จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 2-2 คืบเดียว
ชั่วขณะที่ฉันคิดว่าตาฝาดไป ฉันจ้องไปยังจุดที่พวกเขาหายตัวไป แล้วกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ อีเซพยายามเร่งเร้าฉันให้รีบเข้าไปได้แล้ว ถึงแม้ฉันจะถูกลากเดินไปตามแรงมือของเขา แต่ฉันก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากที่ตรงนั้นได้
แล้วฉันก็รู้สึกได้ว่าจู่ๆ เงาของชายร่างสูงก็โผล่ขึ้นมาท่ามกลางผู้คนและส่งสายตามาที่ฉัน ช่วงที่ฉันกำลังนึกว่าสายตาคู่นั้นคล้ายกับใคร ใบหน้าของคนที่ฉันรู้จักก็โผล่ขึ้นมาจากในเงานั้น เขาคือชเวซูฮยอนนั่นเอง
“…เอ๋”
เป็นอีกครั้งที่ฉันสงสัยว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่ ซูฮยอนที่ยืนห่างไกลออกไปกลับสะดุดตาอย่างชัดเจนราวกับรูปภาพ ใบหน้าที่ไร้สีหน้า สายตาที่เหมือนกับจะผูกมัดร่างกายเอาไว้ และที่ปลายของสายตานั้น…
“นี่ คิมฮวีกยอม!”
แม้ว่าฉันจะได้ยินเสียงของอีเซที่เรียกฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถขยับตัวไปได้ การที่หัวใจเต้นแรงจนไม่สามารถรับมือได้ มันอย่างกับว่าคนภายนอกเองก็มองเห็นการเต้นของหัวใจฉันได้ด้วยตาเปล่าเหมือนกัน และสิ่งที่อยู่ปลายสายตาของซูฮยอน ก็คือภาพข้างหลังของรุ่นพี่อีกงและเซจิน
ซูฮยอนค่อยๆ เดินไปจนถึงข้างหน้าประตู เพื่อจะได้ไม่คลาดสายตาไปจากทั้งสองคนนั้นที่หายวับเข้าไปข้างในโรงภาพยนตร์ แต่ไม่นานเท้าคู่ที่สวมรองเท้า Converse ยับๆ ก็ออกอาการลังเล แล้วหยุดยืนอยู่เฉยๆ หมอนั่นยืนอยู่ที่เดิมไกลๆ เหมือนเมื่อครู่ แล้วทำเพียงแค่จ้องมองอย่างกับจะเจาะทะลุประตูโรงภาพยนตร์
“นั่นมันชเวซูฮยอนไม่ใช่เหรอ”
ดูท่าอีเซเองก็คงเห็นซูฮยอนแล้วเหมือนกัน เขาทำท่าทางสงสัย ก่อนจะหยิบป๊อปคอร์นของตัวเองที่ฉันกอดอยู่ไป แล้วดึงมือของฉันเพื่อเป็นการเร่ง
“เข้าไปกันเถอะ หนังฉายแล้ว”
แผ่นหลังของซูฮยอนที่ดูเหมือนจะล้มพับลงไปซะเดี๋ยวนั้นค่อยๆ ไกลห่างออกไป ฉันปิดบังความรู้สึกสับสนเอาไว้ แล้วได้แต่กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ทั้งหัว ทั้งใจยังคงขึ้นๆ ลงๆ วนเวียนไปมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
ซูฮยอนไม่ได้มาดูหนังกับใครหรอก รองเท้าที่ยับยู่ยี่ เสื้อผ้าที่กระเซอะกระเซิง มืออันว่างเปล่าที่ไม่ได้ถือตั๋วหรือแม้แต่ป๊อปคอร์น อีกทั้งสายตาของเขาที่ฉันได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายนั่น ดูออกได้อย่างชัดเจนว่ามันสั่นไหวรุนแรงกว่าปกติ ถึงจะเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดได้ แต่ว่านั่นน่ะ…
“นี่ ทำไมวันนี้เธอเหม่อลอยบ่อยจัง ง่วงเหรอ”
“หือ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
ฉันนั่งพิงเก้าอี้โรงภาพยนตร์ พร้อมกับบิดฝาขวดเครื่องดื่มวิตามินที่ถืออยู่ เสียงแกร๊กที่ดังออกมาได้กลืนกินความเงียบเข้าไป หนังแอคชั่นสุดตระการตาที่นำเสนอมุมมองภาพที่ตื่นเต้นเร้าใจอัดแน่นเต็มจอภาพยนตร์ยักษ์ พร้อมกับเสียงดังอึกทึกครึกโครม ส่วนอีเซก็ยังคงหยิบป๊อปคอร์นเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังโฟกัสไปที่จอที่กำลังฉายภาพออกมา
ฉันที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอึดอัดที่หน้าอกขึ้นมา จึงเอามือข้างซ้ายมากดเอาไว้เบาๆ พลางถอนหายใจเงียบๆ ฉันไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ตัวภาพยนตร์ยังคงนำเสนอเสียงประกอบและฉากแอคชั่นอันเร้าใจตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ฉันกลับไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้เลยตลอดเวลาที่ภาพยนตร์ฉายอยู่บนจอกว่าสองชั่วโมง ทั้งภาพข้างหลังของรุ่นพี่อีกง ใบหน้าแดงระเรื่อของเซจิน แล้วก็ดวงตาของซูฮยอนที่ดูเศร้าอย่างไร้เหตุผล ยังคงเอาแต่วนเวียนอยู่ภายในหัวของฉันไม่ยอมหยุด
* * *
เหตุการณ์เล็กๆ นั่นยังคงหลงเหลือร่องรอยจางๆ ทิ้งเอาไว้ให้ฉันนึกสงสัยว่านั่นคือฝันหรือเปล่า ก่อนที่ในไม่ช้ามันจะถูกลบหายไปจากความทรงจำ ทั้งรุ่นพี่อีกง ทั้งเซจินยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แม้แต่ซูฮยอนเองก็ด้วย
ฉันไม่กล้าแม้แต่จะแกล้งถามเซจินว่าไปดูหนังกับรุ่นพี่อีกงมาเมื่อวันหยุดเหรอด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะในตอนที่ฉันจะเริ่มพูด น้ำตามันก็เหมือนจะเอ่อล้นออกมา แม้ว่าฉันจะไม่รู้เหตุผลก็ตาม
“ฮวีกยอม”
เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่อีกงทำให้ฉันได้สติในทันที ระหว่างที่ฉันอุทานออกมา ดันอยู่ในช่วงเปลี่ยนจังหวะ และดูเหมือนฉันจะเต้นพลาดไม่สอดคล้องกับรุ่นพี่ฮยอนจุนที่รับบทเป็นรังเดม ถึงฉันจะรีบจับมือของรุ่นพี่ฮยอนจุนอย่างลนลาน แต่นั่นมันก็เป็นหลังจากที่ความไหลลื่นได้แตกกระเจิงไปแล้ว
“เป็นอะไรน่ะ มีสมาธิหน่อยสิ”
เสียงของรุ่นพี่อีกงที่เหมือนกับกำลังอยู่ในความโกรธนั่น ถึงจะเบา แต่ก็สร้างแรงกดดันให้ฉัน บางทีสำหรับฉันแล้ว มันคงจะยิ่งกดดันหนักเข้าไปอีก สำหรับคนอื่น นี่อาจจะเป็นเพียงแค่เสียงที่เหมือนกับโดนเข็มจิ้ม แต่สำหรับฉัน มันเหมือนกับการถูกมีดคมๆ สักเล่มปักลึกเข้าไป ฉันกัดริมฝีปากไว้แน่น พลางก้มหน้าหงอ
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”
สัมผัสมือของรุ่นพี่อีกงที่แตะตัวฉัน ช่างอ่อนโยนแตกต่างกับน้ำเสียงที่หนักแน่น รุ่นพี่จับไหล่ของฉัน แล้วค่อยๆ มองพิจารณาที่ใบหน้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็มักจะได้กลิ่นอาคาเซียออกมาจากตัวรุ่นพี่เสมอ
ระยะห่างระหว่างรุ่นพี่ที่จู่ๆ ก็ใกล้เข้าเริ่มแคบขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกหวิวจนต้องหลับตาเอาไว้แน่น มือของรุ่นพี่เลื่อนจากหัวลงมา ลูบไล้ผ่านแก้ม จนมาจบลงตรงที่คาง นั่นเป็นตอนที่ฉันลืมตาที่หลับอยู่ขึ้นมาพอดี
“เป็นไข้เหรอ หน้าแดงเชียว”
ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของรุ่นพี่อีกงกำลังอยู่ที่ตรงหน้า ฉันรีบส่ายหัว
“ปะ เปล่านะคะ ฉันขอใหม่อีกรอบค่ะ”
“…วันนี้แค่นั่งพักก่อนก็แล้วกัน”
รุ่นพี่พูดตัดบทอย่างชัดเจน ก่อนจะยืดลำตัวที่กำลังโค้งอยู่ให้กลับมาตั้งตรง แล้วเดินห่างจากฉันไป ไหล่อันสง่าผ่าเผยของรุ่นพี่ซึ่งยืนหันหลังให้ฉัน ได้ซ้อนเข้ากับภาพแผ่นหลังในวันนั้น ฉันรู้สึกว่าน้ำตาเหมือนจะไหลออกมา จึงพยายามสั่งดวงตาให้อดกลั้นอย่างสุดกำลัง
“จะเริ่มล่ะนะครับ”
เสียงอันรื่นเริงที่เข้ากับจังหวะเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ฉันที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องซ้อมเต้น และจ้องมองการแสดงปาเดอเดอของรุ่นพี่อีกงและรุ่นพี่โซยอน การเต้นรำอันงดงามของทั้งสองคนที่ดูเหมาะสมกัน ช่างพลิ้วไหวไปกับแสงอาทิตย์ตกดินที่สาดส่องเข้ามาในห้องซ้อม
แต่แล้วในทันใดนั้น ใบหน้าอันใสซื่อของรุ่นพี่โซยอนก็ดันทับซ้อนเข้ากับเซจินในวันนั้น ฉันส่ายหัว แล้วเอามือตบแก้มทั้งสองข้าง มือที่เปียกไปด้วยเหงื่อผละออกไปแล้ว หลังจากที่หลงเหลือความรู้สึกเสียดายทิ้งเอาไว้
ยัยบ้า ยัยบ้า ยัยบ้า
เหมือนอย่างกับว่า แผ่นหลังของรุ่นพี่อีกงได้ยิงลูกศรแห่งความเงียบงันมาใส่ฉัน ฉันกุมหน้าอกที่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงเอาไว้ คงต้องยอมรับ ว่าไม่มีอะไรสักอย่างที่ฉันทำได้สำเร็จเลย
อย่างน้อย ฉันก็อยากจะทำการแสดงนี้ที่รุ่นพี่บอกว่าจะตั้งตารอออกมาให้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเป็นคู่เต้นของรุ่นพี่ได้ แต่ฉันก็ยังอยากจะเห็นรอยยิ้มของรุ่นพี่ ได้ยินคำชมของรุ่นพี่ที่บอกว่า ทำดีมาก ฮวีกยอม อย่างน้อยฉันก็อยากจะได้ยินคำนั้น
ทั้งการฝึกพละกำลังที่หนักขึ้น ทั้งเวลาฝึกซ้อมที่ยาวนานขึ้น ฉันได้แต่คิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้วก็อดทนเอาไว้ แต่สุดท้ายฉันก็ไม่อาจสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไปได้ แล้วก็มาจบลงในสภาพเลวร้ายแบบนี้ ฉันก้มหัวลง แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงไปนองที่พื้นห้อง
บ้า บ้า บ้าที่สุด
ฉันเอาแต่ร้องไห้ง่ายๆ แบบนี้อีกแล้ว
“ฮวีกยอม”
ถ้าเรียกชื่อของฉันด้วยความอ่อนโยนแบบนั้น ทั้งตัวของฉันคงจะละลายแล้วก็กลายเป็นน้ำตากันพอดีน่ะสิ ฝ่ามือของรุ่นพี่อีกงเอื้อมมาจับใบหน้าของฉันที่ไม่อาจเงยขึ้นมาได้อย่างระมัดระวัง ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ห้องซ้อมเต้นที่ไม่มีใครอยู่แล้ว การฝึกที่จบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด รุ่นพี่อีกงยังคงลูบหัวฉัน แล้วก็ลูบหัวฉันต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่เช็ดใบหน้าที่เปียกปอนของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งความอ่อนโยนที่เกินจำเป็น ทั้งสัมผัสที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งการที่ไม่ยอมปล่อยฉันไป รุ่นพี่อีกงเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะเกลียดแต่ก็ทำให้รู้สึกคาดหวัง ด้วยความรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องนั้น ฉันจึงระเบิดน้ำตาออกมาพร้อมเสียงร้องไห้งอแง
“ขี้แงจริงๆ เลยนะ”
มือของรุ่นพี่ตบลงเบาๆ ที่หลังของฉัน พร้อมกับเสียงหัวเราะสั้นๆ ที่เหมือนจะบอกว่า ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ มือนั้นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ จนไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ไปนานแค่ไหน ในตอนที่แสงที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดบนท้องฟ้ายามเย็นได้ถูกกลืนกินไปอย่างสมบูรณ์ ห้องซ้อมเต้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดดำที่เป็นประกาย จู่ๆ ก็มีแสงวิบวับขึ้นมา
“…เอ่อ รุ่นพี่คะ”
น้ำเสียงที่ปิดด้วยหางเสียงที่มีเอกลักษณ์นั่น เป็นเสียงของเซจินนั่นเอง ฉันพยายามลืมตาที่บวมเป่งขึ้นมา แล้วหันไปมองทางประตูตามที่เสียงดังเข้ามา คงเป็นเพราะเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เส้นผมที่ยังไม่แห้งดีจึงติดอยู่บนใบหน้าขาวๆ ของเซจิน
“เซจินนี่เอง ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่า…”
“รอฮวีกยอมอยู่งั้นเหรอ”
ฉันสบตากับเซจินที่เหมือนจะอ่านสถานการณ์ออก นิ้วมือที่เปิดสวิตช์ไฟแฝงไปด้วยความลังเล ‘เปล่าค่ะ มารอรุ่นพี่ต่างหากล่ะคะ’ ฉันคิดในใจพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เซจินน่ะโกหกไม่เป็นหรอก
ฉันมองเซจินที่ไม่สามารถตอบคำถามของรุ่นพี่อีกงได้ด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะสูดหายใจเข้า พลางลุกออกจากที่ ส่วนรุ่นพี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าฉันเองก็ลุกตามมาเช่นกัน
“รีบกลับไปพักผ่อนเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“ค่ะ”
“รีบมาล่ะ”
รุ่นพี่ตบหลังฉันเบาๆ ด้วยมือที่เย็นและเปียกเหงื่อ พลางยิ้มเล็กๆ ฉันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะรีบยัดของใส่กระเป๋าแล้วออกจากห้องซ้อมเต้นไป หลังจากนั้นเซจินจึงวิ่งตามหลังฉันมาอย่างเหนื่อยหอบ
“นี่ เป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“…”
“ถูกรุ่นพี่ดุเหรอ”
ฉันส่ายหน้าอย่างเต็มแรง เซจินไล่ตามฉันซึ่งเดินตัดสนามกีฬาไปอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก ฉันสัมผัสได้ว่าเธอลังเลใจ พลางหันกลับไปมองดูข้างหลัง ตอนนี้ ในเวลานี้ ไม่ว่าจะรุ่นพี่อีกงหรือเซจิน ฉันก็รู้สึกว่าพวกเขาทั้งไกล แล้วก็เย็นชาเสียยิ่งกว่าดวงจันทร์ที่กำลังเต็มดวงเสียอีก
ฉันเหยียบลงบนทรายที่กระทบเท้าอย่างเต็มแรง แต่ละก้าว แต่ละก้าวที่เดินไป ฉันได้แต่กลืนสิ่งต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มปากกลับลงไปในลำคอ อากาศของคืนวันนี้ ช่างดูชื้นและหนักเป็นพิเศษจริงๆ
* * *
พออาบน้ำเสร็จแล้วเดินเข้ามาในห้อง ฉันก็สัมผัสถึงความเย็นสบายของอากาศยามค่ำคืนของกลางฤดูร้อนที่ไหลเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ได้อย่างชัดเจน ดนตรีสงบๆ กำลังดังออกมาจากลำโพงที่เปิดเอาไว้
ฉันจมดิ่งเข้าไปในห้วงแห่งอารมณ์ ก่อนจะเปิดหน้าต่างให้อ้ากว้างมากยิ่งขึ้น ในบ้านสองชั้นที่มีกำแพงเตี้ยๆ หน้าต่างห้องของฉันที่อยู่ปลายสุดของบ้านกลับใหญ่มหึมา แม้ว่าจะเป็นคืนที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ แต่ดวงจันทร์เต็มดวงสีขาวก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาจากเมฆ
ฉันนั่งพิงขอบหน้าต่างที่ทำจากไม้เก่าๆ พร้อมกับฮัมเพลงที่ดังออกมาจากลำโพง
“รัก รัก รัก”
มนุษย์จะต้องเติบโตถึงขนาดไหนกันนะ ถึงจะสามารถพูดคำสั้นๆ คำเดียวนี้ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่เต็มอก เพราะถึงหัวใจจะเต้นระรัวจนเหมือนกับจะระเบิดออกมา แต่คำว่ารักก็ไม่ยอมออกมาเหมือนอย่างที่ใจคิด อย่างกับว่าความรู้สึกแบบไหนก็ตามที่ฉันรู้สึก มันมักจะไม่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด
“รุ่นพี่อีกง”
หากจะเรียกชื่อนี้ ชื่อนี้ก็มักจะติดอยู่ที่ลำคอ และกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก ชื่อนั้นก็จะดังออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังแทน
“…รักนะคะ”
ไม่ว่าจะฝึกเป็นร้อยรอบหรือพันรอบ หัวใจก็ไม่อาจสงบได้เลยสักนิด ฉันขยี้ตาที่บวมเป่งด้วยมือทั้งสองข้างอย่างสุดแรง และรู้สึกเขินอายกับน้ำเสียงของตัวเองจนต้องรีบเร่งเสียงลำโพงให้ดังขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มฮัมเพลงอีกครั้ง เสียงดนตรีดังจนกลบเสียงแหบๆ ของฉัน แล้วลอยออกไปข้างนอกหน้าต่าง
ดวงจันทร์ที่โผล่หน้าออกมาจากก้อนเมฆอีกครั้งช่างสว่างจ้า ฉันลองค่อยๆ ยื่นมือไปทางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างให้แก่ตรอกซอกซอยได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าไฟริมถนน ในตอนที่ฉันโยกตัวไปตามแสงจันทร์ที่เหมือนกับจะสามารถจับต้องมันได้ ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากท้ายซอยที่มืดมิด
ซอยในละแวกบ้านที่ปกคลุมไปด้วยความมืดนั้นมักจะเงียบสงบ ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง ฉันก้มลงมองไปยังซอยที่ได้ยินเสียงเพลงดังออกมา แม้ว่าเสียงดนตรีที่เปิดจะดังมาก แต่เสียงนั้นที่ดังก้องกังวานออกมาก็ไม่ได้ถูกกลบไปเลย เสียงนั้นทั้งนุ่มนวล สดใสและอบอุ่น ฉันยืนเหม่อจ้องไปในความมืด แล้วทันใดนั้นเอง เสียงดนตรีนั้นก็หยุดลง
“ฝันดีนะ ฮวีกยอม”
หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงอันอ่อนโยนราวกับเป็นเรื่องโกหก นั่นคือเสียงของรุ่นพี่อีกง ฉันมองไปที่ซอยนั้นด้วยแววตาตกใจ และมองเห็นเงารางๆ ที่เหมือนจะเป็นรุ่นพี่อีกงแวบๆ ในความมืด
ทั้งความอ่อนโยนที่เกินจำเป็น ทั้งสัมผัสที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งการที่ไม่ยอมปล่อยฉันไป รุ่นพี่อีกงเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ
อยู่ๆ หัวใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็สามารถรับรู้ได้ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทั้งความอ่อนโยนที่เกินจำเป็น ทั้งสัมผัสที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งการที่ไม่ยอมปล่อยฉันไป รุ่นพี่อีกงเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ นั่นคือเรื่องจริงอย่างที่สุด