จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 12-1
ไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนก็ตามที่พูดถึงความรัก ก็ยังไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับความรักได้อย่างชัดเจน บางครั้งถึงจะลึกซึ้งกินใจ แต่ก็ยังคลุมเครือ นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าความรู้สึกที่เรียกว่าความรัก มีความลึกซึ้งมากเสียจนไม่อาจบรรยายเป็นตัวอักษรได้
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนก็ยังฟังเพลงรัก แล้วก็ยืมคำของใครบางคนมากระซิบกระซาบบอกรักกัน ในบรรดาผู้คนมากมายที่พูดคำว่ารัก จะมีคนที่สามารถให้น้ำหนักกับคำๆ นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่หรือเปล่านะ บางทีอาจจะแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
หัวใจของฉันที่ชอบรุ่นพี่อีกงเองก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะนึกถึงท่อนร้องของเพลงฮิตเพลงไหนก็ตาม หรือจะเติมแต่งถ้อยคำสวยหรูใดๆ ลงไป ก็ไม่อาจจะบรรยายน้ำหนักภายในใจของฉันที่มีให้แก่รุ่นพี่ได้เลย
เซจินเคยนิยามฉันว่า ‘ยัยขี้กลัวที่มีความมุ่งมั่น’ ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจความหมายของมันเลยสักนิด แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดๆ แล้ว
มันก็คงเหมือนกับบัลเลต์นั่นแหละ ถึงแม้กลัวว่าจะล้มเหลว แต่ก็ยังพยายามกัดฟันสู้เพื่อที่จะไม่ให้เป็นเช่นนั้น หรือก็คือ แม้จะกลัว แต่ก็ไม่ยอมหนีเด็ดขาด ถ้านั่นมันหมายถึงความมุ่งมั่นล่ะก็ หัวใจดวงนี้ที่ยังคงชอบและคิดถึงรุ่นพี่เรื่อยมา แม้ว่าจะไม่กล้าแสดงความในใจออกไปตรงๆ ให้รุ่นพี่ได้รับรู้ มันก็น่าจะเป็นความมุ่งมั่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
“ฮวีกยอม วันนี้ฝากทำความสะอาดด้วยนะ!”
เสียงตะโกนของคุณป้าที่กำลังสวมรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูทำให้ฉันที่นอนมโนอยู่ที่โซฟากลับเข้าสู่ความเป็นจริงในทันที
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ!”
“งั้นป้าไปก่อนนะ!”
คุณป้ารีบโบกมือลาโดยไม่หันหลังกลับมามองฉัน แล้วออกจากบ้านไปพร้อมกับเสียงร้องเท้าที่เดินออกไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว เสียงส้นรองเท้าที่กระทบพื้นให้ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับความรู้สึกตื่นเต้นเวลาที่เด็กแอบมองโต๊ะเครื่องแป้งของแม่อะไรแบบนั้นล่ะมั้ง
วันหยุดที่ซาบซ่าเหมือนน้ำอัดลม ฉันดื่มด่ำไปกับความชิลและเพลิดเพลินไปกับแสงแดดอ่อนๆ ก่อนจะหันหน้าขวับกลับไปมองนาฬิกา วันนี้ฉันวางแผนจะแยกไปซ้อมเต้นเดี่ยวเมื่อโถงของอคาเดมีว่าง พอคิดๆ ไป การแสดงสุดท้ายที่จะได้ยืนอยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่ก็มาอยู่ตรงหน้าซะแล้ว
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้อยู่ตรงหัวขึ้นมา พอกดปุ่ม รูปพื้นหลังหน้าจอที่ถ่ายคู่กับรุ่นพี่ก็เด้งขึ้นมา รุ่นพี่อีกงที่ยิ้มแฉ่งขณะกำลังใส่ที่คาดผมรูปเขาปีศาจ และข้างๆ ก็คือฉันที่กำลังยิ้มแห้งๆ ขณะสวมที่คาดผมโบขนาดใหญ่ยักษ์
ฉันที่ค่อยๆ มองดูใบหน้าของรุ่นพี่ในหน้าจอ หลุดยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จนต้องกระแอมออกมาเบาๆ
ดวงตาของรุ่นพี่อีกงเป็นสีดำสนิท และฉันก็ชอบสีดำแบบนั้น ชอบทั้งรูปตาเรียวยาวของรุ่นพี่ ชอบทั้งนิ้วมือนั่นที่เหมาะกับการดีดเปียโนแบบสุดๆ ชอบทั้งริมฝีปากที่อุ่นอยู่ตลอดในตอนที่ประทับลงบนริมฝีปากของฉัน จู่ๆ ฉันก็คิดถึงรสจูบของรุ่นพี่บนดาดฟ้าขึ้นมาจนใบหน้าร้อนผ่าว
“ทำความสะอาด ต้องทำความสะอาดแล้วสิ”
ไม่ใช่ว่าจะมีใครมาอ่านความคิดฉันได้สักหน่อย แต่ฉันก็ยังรู้สึกเขินมากจนต้องรีบลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา
หลังจากเปิดประตูระเบียงเอาไว้ ฉันก็เริ่มดูดฝุ่น ขัดถูทีวีเก่าๆ เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ และของตกแต่งบ้านต่างๆ ทุกซอกทุกมุม ต่อจากนั้นก็เอาเสื้อผ้าที่แห้งแล้วไปพับเก็บไว้เป็นชั้นๆ ก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนบนพื้นห้องนั่งเล่นที่ถูกแสงแดดส่องลงมาจนอุ่น ความเงียบงันร่อนลงบนตัวของฉัน
“ลี-อี-กง”
ฉันเปิดปากเรียกชื่อรุ่นพี่ออกมา พลางเขียนชื่อของรุ่นพี่ด้วยปลายนิ้วลงบนอากาศ ฝุ่นละอองเล็กๆ ที่หลุดไปไม่หมดกระทบกับแสง แล้วส่องเป็นประกายขณะลอยอยู่ในอากาศ ดูแล้วอย่างกับเมล็ดของดอกแดนดิไลออนเลยแฮะ
“คิม-ฮวี-กยอม”
หลังจากที่ฉันเรียกชื่อตัวเอง พลางวาดนิ้วเช่นกัน ฉันก็วาดรูปหัวใจลงไประหว่างชื่อของตัวเองกับชื่อของรุ่นพี่ที่ถูกวาดไปเมื่อสักครู่ ทำไมกันนะ ทั้งนิ้วมือแล้วก็ใบหน้าถึงได้รู้สึกจั๊กจี้ไม่หยุด
“คิดถึงจัง”
ฉันรู้สึกคิดถึงใบหน้าของรุ่นพี่ที่เพิ่งจะเห็นไปเมื่อวานขึ้นมาแบบสุดๆ พอคิดถึงรุ่นพี่ทีไร ก็จะรู้สึกเจ็บนิดๆ ขึ้นมาที่หน้าอกทุกที ฉันกับรุ่นพี่กำลังคบกันอยู่ก็จริง แต่มันก็ยังน่าทึ่งอยู่ดีที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันคิดถึงรุ่นพี่ ฉันจะรู้สึกแน่นหน้าอกจนเจ็บขึ้นมา นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าชอบน่ะ
แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังไม่รู้เลยสักนิด ว่าคำว่า ‘รัก’ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
* * *
ข้างๆ หน้าต่างบานใหญ่ตรงปลายสุดของทางเดินในตึกอคาเดมี จะมีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเก่าๆ อยู่เครื่องหนึ่ง ในตอนที่ฉันแวะออกมาหาอะไรดื่มระหว่างซ้อมเต้นเดี่ยวช่วงบ่ายๆ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยตัวลง และความมืดก็เริมคืบคลานเข้ามา
หลังจากที่หยอดเหรียญเข้าไปในเครื่องแล้ว ฉันก็ยืนจ้องตัวอย่างของกระป๋องเครื่องดื่มอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ทำไมหมู่นี้ฉันมักจะชอบยืนเหม่ออยู่บ่อยๆ
เดี๋ยวนี้อาการปวดหัวเบาๆ ที่ปวดเป็นประจำเริ่มจะรุนแรงยิ่งขึ้น มันปวดไล่ตั้งแต่ข้างในหูไปถึงขมับ จนฉันต้องเอามือนวดเข้าที่ขมับ ก่อนที่จะค่อยๆ เอานิ้วกดปุ่มบนเครื่อง
ในตอนที่ฉันกดปุ่มเครื่องดื่มเกลือแร่พอดี จู่ๆ ก็มีมือๆ หนึ่งโผล่พรวดมาจากด้านหลังของฉัน ฉันที่ตกใจจึงกรี๊ดออกมา แล้วหันกลับไปมอง ท่าทางสะดุ้งโหยงของฉันคงจะดูน่าขำ จนคนๆ นั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น และก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรุ่นพี่อีกงนั่นเอง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันราวกับโกหกของรุ่นพี่ ทำให้ฉันได้แต่แสดงท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างไร้สติหนักเข้าไปอีก พลางทำได้แต่กะพริบตาขึ้นลง รุ่นพี่ที่อยู่ในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มแทนที่จะเป็นชุดฝึกซ้อมตามปกตินั้น ดูแปลกตาพิลึก
“เธอนี่ตกใจเก่งจริงๆ”
รุ่นพี่เริ่มต้นประโยคด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบเครื่องเกลือแร่ที่กำลังหล่นลงมาจากเครื่องพอดี แล้วเปิดมันก่อนจะยื่นมาให้ฉัน ฉันรับมันไว้ด้วยสีหน้างุนงง ความเย็นของกระป๋องเครื่องดื่มที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ เย็บวาบเข้ามาเต็มฝ่ามือ
“มาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอคะ ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมา”
อุตส่าห์เค้นคำพูดออกมาแท้ๆ แต่ทำไมคำพูดมันถึงไม่ตรงกับหัวใจกันนะ รุ่นพี่ส่งสายตาไปทางห้องสตูดิโอบีพลางพูดขึ้น
“ซ้อมน่ะ”
น้ำเสียงแหบพร่าชวนหลงใหล น้ำเสียงที่ดูเหนื่อยอ่อนนั่นทำให้หัวใจของฉันเต้นตึกตักอีกครั้ง ฉันได้แต่ยืนกระดกกระป๋องเครื่องดื่มอยู่อย่างนั้น เสียงอึก อึก ของเครื่องดื่มที่ไหลลงคอดังไปทั่วโถงทางเดิน
“ดูเหมือนเธอจะซ้อม Le Corsaires อยู่สินะ”
“ค่ะ ก็เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้วนี่คะ…”
“พี่ช่วยซ้อมปาเดอเดอให้ไหมล่ะ”
อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็หันมามองทางฉัน แล้วเอ่ยถามขึ้น คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉันตกใจจนไอโขลกๆ ออกมา พร้อมกับหันไปมองหน้ารุ่นพี่ แต่รุ่นพี่กลับส่งยิ้มบางๆ พลางลูบหัวของฉันกลับมาแทน
แสดงปาเดอเดอกับรุ่นพี่งั้นเหรอ ถึงอีกฝ่ายจะเพียงแค่ช่วยซ้อมให้ แต่หัวใจที่เต้นไม่หยุดของฉันก็ค่อยๆ ร้อนวาบขึ้นมา รุ่นพี่ยื่นมือมาให้ฉันพร้อมกับพูดขึ้น
“ไปกันเถอะ”
คำชวนว่า ‘ไปกันเถอะ’ อย่างกะทันหันของรุ่นพี่ ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาว่า มันให้น้ำหนักของความรู้สึกที่พอดีอยู่เสมอ คือไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป แต่เป็นน้ำหนักที่พอเหมาะพอเจาะ นี่คงเป็นความเชื่อใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้มั้ง
“รุ่นพี่”
“หือ?”
“…ชอบนะคะ”
ฉันดันเผลอพูดออกมาซะแล้วสิ ทำไมกันนะ ฉันคิดว่าพอได้ฟังคำพูดที่มีน้ำหนักพอดีๆ นั่น ฉันเองก็น่าจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกไปใน คำพูดได้อย่างพอดิบพอดีเช่นกัน ระยะเวลาสั้นๆ หลังจากที่คำๆ นั้นหลุดจากปากของฉันไป มันกลับดูยาวนานเสียเหลือเกิน
แต่วินาทีที่คำพูดอันกล้าหาญนั่นกระทบลงที่ใบหู ฉันก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันที ว่าแล้วว่าฉันไม่อาจจะส่งไปได้ถึง ฉันไม่อาจจะส่งคำพูดที่ใส่น้ำหนักของความรู้สึกชอบลงไปได้อย่างดีพอ
แล้วทันใดนั้นเอง รุ่นพี่ก็เอื้อมมือมากุมมือของฉันไว้ มือที่แข็งแกร่งนั่นเย็นเฉียบและกำลังสั่นเล็กน้อย ทำให้ดวงตาที่ก้มมองต่ำเหลือบมองขึ้นไปข้างบน จนได้เห็นว่าดวงตาที่สั่นไหวของรุ่นพี่กำลังจ้องมองมาที่ดวงตาของฉัน
“พูดอีกทีสิ”
คำพูดที่ไม่คาดคิดของรุ่นพี่ทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจนไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ริมฝีปากที่เมื่อกี้ยังขยับขึ้นลงตามใจตัวเองอยู่นั้นกลับแข็งทื่อไปจนถึงโคนลิ้นโดยไม่มีสาเหตุ
“เร็วสิ”
รุ่นพี่คำรามออกมาอย่างโมโหเป็นการเร่งรัด ทำให้ฉันได้แต่พยายามขยับริมฝีปากที่แปลงร่างเป็นเหล็กอันหนักอึ้งอย่างสุดแรง
“…ชอบนะคะ”
เสียงที่ฟังดูประหลาดกว่าครั้งแรกดังขึ้น ฉันเองก็อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองออกไปอยู่หรอก แต่ก็มีเพียงแต่เสียงที่ไร้เรี่ยวแรงเท่านั้นที่ถูกเปล่งออกไป รุ่นพี่ที่ไม่เข้าใจความรู้สึกค้างคาใจของฉัน ยังคงเอาแต่กวักมือ แล้วเรียกให้ฉันพูดอีกๆ อยู่อย่างนั้น
ฉันสูดหายใจลึกเข้าไปจนเต็มปอด แล้วขยับริมฝีปากอย่างตั้งใจ
“ฉันชอบพี่นะคะ”
วินาทีนั้น ร่างกายของฉันก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่ ฉันสัมผัสได้ว่ามือของรุ่นพี่ที่เคยดึงแขนของฉัน ขยับมาโอบที่คอของฉันในพริบตา
ฉันตกใจเกินกว่าจะส่งเสียงใดๆ ออกมา และได้แต่กลืนลมหายใจที่พ่นออกมาจากริมฝีปากกลับลงคอไป จนเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของรุ่นพี่ที่เต้นอย่างแรง อ่า หัวใจของรุ่นพี่กำลังเต้นรัวไม่หยุดเลย เหมือนกับหัวใจของฉันไม่มีผิด
“เกินไปแล้ว เธอน่ะ นี่มันผิดกติกานะ”
เสียงของรุ่นพี่ที่กระซิบอยู่ข้างๆ ใบหูกำลังสั่นเครือ ฉันเคยได้ยินน้ำเสียงปนเขินแบบนี้ของรุ่นพี่มาก่อนหรือเปล่านะ
มือข้างหนึ่งของรุ่นพี่โอบไหล่ของฉันเอาไว้ และมืออีกข้างก็โอบอยู่ที่ต้นคอของฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของรุ่นพี่ ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของรุ่นพี่ยังคงเต้นเร็วอยู่
“ถ้าพูดคำแบบนั้นในที่แบบนี้ พี่ก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากกอดเธอน่ะซิ”
รุ่นพี่ที่บ่นพึมพำเหมือนกับเก็บกดอะไรบางอย่างเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ ผละฉันออกจากอ้อมอกช้าๆ กลิ่นสดชื่นของเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ไหล่ออกมาจากกระป๋องที่ร่วงลงพื้นโชยมาแตะจมูก สักพักใหญ่ๆ กว่าที่ฉันจะรวบรวมความกล้าเหลือบสายตาขึ้นไปมองดวงตาของรุ่นพี่ที่กำลังพองโตและสั่นไหวไม่หยุด
พอดีกับที่คาบเรียนดูเหมือนจะจบลงพอดี เมื่อประตูห้องโถงเอถูกเปิดออก เหล่านักเรียนที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก็พากันเดินออกมาที่ทางเดิน สายตาของรุ่นพี่ที่สั่นไหวอย่างเร่าร้อน ยังคงหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกของฉัน ก่อนจะจากไป
รุ่นพี่ก้มตัวลงไปหยิบกระป๋องที่กลิ้งอยู่บนพื้น แล้วบี้มันก่อนจะใส่ลงไปในถังขยะ หลังจากนั้นเขาก็จ้องมองฉันอย่างช้าๆ แล้วส่งยิ้มบางๆ ให้
“ไปกันเถอะ”
น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่กลับมาสุขุมอีกครั้งได้กระซิบลงที่ข้างใบหูของฉัน พร้อมกับคำพูดว่า ‘ไปกันเถอะ’ ที่ยังคงแฝงไปด้วยน้ำหนักที่พอดิบพอดี
* * *