูดเรื่องอื่น แค่เร่งให้เขารีบจัดการเรื่องงานแต่งของน้องสาวให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยต่อต้านการเป็นขุนนางนักปราชญ์ของฉินหวยอวี้ และถึงขั้นชอบที่เขาได้เป็นขุนนางนักปราชญ์ด้วยซ้ำ ก็ดีเหมือนกัน ขอแค่ตัวเองสบายใจ เป็นอะไรก็ดี
“หากหยวนเทียนกังเป็นคนดูเลิกงามยามดีให้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เจ้าเลือกวันเอาเองคงจะเหมาะสมกว่าที่เขาดู ตอนนี้ชื่อเสียงของเหล่าเต้าพังไปหมดแล้ว สองสามวันก่อนยังดูโชคลาภให้กับจางเลี่ยง บอกว่าเขากำลังจะได้เดินทางไกล โชคดีมีชัย ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ถูกถอนรากถอนโคนทิ้งไปหมด คำพูดของเหล่าเต้าเชื่อถือไม่ได้”
“เหลวไหล หยวนเทียนกังพูดถูก จางเลี่ยงกำลังจะได้ออกเดินทางไกลจริงๆ คราวนี้เขาจะได้ไปฝึกฝนกองทัพเรือที่ทะเลสาบต้งถิง ถือว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วจริงๆ สำหรับร่างกายที่พิการของเขา เขาคงจะออกไปพบปะผู้คนไม่ได้ คราวนี้หลิวหงจีลงมือด้วยความโมโห เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิด ไม่ได้พัดเปลวไฟ”
“หลานพึ่งกลับมาถึงฉางอันก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อยากจะทำอะไรก็คงไม่ทันแล้ว ช่วงสองสามวันนี้หลานไม่ได้ออกนอกบ้านเลย ค่ายทหารเรือในแม่น้ำป้าเหอก็ไม่ได้ไปดู ท่านบอกว่าหลานเป็นคนจุดไฟมันเกินไปแล้ว หลิวกงและคนอื่นๆ ใช่ว่าโหวเจวี๋ยตัวน้อยๆ อย่างข้าจะไปยุยงได้”
หลังจากที่ฉินฉยงกินเนื้อปลาวาฬเสร็จ เช็ดมือ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และชี้ไปที่นอกประตู บอกให้เขาออกไปได้แล้ว พวกทหารผ่านศึกก็ล้วนแต่มีนิสัยเช่นนี้ พูดไม่ถูกคอกันก็จะไล่เขาไสหัวออกไปทันที
ยังไม่ทันได้เดินออกไปจากสวนก็ได้ยินเสียงเหล่าฉินตะโกนอยู่ข้างหลังว่า “จำไว้ วันที่หกเดือนตุลาคม สินสอดทองหมั้นจำนวนมากยิ่งกว่า ถึงแม้ข้าจะไม่ได้มอบให้ลูกคนรองมากนักก็ตาม”
หันหน้ากลับไปตอบตกลงแล้วก็รีบออกมา ไม่อยากรบกวนเหล่าฉินกินปิ้งย่างอยู่กับหญิงสาว
หลี่เซี่ยวกงกับหลี่เต้าจง ทั้งสองคนอยู่ที่จวนของจวิ้นอ๋อง หลี่ไท่กับหลี่เค่อก็อยู่ด้วย วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของหลี่เซี่ยวกงฮูหยิน ไม่ได้เชิญคนนอก พี่น้องหลานชายของตัวเองดื่มกินกันเองก็ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว
อวิ๋นเยี่ยมาถึงพอดีกับที่งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มขึ้น เดินเข้าประตูไปถึงได้รู้ว่าตัวเองเสียมารยาท รีบบอกพ่อบ้านไปเตรียมของขวัญ เนื้อปลาวาฬหนึ่งเกรียวมันน้อยเกินไป
เหล่าเฉียนยังไม่ทันได้เดินออกประตู ประตูบ้านของตระกูลหลี่ก็ปิดลง เสียงของหลี่เซี่ยวกงดังมาจากระยะไกล “เตรียมของขวัญอะไรกัน รอให้ถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปีของข้า เจ้าค่อยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ก็ไม่สายเกินไป ไหนๆ วันนี้ก็มาแล้วก็เข้ามาดื่มเหล้าสักหน่อยสิ”
คงต้องทำเช่นนี้ ในฐานะคนรุ่นหลังได้แต่คำนับฮูหยินด้วยความเคารพ ไม่ได้เตรียมของขวัญที่มีค่ามาด้วยช่างรู้สึกอับอาย ตอนที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น หลี่เซี่ยวกงก็ทำเสียงสูดจมูกและถามว่า “เจ้าเอาเนื้อปลามาด้วย?”
“ใช่แล้ว ท่านลุงหลี่ หลานจับปลาวาฬในทะเลได้สองสามตัว เก็บเนื้อปลาวาฬมาด้วยนิดหน่อย ตั้งใจเอามาให้ท่านชิม” อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างไม่มีทางเลือก ข้อเสียของเนื้อปลาวาฬก็คือกลิ่นคาวแรง
หลี่เซี่ยวกงส่งเสียงร้องแปลกๆ โยนพัดในมือทิ้ง ใส่รองเท้าแล้ววิ่งไปดูที่สวน ทันใดนั้นก็แบกห่อใบบัวห่อใหญ่กลับมาห่อหนึ่ง ใช้มีดตัดเชือกออก เนื้อปลาวาฬชิ้นใหญ่ที่ผ่านการรมควันมาแล้วก็ปรากฏออกมาต่อหน้าทุกคน กลิ่นทวีคูณขึ้นกว่าเดิม หลี่ไท่ปิดจมูกและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เหม็นขนาดนี้ มันกินได้จริงๆ หรือ”
ฮูหยินเหลือบมองไปที่สามีของนาง มีแต่หลี่เต้าจงที่นั่งอย่างสงบ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโหยหา
หลี่เซี่ยวกงพูดกับหลี่ไท่และหลี่เค่อว่า “พวกเจ้าไม่เคยกินของพวกนี้ อย่าคิดว่ามันเหม็น เพียงแค่ปรุงให้ถูกต้อง นี่คืออาหารอันโอชะ ใช่ว่าเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมูจะเทียบได้ ไอ้เจ้านี่เป็นคนกินเก่ง เขาต้องรู้วิธีทำอย่างแน่นอน วันนี้เขาไม่ได้เอาของขวัญมาพอดี เช่นนั้นก็ให้เขาทำอาหารให้พวกเราชิม”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วตอบตกลง ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าฝีมือทำอาหารของตัวเองตกลงไปมาก แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ฮูหยินฉลองวันเกิด ทำอาหารให้ทานก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไร
หลี่เต้าจงพยักหน้าไม่หยุด พูดกับฮูหยินที่กำลังสับสนว่า “พี่สะใภ้อาจจะไม่ทราบ อวิ๋นโหวออกเดินทางไกลกับท่านอาจารย์ตั้งแต่เด็กๆ เขาเห็นอาหารอันโอชะบนโลกมาแล้วมากมาย แล้วท่านอาจารย์ของเขาก็เป็นยอดมนุษย์ที่กินแต่ของอร่อย ภายใต้อิทธิพลของยอดมนุษย์ อาหารที่อวิ๋นโหวเป็นคนทำต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและตอบว่า “หลานไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของท่านป้า ช่างเสียมารยาทเสียจริง ให้หลานได้ทำบะหมี่อายุยืนให้ท่านป้าทานเพื่อเป็นการแสดงความในใจ”
“ทำบะหมี่อะไรกัน เอาเนื้อปลาวาฬไปทำก็พอ” หลี่เซี่ยวกงอยากจะกินเนื้อปลา ความอยากรู้อยากเห็นของหลี่ไท่ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา เขาก็อยากจะชิมรสชาติของเนื้อปลาวาฬเช่นกัน
หลี่ไท่ หลี่เค่อและอวิ๋นเยี่ยมาที่ห้องครัวด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยกำลังนวดแป้ง พวกเขาสองคนก็เตรียมจุดเตาถ่านตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ย เนื่องจากอยู่ที่สำนักศึกษาก็คุ้นเคยอยู่แล้ว ผ่านไปไม่นานเตาถ่านก็พร้อมใช้งานแล้ว
หลี่ไท่ที่กำลังปอกกลีบกระเทียม จู่ๆ ก็ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่เยี่ย เจ้าคิดว่าข้าเตรียมมดตัวใหญ่ไว้แค่ห้าหกตัวน้อยเกินไปหรือเปล่า”
“ต้องดูว่าเจ้าจะทำอะไร ทำให้คนคนหนึ่งทุกข์ทรมานสักหน่อยมดแค่ห้าหกตัวก็เพียงพอแล้ว แต่หากอยากจะให้คนคนหนึ่งถูกกัดแทะเข้าไปถึงกระดูก จะใช้มดทั้งสำนักศึกษาก็คงไม่พอ มดทะเลทรายชนิดนี้ ถึงแม้ว่ามันจะกัดคนเก่ง แล้วยังมีพิษเล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่พิษ มันเรียกว่ากรดฟอร์มิก คล้ายกับกรดซัลฟิวริกที่ท่านอาจารย์ซุนสกัดออกมา เพียงแค่สองสามตัวก็คงไม่เพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อผู้คน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าอายุยังน้อยแถมยังร่ำรวย หลี่หยวนชังอาจจะเป็นคนที่เจ้าเกลียดที่สุด วันนั้นพี่ชายของเจ้าเล่าให้ข้าฟัง ดังนั้น ข้าจึงไม่ได้รู้สึกดีกับชายประเภทที่ร้ายกาจเข้ากระดูกเช่นนี้
เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเกิดความขัดแย้งกับเขาได้ ข้าเป็นขุนนางนอก แต่หากเป็นเจ้าก็ช่างมันเถอะ สองสามวันนี้ข้าคิดดูแล้ว ให้เจ้าไปต่อกรกับหลี่หยวนชังช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลา เขาอายุมากกว่าเจ้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับเจ้า หากเจ้าเคียดแค้นก็เป็นความผิดของเจ้า ต้าถังของข้าก่อตั้งขึ้นด้วยความกตัญญู หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องจมอยู่ใต้น้ำลายที่ท่วมท้น เช่นนั้นเจ้าจึงไม่ควรทำ”
“ข้าไม่สน ไม่ฆ่าเขาให้ตายคงชำระล้างความแค้นนี้ไม่ได้ หมาตัวเดียวไม่เป็นอะไร การกระทำของเขาทำให้ข้าฝันร้ายมานานแสนนาน ท่านแม่กล่อมข้าเข้านอนตั้งสองเดือนข้าถึงได้หยุดฝันร้าย เอ่อใช่ หากเจ้าเอาเรื่องที่ข้าฉี่รดที่นอนออกไปพูด อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าล่ะ”
“ไม่เห็นจะตลก เรื่องฉี่รดที่นอนไม่เห็นจะตลกเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวไท่ เจ้าไม่สังเกตหรือว่าฝันร้ายของเจ้าบวกกับการฉี่รดที่นอน ทำให้ความคิดของเจ้าเปลี่ยนไป? นี่คือโรคชนิดหนึ่ง รุนแรงมาก”
“แต่เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้ารับมือกับเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อข้า ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องเดือดร้อน ตอนนี้กองทัพกำลังสู้รบอยู่ข้างนอก ท่านพี่ของข้าก็อยู่ในกองทัพ ท่านพ่อก็กังวลเรื่องราชสำนัก ข้าทนไม่ได้ที่จะเพิ่มปัญหาให้กับท่านพ่อ”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและตบไหล่ของหลี่ไท่เบาๆ การสั่งสอนในหลายปีที่ผ่านมาในที่สุดก็แสดงผลลัพธ์ออกมาแล้ว หลี่ไท่ที่เห็นแก่ตัวในประวัติศาสตร์ได้หายไปแล้ว คำพูดเลวทรามที่ว่า ‘ฆ่าฟันพี่น้องด้วยกันเอง’จะไม่มีทางออกมาจากปากเขาอีกแล้ว สามารถลดร่องรอยของความมืดมน เพิ่มร่องรอยของแสงสว่างให้กับหนังสือประวัติศาสตร์ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง