จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 20-1
เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียวก็ย่างเข้าสู่ช่วงปิดเทอมฤดูหนาว และหมู่นี้ฉันก็กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้เป็นพาร์ทเนอร์ที่คู่ควรกับรุ่นพี่ และเพื่อจะได้เป็นนักเต้นผู้สง่าผ่าเผย เพราะอย่างนั้นทุกๆ วันจึงมีความหมายมากสำหรับฉัน
ฉันประคองแก้วมัคที่ใส่นมซึ่งเริ่มจะเย็นลงหน่อยๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเป่าไอร้อนจากถ้วย แล้วนั่งมองดูแสงสีส้มมันวาวของตะวันตกดินที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง สีส้มเข้มๆ นั่นเหมือนกับจะย้อมสีเล็บให้เปลี่ยนไปหากเอามือไปทาบไว้
เมื่อได้เห็นแสงตะวันตกดินสีส้มที่ลอดเข้ามาทางช่องว่างเล็กๆ ระหว่างหน้าต่างกับขอบหน้าต่างเก่าๆ จู่ๆ มันก็ทำให้ฉันนึกถึงความทรงจำของฤดูร้อนในวันนั้นที่ฉันเป็นไข้ขึ้นมา เย็นของฤดูร้อนวันนั้นที่รุ่นพี่มาหาฉัน
พอเปิดหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ให้อ้าออกเต็มที่ อากาศภายในห้องที่เคยอบอุ่น ก็ปะทะเข้ากับอากาศภายนอกอันเย็นยะเยือกของเดือนธันวาคม อากาศจึงสั่นไหวแปลกพิลึก
ฉันกลัดคอเสื้อคาร์ดิแกนที่กำลังใส่อยู่ พร้อมกับตัวที่กำลังหนาวสั่นเล็กๆ ความหนาวเนี่ย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่เคยชินกับมันสักที
สิ่งที่ฉันถูกใจที่สุดตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ก็คือจุดที่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของฤดูกาลจากอากาศได้อย่างง่ายดาย ฉันจำได้ว่าเคยอ่านมาจากที่ไหนสักที่ ว่าสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้ในความทรงจำด้วยประสาทรับกลิ่น จะคงอยู่เป็นเวลานานโดยไม่จางหายไปไหน เรียกได้ว่ามันเป็นวีธีที่สามารถใช้จดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุด
เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอดีตที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก แต่พอนึกถึงความทรงจำที่มีร่วมกันกับรุ่นพี่แล้ว กลิ่นของฤดูร้อนก็จะลอยมาเป็นอันดับแรก
“บรื๋อ หนาวจัง”
ฉันรีบปิดหน้าต่าง แล้วมานั่งลงที่โต๊ะอีกครั้ง บนโต๊ะหนังสือมีไดอารีที่ถูกเขียนเอาไว้วางกางอยู่
ฉันเอาผ้าห่มพาดที่หน้าตัก พลางหยิบดินสอขึ้นมาถือ ฉันมักจะกัดลงที่ปลายดินสอจนติดเป็นนิสัย ขณะที่บันทึกเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของวันนี้อย่างแน่นเอี้ยดลงไปเต็มไดอารี ว่าหลังจากตื่นแต่เช้าตรู่ก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย พอกินอาหารกลางวันกับคุณป้าที่หยุดงานหลังจากที่ไม่ได้หยุดมานาน ฉันก็ไปที่อคาเดมี่ และก็เป็นอีกวันธรรมดาวันหนึ่งที่ฉันกลับมาบ้านพร้อมกับรุ่นพี่
“มีความสุขจังเลย”
พอเผลอพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันก็รู้สึกถึงมันขึ้นมาจริงๆ ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขสุดๆ เลยละ
“ว่าแต่ วันนี้มันวันที่สามสิบเอ็ดนี่นา”
ที่ปลายสุดของหน้าจอหลักในโทรศัพท์มือถือ มีตัวหนังสือที่เขียนว่าวันที่ 31 ธันวาคมเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นเพราะทุกๆ วันผ่านไปเหมือนเดิม เลยเหมือนกับว่าวันสำคัญต่างๆ จะหายไปด้วย ไม่รู้สิ ฉันกลับไม่รู้สึกเลยว่าอาทิตย์ดวงใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาตรงหน้านี้จะเป็นของจริงน่ะ ขณะที่นั่งเท้าคางอย่างเหม่อลอย ฉันก็จ้องมองไปที่ตัวหนังสือที่เขียนว่าวันที่ 31 ธันวาคม
ในตอนนั้นเอง เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความใหม่ที่เด้งขึ้นมาบนรูปใบหน้าของฉันกับรุ่นพี่ ฉันที่กำลังจ้องมองไปที่หน้าจออย่างไม่สนใจอะไรกลับตกใจเสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันจนถึงกับสะดุ้ง แล้วจึงมองไปยังหน้าต่างข้อความ
[เราไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นกันเถอะ]
พริบตานั้น ฉันพยายามสงบจิตสงบใจที่เต้นตึกตักพลางลุกพรวดขึ้นจากที่ คนที่ส่งข้อความมาก็คือรุ่นพี่อีกงนั่นเอง
* * *
สถานีรถไฟชองนยางนีที่ฉันเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ก็ยังแน่นขนัดไปด้วยคลื่นมนุษย์จำนวนมาก ฉันถือตั๋วที่เขียนว่าสถานีจองดงจินเอาไว้ในมือ ขณะที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางฝูงชน พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุด
หนาวเนอะ รุ่นพี่ถามขณะที่เอากระป๋องโกโก้ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใส่มือฉันที่สวมถุงมืออยู่ คงเพราะเพิ่งเอาออกมาจากตู้ทำความร้อน กระป๋องโกโก้ถึงได้ยังอุ่นๆ เหมือนกับก้อนหินที่ถูกแสงแดดในฤดูร้อนแผดเผา
“ผู้คนเยอะจริงๆ ด้วย คนอื่นๆ เองก็คงจะไปดูอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันสินะ”
“น่าจะอย่างนั้นนะคะ แต่ว่าทำไมถึงยังมีตั๋วเหลืออยู่กันนะ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ นี่น่ะ เป็นตั๋วที่จองเอาไว้ล่วงหน้าต่างหาก”
“เอ๋?”
ฉันจ้องมองไปที่รุ่นพี่อย่างตกใจ ท่าทางของฉันคงจะดูตลก รุ่นพี่จึงขำตัวงอ พร้อมกับเคาะเบาๆ ลงบนผมของฉันที่มัดขึ้นไปเป็นก้อนกลมๆ อยู่กลางหัว ก่อนจะพูดขึ้น
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีนะ แถมนี่ยังเป็นตั๋วสายจองดงจินด้วย คิดว่าพี่จะหามันมาได้ภายในวันนี้เลยงั้นเหรอ”
“…ทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้าก่อนละคะ ถ้าเกิดฉันไปไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไงละคะ”
“ก็เพราะว่ามันน่าจะตื่นเต้นกว่าน่ะสิ ถ้าชวนออกมาอย่างกะทันหันน่ะ”
พอฉันทำปากจู๋ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างเขินอาย รุ่นพี่ก็ตอบกลับมาหน้าตาย ท้ายที่สุด มันเลยทำให้ฉันตอบกลับไปว่า มันก็จริงเนอะ พลางหัวเราะในลำคอ
ข้างในรถไฟที่มีผู้คนแน่นเอี้ยดเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คู่รัก ครอบครัว เพื่อน… แต่ละคนต่างก็คงจะกำลังขึ้นรถไฟเพื่อไปดูอาทิตย์ของวันใหม่พร้อมกับคนสำคัญสินะ และฉันเองก็เช่นกัน ความจริงที่ว่าในเวลานี้ คนที่นั่งอยู่เคียงข้างฉันก็คือรุ่นพี่อีกงนั้นทำให้หัวใจของฉันอิ่มเอิบขึ้นมาในทันที
“คงจะเหนื่อยน่าดู นอนพักสักหน่อยเถอะ อีกตั้งห้าชั่วโมงแน่ะ”
“แต่ว่าอีกแป๊บนึงก็จะวันที่หนึ่ง มกราคมแล้วนะคะ ก็ต้องอยู่สวัสดีปีใหม่รุ่นพี่ก่อนสิ”
ทันทีที่ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นกว่าปกติจนแม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ รุ่นพี่ก็หันมายิ้มให้กับฉัน พร้อมกับพูดว่า เอางั้นเหรอ รถไฟกำลังขับผ่านแสงไฟถนนสีส้มๆ ที่ส่องสว่างรางรถไฟอยู่ข้างนอกหน้าต่างไปเรื่อยๆ
ฉันเอนหัวพิงลงไปบนหน้าต่างที่มีไอเย็นเกาะอยู่ ก่อนจะเป่าลมออกจากปาก รอยด่างสีขาวเกิดขึ้นเป็นวงกลมๆ ด้วยความสนุก ฉันจึงเป่าไอร้อนออกมาจากปากอีกครั้ง แต่จู่ๆ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอนตัวมาทางฉัน
“เอ่อ…”
นิ้วมือของรุ่นพี่เคลื่อนผ่านรอยสีขาวนั่น พอรู้สึกตัวอีกทีก็มีชื่อลีอีกงและคิมฮวีกยอม ชื่อของพวกเราถูกเขียนอยู่บนหน้าต่าง เหมือนกับตอนนั้นที่พื้นห้องเรียน ตรงปลายสุดของสมุด และกลางอากาศที่เต็มไปด้วยแสงแดด ที่ฉันแอบเขียนมันขึ้นมา
รุ่นพี่จุ๊บลงเบาๆ บนแก้มของฉัน ขณะที่ฉันกำลังนั่งกะพริบตาทั้งสองข้างอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นเขาจึงพึมพำออกมาว่า ดีจังเลย แล้วจึงเอนหัวซบลงตรงไหล่ของฉัน ฉันพยายามปิดปากที่เอาแต่จะกระตุกยิกๆ ไว้แน่น พลางจ้องไปที่ชื่อของฉันกับรุ่นพี่ที่ถูกเขียนอยู่บนหน้าต่าง
ลี-อี-กง, คิม-ฮวี-กยอม
ชื่อของพวกเราที่เขียนด้วยลายมือของรุ่นพี่ ไม่ใช่ลายมือของฉันมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก เสียงของรถไฟที่กำลังเคลื่อนตัว เสียงสั่นเบาๆ กลิ่นกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย และไออุ่นจากรุ่นพี่ที่ฉันคุ้นชินที่อยู่ด้านข้าง
“ฮวีกยอม”
รุ่นพี่ที่กำลังหลับตาพิงไหล่ของฉันอยู่ เรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ฉันหันหน้าไปมองรุ่นพี่โดยไม่พูดอะไร รุ่นพี่ยื่นมือถือที่กำอยู่ในมือมาไว้ตรงหน้าฉัน นาฬิกาที่อยู่ในหน้าจอมือถือกำลังบอกเวลา 00:00 น. ของวันที่ 1 มกราคมพอดิบพอดี
“แฮปปี้นิวเยียร์”
เสียงกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่ทำให้ใบหูของฉันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด ลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันรู้สึกวาบหวิวมาสัมผัสลงบนริมฝีปากฉัน ฉันยิ้มเล็กๆ พลางกระซิบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ
“แฮปปี้นิวเยียร์ค่ะ รุ่นพี่”
แล้วริมฝีปากของรุ่นพี่ก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาสัมผัสบนริมฝีปากของฉัน พร้อมกับลมหายใจบางๆ และไออุ่นที่คุ้นเคย
* * *
ชายหาดในจองดงจินมีผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่ก่อนแล้วเพื่อรอดูดวงอาทิตย์ขึ้น คงเป็นเพราะความร้อนจากผู้คน เลยทำให้ถึงลมทะเลที่รุนแรงพัดมาจนเสียดผิวหนัง แต่กลับไม่รู้สึกหนาวอย่างที่คิด
เมื่อฉันเดินอยู่บนชายหาดที่ยังคงมืดอยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่ ความทรงจำเมื่อตอนที่ไปเดินดูทะเลยามค่ำคืนเมื่อครั้งออกทริปเลี้ยงฉลองกับรุ่นพี่ก็ผุดขึ้นมา
ฉันจับมือของรุ่นพี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเอาไว้แน่น พลางสูดอากาศของทะเลที่เต็มไปด้วยความเค็มเข้าไปจนเต็มปอด คลื่นที่สาดเข้ามาพร้อมกับเสียงที่ดังซ่า แตกกระจายเป็นสีขาว เปียกชุ่มไปทั่วชายหาด แต่ละก้าวที่เท้าเหยียบลงไป เกิดเป็นเสียงเท้ากระทบกับเม็ดทราย
“พี่ชอบทะเลในฤดูหนาวที่สุดเลยละ”
“…ทำไมล่ะคะ”
เสียงที่พึมพำออกมาเบาๆ ของรุ่นพี่ผสมเข้ากับเสียงคลื่น รุ่นพี่หยุดก้าวเท้า พลางมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่มืดมิด ก่อนจะฉีกยิ้มพลางพูดต่อ
“ก็มันดูทรงพลังดีน่ะสิ ทั้งดังกังวานและรุนแรง”
เสียงหนักแน่นของรุ่นพี่ทะลุผ่านเสียงคลื่นทะเลเข้ามาในหูของฉันจนรู้สึกจั๊กจี้ ฉันจ้องมองดูใบหน้าด้านข้างอันเกลี้ยงเกลาของรุ่นพี่โดยไม่พูดอะไร เส้นผมของรุ่นพี่ที่ถูกลมแรงๆ พัดกำลังปลิวไสวเหมือนจะหลุดออกไป
“คล้ายกันเลยค่ะ”
“อะไรเหรอ”
“รุ่นพี่กับทะเลฤดูหนาว”
ฉันพึมพำออกมาเบาๆ พลางยิ้มร่า รุ่นพี่มองฉันนิ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเบนสายตาไปยังเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง
“โอ๊ะ ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว”
รุ่นพี่ที่จ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าอยู่สักพักใหญ่ๆ กุมมือของฉันเอาไว้แน่น พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ฉันจึงมองไปยังเส้นขอบฟ้าตามที่รุ่นพี่บอก ผู้คนมากมายที่กระจัดกระจายกันอยู่ที่ชายหาดต่างตะโกนโห่ร้อง พลางปรบมือจนเสียงดังไปทั่วเหมือนกับเสียงไซเรน
“ว้าว…”
แสงสีส้มที่ดูมันวาวแพร่กระจายไปบนเส้นขอบฟ้า แสงแดดสีส้มวาดเส้นบางๆ ย้อมท้องฟ้าในยามเช้ามืดไปทีละนิด
วิวทิวทัศน์อันงดงามที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรกทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนพูดไม่ออก แสงสีเข้มๆ นั่นที่ตัดแบ่งระหว่างความมืดและแสงสว่างทำให้อารมณ์ต่างๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาสั่นคลอนหัวใจของฉันไม่หยุด
“สวยจัง”
เสียงพึมพำเบาๆ ของรุ่นพี่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งทะเลก็กระทบกับแสงที่ระยิบระยับ สร้างเป็นคลื่นสีขาวๆ ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าอาทิตย์ขึ้นเนี่ยมันงดงามแบบนี้นี่เอง
ฉันใช้ฝ่ามือนวดลงบนปลายจมูกที่ตีบตัน พลางมองดูภาพของวิวทิวทัศน์นั้นอยู่สักพักโดยไม่พูดอะไร ชายหาดจองดงจินที่สว่างขึ้นโดยสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี และเสียงเอะอะโวยวายของผู้คนที่กำลังตื่นเต้น
พวกเราต่างจับมือกันเอาไว้แน่น ขณะที่เดินเลียบชายหาดไปสักพัก บางทีวิวและความรู้สึกต่างๆ ในวันนี้อาจจะถูกแกะสลักเข้าไปในจิตใจของฉัน จนกลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้ไปตลอดชีวิต ฉันควรจะขอบคุณรุ่นพี่อีกงยังไงดีนะ ที่ได้มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขวัญให้แก่ฉัน
“รุ่นพี่ ขอบคุณนะคะที่พามา”