จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 28-2
ฉันกลับมาถึงบ้านได้ยังไงกันนะ หลังจากที่มุดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม ฉันก็หลับๆ ตื่นๆ จนกระทั่งแสงแดดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างจนภายในห้องสว่างแสบตา ฉันจึงค่อยพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นมา
“ฮวีกยอม! จะสายแล้วนะ!”
เสียงของคุณป้าดังออกมาจากข้างหลังประตู ฉันขยับร่างกายที่หมดเรี่ยวแรง ก่อนที่จะยืนขึ้น แต่แล้วโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงโต๊ะหนังสือก็เข้ามาในสายตา แสงไฟที่อยู่ตรงส่วนบนของโทรศัพท์ซึ่งติดสติกเกอร์วิบวับเอาไว้อยู่ กำลังกะพริบอยู่เงียบๆ เพื่อแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า บางทีคงจะเป็นข้อความของรุ่นพี่สินะ
ฉันลังเลก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่มีความกล้าที่จะเปิดอ่านข้อความ หลังจากที่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจปิดเครื่องไปเสียเลย
แม้ฉันจะรู้ดีว่ายิ่งวิ่งหนีสักเท่าไหร่ ยิ่งปิดปากเงียบเท่าไหร่ รุ่นพี่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังว่ารุ่นพี่จะไม่ห่างข้างกายฉันไปไหน ฉันนี่มันช่างขัดแย้งในตัวเองซะเหลือเกิน
“ฮวีกยอม!”
“ตื่นแล้วค่ะ!”
ฉันตอบรับเสียงเรียกของคุณป้า พลางรีบร้อนเปิดประตูออกไป หลังจากเตรียมตัวและกินข้าวเช้าเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็ออกไปโรงเรียน ระหว่างนั้นฉันก็ยังคงปิดโทรศัพท์เช่นเคย
แต่การฝึกซ้อมในตอนนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้จะทำยังไงดี งานแสดงใกล้จะมาถึงแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถขาดซ้อมได้โดยไร้สาเหตุ และฉันก็ยังไม่มีความกล้าที่จะบอกเรื่องทั้งหมดให้รุ่นพี่ได้รับรู้ตรงๆ ด้วย
พอลองฆ่าเวลาด้วยการนอนหมอบเฉยๆ อยู่บนโต๊ะ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังซะแล้ว ฉันบอกให้พวกเพื่อนๆ กลับไปก่อน จากนั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย แต่ระหว่างที่เดินออกมาที่ประตูโรงเรียน ฉันก็กังวลมาตลอด
ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ป้ายรถเมล์ นี่ฉันปล่อยให้รถเมล์ที่ไปอคาเดมี่ผ่านไปสองคันแล้วสินะ ฉันตัดสินใจอย่างยากลำบากก่อนจะลุกจากเก้าอี้
วันนี้รถวิ่งอยู่บนถนนนานเป็นพิเศษเพราะรถค่อนข้างติด แต่ที่อคาเดมี่กลับเงียบผิดปกติ แม้แต่ห้องเปลี่ยนเสื้อที่มักจะแออัดก็ไร้วี่แววผู้คน พอลองคิดดูแล้ว วันนี้เป็นวันที่ไม่มีคลาสทั่วไปสินะ
นั่นเลยทำให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างสบายใจ ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินขณะที่แกว่งกระเป๋าใส่รองเท้าเดินไปด้วยอย่างเคยชิน แล้วฉันก็ได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง
มันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สมัยก่อนที่ฉันเคยดูผ่านๆ จากในทีวีเมื่อนานมาแล้ว จู่ๆ เท้าของฉันก็หยุดชะงักลง ฉันเอียงหูพลางชำเลืองมองไปทางช่องเล็กๆ ของประตูสตูดิโอที่มีเสียงดังออกมา
“อ้า…”
แต่วินาทีที่ฉันได้รู้ว่าเงาดำที่คุ้นตาซึ่งกำลังเต้นตามจังหวะปรบมือที่รวดเร็วนั้น คือรุ่นพี่อีกง ฉันก็รีบเบี่ยงตัวไปชิดผนังข้างๆ ประตู ขณะที่พยายามกลั้นลมหายใจที่เหมือนจะระเบิดออกมาเอาไว้ เกือบจะสบตากับรุ่นพี่เข้าซะแล้ว
ฉันที่ไม่สามารถขยับไปไหนหรือทำอะไรได้ ได้แต่ยืนเกร็งพลางแอบมองภาพของรุ่นพี่ผ่านช่องประตูอย่างระมัดระวัง แต่เสียงที่ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อเท้าของเขากระทบกับพื้นก็ทำให้ฉันใจเต้นโครมคราม การหมุนตัวอันนุ่มนวล ท่าเต้นที่แสดงความแข็งแกร่งออกมาเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่ การเต้นของรุ่นพี่ก็ช่างงดงามราวกับภาพวาด
ฉันไม่อาจละสายตาไปจากรุ่นพี่ได้เหมือนกับว่าโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ทำให้เผลอก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกก้าว ฉันสัมผัสได้ถึงชีพจรที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ที่ฝ่ามือซึ่งทาบอยู่ตรงประตูโดยไม่รู้ตัว
รุ่นพี่ที่เสยผมซึ่งเปียกเหงื่อจนชุ่มขึ้นไปขณะที่ซ้อมเต้น จู่ๆ ก็หยุดเต้นในตอนที่ดนตรีมาจนถึงจุดพีคสุด
รุ่นพี่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางสตูดิโอพร้อมกับก้มหน้าลง ผมหน้าม้าที่ยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบดบังใบหน้าของรุ่นพี่จนฉันเห็นได้ไม่ถนัด
ท่าทางของรุ่นพี่ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่นานทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจ จนถึงกับลังเลว่าจะยื่นมือออกไปเปิดประตูดีไหม แต่ในตอนที่ฉันพยายามจะบิดที่จับประตู รุ่นพี่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
อ๊ะ ฉันรีบเอาหลังมือมาอุดปาก พร้อมกับกลั้นเสียงตกใจเอาไว้ สิ่งที่ไหลลงมาอาบแก้มของรุ่นพี่ที่กลายเป็นสีแดงเพราะความร้อนนั้น ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำตา หัวใจของฉันหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันรู้สึกเจ็บจี๊ด ไม่สิ เจ็บเหมือนกับโดนอะไรทิ่มแทงอยู่
รุ่นพี่ใช้กำปั้นเช็ดน้ำตานั้นอย่างรุนแรง แล้วจึงหยิบขวดน้ำที่กำลังกลิ้งไปที่มุมหนึ่งของสตูดิโอมาดื่มอึกใหญ่
หลังจากนั้นเขาก็กำขวดเปล่าเอาไว้แน่น แผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ทิ่มแทงดวงตาของฉันราวกับหนามแหลม ฉันทนดูต่อไม่ไหวแล้ว จึงพยายามที่จะหันหน้าไปทางอื่น แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็ขย้ำขวดน้ำที่อยู่ในมือ แล้วเขวี้ยงใส่ผนังห้องอย่างแรง
ปัง เสียงดังสนั่นไปจนถึงโถงทางเดิน ฉันจึงได้แต่เอามือทั้งสองข้างปิดหน้าพร้อมกับทรุดนั่งลงไปตรงนั้น
น้ำตาไหลอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ รู้สึกผิดซ้ำไปซ้ำมา เจ็บแล้วก็เจ็บอีก จนฉันไม่อาจจะควบคุมความรู้สึกที่ท่วมท้นได้อีกต่อไป เหมือนกับเขื่อนที่พังทลายลงไป
“…ขอโทษนะคะ”
ฉันพูดคำว่าขอโทษที่ตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะบอกให้รุ่นพี่ฟังออกมา ขณะที่สะอึกสะอื้นอยู่นั้นเอง เสียงดนตรีหยุดลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เสียงร้องไห้อันอ่อนล้าของรุ่นพี่ดังออกมาเบาๆ จากหลังประตูสตูดิโอที่เงียบสงบ
อ้า รู้สึกเหมือนจะตายเพราะหัวใจหยุดเต้นไปทั้งๆ อย่างนี้เลยแฮะ ฉันเอาหลังมือกั้นเสียงร้องไห้ที่ดูไม่น่าฟังซึ่งดังออกมาจากลำคอเอาไว้ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบเบาๆ ลงตรงลิ้นปี้ที่รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปหมด ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันทึกทักไปเอง นี่ฉันทำอะไรกับรุ่นพี่กันแน่เนี่ย
ระยะทางสั้นๆ ที่อยู่ระหว่างประตูเหล็กอันเย็นยะเยือกนั่น รู้สึกห่างไกลออกไปอย่างไม่สิ้นสุด ฉันได้แต่นั่งซบหน้าลงบนหัวเข่า แล้วร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของรุ่นพี่อีก ช่วงเวลานั้นช่างแสนยาวนาน
* * *
ใบหน้าของฉันที่สะท้อนในกระจกซึ่งติดอยู่กับอ่างล้างหน้าตรงปลายทางเดินบวมฉึ่งอย่างกับจันทร์เต็มดวง เมื่อหมุนก๊อกน้ำเสร็จ ฉันก็เอามือลงไปแช่ในน้ำเย็น ดวงตาที่อยู่บนใบหน้าพังๆ ที่สะท้อนอยู่บนกระจกไม่สามารถลืมขึ้นมาได้เลยสักนิด พอถอดยางมัดผมออกด้วยมือที่กำลังเปียกอยู่ เส้นผมที่เป็นรอยมัดก็สยายลงมาบนบ่า
จ๋อม ฉันลองจุ่มมือลงไปในน้ำเย็นที่รองเอาไว้เต็มอ่างล้างหน้า แต่มันก็ไม่อาจล้างจิตใจที่มอดไหม้จนเป็นสีดำไปเรียบร้อยแล้วได้อย่างสะอาดหมดจด
ฉันจ้องมองแรงกระเพื่อมที่กระจายเป็นวงอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนที่จะจุ่มหน้าลงไปในน้ำ ความเย็นที่ยะเยือกไปจนถึงปลายนิ้วทำให้ฉันได้สติในทันที
ฟู่ว ฉันพ่นลมหายใจออกมา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา หลังจากนั้นฉันก็พาร่างกายที่หนักอึ้งพิงกับอ่างล้างหน้า แล้วจึงก้มหน้าหลับตาทั้งสองข้าง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาซ้อมแล้ว ถ้าอยู่ในสภาพนี้ต่อไป แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอรุ่นพี่กันละ ความวิตกกังวลว่าจะไปดีไม่ไปดีหนักหน่วงขึ้นยิ่งกว่าเมื่อหลายสิบนาทีที่แล้วซะอีก
เฮ้อ เหมือนจะรู้สึกมึนหัวอีกแล้วเลยแฮะ ฉันใช้มือทั้งสองข้างรองน้ำเย็นแล้วสาดลงบนหน้าเบาๆ แต่แล้วอยู่ดีๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงมือที่เอื้อมมาจับเส้นผมของฉันที่ตกลงมา ด้วยความตกใจ ฉันจึงรีบหันหน้าไปดู
“ล้างหน้าแล้ว เลยกะว่าจะสระผมด้วยเลยรึไง”
รุ่นพี่อีกงใช้มือทั้งสองข้างเสยผมของฉันขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบ และบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มแฝงอยู่ ส่วนฉันก็ได้แต่ยื่นตัวแข็งเป็นหิน ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปทางไหนเลย
รุ่นพี่ยิ้มเล็กๆ ให้กับท่าทางของฉัน พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ที่บ่ามาเช็ดหยดน้ำที่ไหลลงมาจากแก้มของฉันอย่างเบามือ
ดวงตาของรุ่นพี่ที่จ้องเขม็งมาที่ดวงตาของฉันซึ่งหมุนไปมาอย่างไม่มีจุดโฟกัส มันช่างล้ำลึกและอบอุ่น เมื่อสบเข้ากับแววตานั้นที่เหมือนแฝงไว้ด้วยถ้อยคำมากมาย จู่ๆ หัวใจที่แปรปรวนของฉันก็สงบลงอย่างนุ่มนวลเหมือนกับตอนที่ลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ
“รุ่นพี่คะ”
“หือ”
“ขอโทษนะคะที่ฉันคิดถึงแต่ตัวเอง”
“…”
“ขอโทษนะคะที่ฉันปิดบังตลอดมา ที่ฉันไม่กล้าบอก”
“…”
“แล้วก็ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำให้รุ่นพี่ต้องเจ็บปวด”
ฉันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปจับชายเสื้อของรุ่นพี่ไว้แน่น แขนของรุ่นพี่ที่อยู่ใต้ชายเสื้อยืดบางๆ กำลังสั่นจนรู้สึกได้ ฉันหายใจเข้าสั้นๆ แล้วพูดต่อด้วยถ้อยคำที่ดูปกติที่สุด
“อีกไม่นานฉันก็จะไม่ได้ยินเสียงแล้วนะคะ”
“…”
“ถ้าหากไม่กินยาละก็ ฉันอาจจะรู้สึกมึนหัว แล้วก็เป็นลมล้มลงไปเมื่อไหร่ก็ได้”
“…ฮวีกยอม”
“ดังนั้นบัลเลต์น่ะ ฉันคงเต้นต่อไปไม่ได้แล้วละค่ะ”
พอเอาเข้าจริงแล้ว การที่ทุกอย่างได้พรั่งพรูออกมาจากปากนั้น ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเท่ากับที่เคยคิดเอาไว้ ไม่สิ ตรงกันข้าม มันกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่า ฉันปล่อยมือออกจากชายเสื้อของรุ่นพี่ แล้วเดินเข้าไปใกล้รุ่นพี่อีกก้าว มือของรุ่นพี่ที่ยังคงมีท่าทีลังเลกลับหยุดอยู่กลางอากาศ
“…เต้นไม่ได้เลยจริงๆ งั้นเหรอ”
ริมฝีปากที่ปิดเงียบอยู่นานเริ่มขยับไปมาในที่สุด ใบหน้าของรุ่นพี่ดูเจ็บปวดมากเหลือเกิน ฉันยิ้มโดยไม่พูดอะไร พลางเอามือทาบลงบนหน้าอกของรุ่นพี่นิ่ง ตึกตัก ตึกตัก จังหวะของหัวใจเต้นเร็วยิ่งขึ้น
“ค่ะ ไม่ได้แล้วละค่ะ”
“…”
“งานแสดงในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย…”
อ้า น้ำตามันล้นเอ่อขึ้นมาในพริบตา ทั้งที่ฉันพยายามยิ้มอย่างสุดกำลังที่มี ทั้งที่ฉันคิดว่ามันไม่ได้เจ็บปวดเท่าที่คิด แล้วทำไมถึงได้ตรงข้ามกับหัวใจของฉัน ทำไมน้ำตามันถึงได้ไหลออกมาตามอำเภอใจอย่างนี้นะ เป็นเพราะสายตาที่พร่ามัว เลยทำให้ใบหน้าของรุ่นพี่เหมือนจะลอยห่างออกไป
ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อฉีกยิ้ม แต่ว่าน้ำตาที่เปียกชุ่มอยู่ที่แก้มของฉันก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยสักนิด
“อย่ายอมแพ้สิ นะ มันจะต้องมีสักวิธีแน่ๆ เพราะงั้น…”
“ฉันไม่มีความมั่นใจหรอกค่ะ”
ฉันพูดขัดรุ่นพี่ขึ้นมาในทันที ใบหน้าที่เหยเกของฉันค่อยๆ พิงลงตรงหน้าอกของรุ่นพี่
“ฉันคิดมาเป็นสิบๆ ครั้ง ไม่สิ เป็นร้อยครั้งแล้วด้วยซ้ำ ว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่ว่าเสียงมันก็คอยแต่จะหายไป ต่อให้พยายามรั้งเอาไว้ยังไง ก็ทำไม่ได้”
“…”
“ฉันไม่อยากจะหวังอย่างล้มๆ แล้งๆ ไม่อยากจะยืนอยู่บนเวทีด้วยความกังวลว่าร่างกายนี้จะพังลงไปยังไงและเมื่อไหร่ ฉันไม่ต้องการจะดิ้นทุรนทุรายแบบนั้นอีกแล้วค่ะ”
ฉันอ้าแขนทั้งสองข้างแล้วกอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้แน่น ต่อจากนั้นลมหายใจอุ่นๆ ของรุ่นพี่ก็รดลงมาบนหัวของฉันเบาๆ
“รุ่นพี่เองก็ถ้ารับไม่ไหวจะไปก็ได้นะคะ ฉันชินกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ว่า…”
“…”
“แต่ว่านะคะรุ่นพี่ ในตอนสุดท้าย ฉันอยากให้มันจบแบบสวยที่สุดค่ะ เพราะการแสดงนี้ก็จะเป็นเวทีคลาสสิกครั้งสุดท้ายของรุ่นพี่เหมือนกันนี่คะ เพราะงั้น…”
ระหว่างที่คำพูดที่ไม่ตรงกับใจหลุดออกมาจากปาก ฉันรู้สึกได้ว่าริมฝีปากกำลังสั่นระริก หางเสียงของฉันที่เหมือนกับเสียงถอนหายใจนั้นตามมาด้วยเสียงลมหายใจยาวๆ ของรุ่นพี่
มืออันทรงพลังของรุ่นพี่ที่มาจับท้ายทอยของฉันเอาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้มันร้อนพอๆ กับลมหายใจของเขาเลยละ รุ่นพี่ค่อยๆ โน้มตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน ดวงตาที่คมลึกของรุ่นพี่เหมือนกับจะบอกว่าไม่ต้องพยายามอีกต่อไปแล้วก็ได้
รุ่นพี่ขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปากของฉันที่สูญเสียความแน่วแน่และไม่อาจเอ่ยคำใดๆ ออกไปได้ต่อ สัมผัสอันนุ่มนวลจากมือของรุ่นพี่เคลื่อนผ่านแก้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของฉัน ฉันค่อยๆ หลับตาลงทั้งสองข้างพร้อมกับกำชายเสื้อของรุ่นพี่เอาไว้
ริมฝีปากของรุ่นพี่ประกบลงมาอย่างเชื่องช้า และความสั่นเครือนั้นช่างดูเศร้าเหลือเกิน ตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันจะได้สัมผัสกับมันอย่างช้าๆ แต่ทำไมกันนะ หัวใจถึงได้เต้นรัวและลมหายใจถึงได้เหนื่อยหอบแบบนี้ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะกัน พื้นดินที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสมันเหมือนกับกำลังหมุนอยู่
ค่อยๆ แต่มั่นคง มือของรุ่นพี่ที่ลูบแก้มเปียกๆ ของฉันค่อยๆ ผละออกไปอย่างเชื่องช้า จนเมื่อเขาจับไหล่ฉันไว้แน่น ฉันก็ทนไม่ได้ที่จะต้องพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่
“รู้ไหม”
คำพูดลอยๆ ของรุ่นพี่ที่ดังออกมาเบาๆ นั่น เขาไม่ได้พูดอยู่คนเดียว
“คำว่าสุดท้ายน่ะไม่ใช่จุดสิ้นสุดเสมอไปหรอกนะ”
ฉันกลั้นเสียงสะอื้น พลางเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ รุ่นพี่ที่กอดปลอบฉันไว้อย่างเอ็นดูจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แม้ว่าเราจะเปลี่ยนตอนแรกไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตอนจบได้นะ ก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้งก็หมดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ขอเพียงแค่เราตั้งใจ ตอนจบก็สามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งอื่นได้อีกครั้งยังไงละ”
“…”
“เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”
ฉันจ้องใบหน้าที่ดูสงบของรุ่นพี่ด้วยแววตาตกใจ ไม่เป็นไร ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าคำพูดของรุ่นพี่เป็นดังเวทมนตร์ รุ่นพี่มักจะเป็นแบบนั้นเสมอ เขามักจะทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจได้ทุกเมื่อ เหมือนกับโดนสะกดจิต หรือโดนร่ายเวทมนตร์ใส่
ตอนจบคือจุดเริ่มต้นของสิ่งอื่นอีกครั้ง บางทีนั่นอาจจะเป็นคำที่รุ่นพี่ซึ่งเปลี่ยนจากคลาสสิกมาเลือกโมเดิร์นแทน สามารถพูดออกมาจากปากได้ ก็เขาเป็นรุ่นพี่ที่ทำให้แม้แต่ฉัน ซึ่งนึกภาพรุ่นพี่ที่ไม่ใช่คลาสสิกไม่ออกเลยสักนิดยังต้องอ้าปากค้าง
“ฮวีกยอม พี่น่ะ…เลือกที่จะจดจำช่วงเวลาที่งดงามเอาไว้ เพราะอย่างนั้นแม้ว่าจะรู้ตอนจบอยู่แล้ว พี่ก็คิดว่าพี่สามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ อารมณ์แบบว่าถึงเราจะรู้ว่าดอกไม้จะร่วงโรย แต่เราก็ยังมองดอกไม้นั้นได้อย่างมีความสุขน่ะ”
รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางลูบหลังของฉัน ขณะที่ฉันยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด สัมผัสมือของรุ่นพี่ที่ยังคงอ่อนโยนและแข็งแกร่งไม่เปลี่ยนแปลง ช่วยปลอบโยนหัวใจของฉันที่สั่นไหวราวกับคลื่นทะเลให้สงบลง
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ พี่ก็จะคอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอ และจะเชื่อมั่นในตัวเธอ ดังนั้นอย่าได้คิดว่าเวทีนี้เป็นตอนจบของความฝันของเธอเลยนะ”
ทำไมฉันถึงไม่เคยเชื่อเลยนะ ทั้งที่ฉันมีรุ่นพี่ที่มักจะกอดฉันเอาไว้ แล้วก็คอยผลักดันฉันแบบนี้อยู่เสมอ ทำไมฉันถึงได้ลืมมันไปนะ ในเวลาที่ฉันเจ็บปวดเจียนตาย ฉันไม่อยากจะแยกจากอ้อมกอดนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมกลับเป็นตัวฉันซะเองทีเอาแต่หนีไปล่ะ
น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดและความรู้สึกเสียดายในเรื่องที่ผ่านมาผสมผสานกันไหลลงมาอาบแก้มไม่หยุด รุ่นพี่จูบลงบนเปลือกตาที่เปียกชื้นของฉัน สิ่งที่คลายคำสาปที่ทำให้โอเด็ตต์กลายเป็นหงส์ขาวนั้น ก็คือความรักที่แท้จริงของซิกฟรีด บางทีรุ่นพี่อาจจะเป็นเจ้าชายจากในเรื่องเล่านั้นจริงๆ ก็ได้นะ