จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 30-2
ฉันมองตัวหนังสือของรุ่นพี่สลับกับใบหน้าของเขาไปมาด้วยแววตาตกใจ อังกฤษงั้นเหรอ คำสองพยางค์ง่ายๆ นั่นกลายมาเป็นก้อนเหล็กขนาดยักษ์ที่กดทับลงบนใจของฉัน
และฉันก็เอาแต่แสดงสีหน้าสิ้นคิดแบบนั้นออกมา มันเป็นเรื่องที่ควรจะต้องยินดีแท้ๆ แต่ฉันกลับนึกถึงเรื่องที่อาจจะต้องแยกจากกับรุ่นพี่ขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก
[ว่าแล้วว่าสถานที่ที่รุ่นพี่จะไปอยู่ต้องเป็นต่างประเทศแน่ๆ]
ฉันยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับเกาหัว การที่ฝันของรุ่นพี่ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าเราจะต้องแยกจากกันไปนานขนาดไหน มันจึงทำให้ฉันรู้สึกหนักใจอย่างช่วยไม่ได้
รุ่นพี่คงจะอ่านความคิดฉันออก เขาใช้ปลายปากกาเคาะสมุด พลางเลื่อนสายตามองต่ำลง
[โธ่ ทำไมทำสีหน้าแบบนั้นล่ะคะ นี่มันเป็นเรื่องดีนะ ^^]
ฉันแกล้งวาดอีโมติคอนลงไป ขณะที่พยายามยิ้มอย่างร่าเริง รู้สึกผิดจังที่เหมือนกับทำให้รุ่นพี่รู้สึกไม่สบายใจ
[เป็นเพราะฉันหรือเปล่าคะ ถึงเราจะต้องอยู่ห่างกันสักพัก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้สบายอยู่แล้วค่ะ]
อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็มาจับมือของฉันที่กำลังกำปากกาเอาไว้ ฉันจึงยิ้มเงียบๆ แล้วมองไปยังรุ่นพี่ รุ่นพี่ไม่ยอมละสายตาไปจากฉัน สายตาที่คมเข้มและจุดโฟกัสนั้นที่ไม่ไหวติง
หลังจากนั้นสักพัก มือของรุ่นพี่ก็หลงเหลือไออุ่นๆ เอาไว้เหมือนเป็นหลักฐานก่อนจะผละออก ฉันลูบหลังมือที่ว่างเปล่าไปมาขณะที่ก้มหน้าลง แต่แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็ยื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้าฉัน
กระดาษสองแผ่นที่ถูกพับครึ่งไว้อยู่ ฉันจึงคลี่มันออกด้วยสีหน้ามึนงง ใบหนึ่งเป็นใบแนะนำตัวที่เขียนชื่อของหัวหน้าอคาเดมี่เอาไว้เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนอีกแผ่นเป็นกระดาษแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาต่อในโรงเรียนศิลปะที่อยู่ที่อังกฤษ ฉันค่อยๆ อ่านพวกมันไล่ลงมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะมองหน้ารุ่นพี่ด้วยใบหน้าเอ๋อๆ
[นี่มันอะไรกันคะ]
[ที่โรงเรียนศิลปะนั่นน่ะ มีสาขาวางแผนศิลปะการแสดงอยู่ ถึงแม้ว่าการวางแผนงานศิลป์จะเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนที่เคยเป็นนักเต้นแบบเธอ แต่พี่คิดว่าเธอมีพรสวรรค์ทางด้านนี้น่ะ แถมการที่เคยเป็นนักเต้นมาก่อนก็ยังเป็นประโยชน์ด้วย]
รุ่นพี่หยุดมือที่กำลังเขียนอยู่ลงสักพัก แล้วมองมาที่ฉัน ส่วนฉันก็เอาแต่จ้องมองตัวหนังสือของรุ่นพี่ด้วยตาที่เบิกโพลงด้วยความงง
ฉันกับการวางแผนงานศิลป์เนี่ยนะ แค่คิดสักครั้งฉันยังไม่เคยเลย ถึงฉันจะเคยเต้น เลยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมากกว่าคนอื่นๆ ก็เถอะ แต่ว่า…
[แน่นอน พี่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอคงจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน เธอเลยจำเป็นต้องใช้เวลาคิด แต่ถ้าเป็นเธอ พี่คิดว่าเธอทำได้แน่]
รุ่นพี่วางปากกาลง แล้วยืนขึ้นช้าๆ พร้อมกับโน้มตัวลงมาใกล้ๆ ฉัน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เข้าใกล้หน้าฉันอย่างกะทันหันทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจนต้องถอยหลัง ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงยิ้มมุมปาก
“เพราะอย่างนั้น”
น้ำเสียงของรุ่นพี่ลอยมากระทบใบหูฟังดูแผ่วเบามากๆ ฉันทำหน้ายู่พร้อมกับเพ่งสมาธิเพื่อที่จะได้ไม่พลาดคำพูดของรุ่นพี่
รุ่นพี่จึงเอานิ้วมือกดลงตรงหว่างคิ้วของฉันพลางหัวเราะ ต่อจากนั้นเขาก็เข้ามาใกล้หูของฉันยิ่งขึ้น ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำ
“ไปกับพี่นะ ที่อังกฤษน่ะ”
* * *
ท้องฟ้าที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างเป็นสีขาวขุ่นเหมือนกับอมไอหมอกเอาไว้ นี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วนะที่อากาศเป็นแบบนี้ ฉันที่นอนหมอบอยู่ที่โต๊ะเหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปสักพัก ก่อนจะหันกลับมามองกระดาษจดหมายที่กำลังเขียนอยู่ จดหมายฉบับนั้นที่เขียนขึ้นต้นด้วยคำว่า ถึงคุณป้า ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่บรรทัดที่สาม ฉันทำเสียงโอดครวญออกมา พร้อมกับบิดขี้เกียจในขณะที่ยืดแขนขึ้นไป
ฉันมาอังกฤษได้สองปีแล้ว ทั้งอาหารที่ไม่ถูกปากหรือภาษาที่ไม่คุ้นเคยและฟังไม่เข้าใจ ในตอนนี้ฉันก็ค่อนข้างจะคุ้นชินกับมันแล้วละ แต่ฉันก็ยังคงไม่ชินกับอากาศชื้นๆ และขมุกขมัวแบบนี้อยู่ดี
ฉันหยิบพวกหนังสือที่วางกระจัดกระจายอยู่พร้อมกับกระดาษจดหมายใส่กระเป๋าแล้วลุกจากที่ พอดีกับตอนที่จีฮเย เพื่อนชาวเกาหลีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องเรียนมองมาที่ฉัน พร้อมกับส่งสัญญาณมือชวนไปกินข้าว
“รอบนี้รายงานเธอก็ได้ที่หนึ่งอีกแล้วสินะ”
เพื่อที่จะให้บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น จีฮเยจึงนั่งอยู่ข้างๆ ฉัน ระหว่างที่เธอจิ้มเฟรนช์ฟรายส์หนึ่งชิ้นลงไปบนซอสมะเขือเทศ เธอก็กระซิบลงข้างๆ หูฉัน อ้าๆ ฉันตอบรับพลางพยักหน้า
ตอนแรกที่ฉันเข้ามาเรียนในโรงเรียนศิลป์แห่งนี้ ฉันที่นอกจากจะเป็นคนหูหนวกแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก จึงช่วยไม่ได้ที่จะถูกดูถูก
แต่หลังจากผ่านอุปสรรคต่างๆ มากมายมาโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือ ตอนนี้ฉันที่ได้กลายเป็นนักเรียนดีเด่นอย่างสง่าผ่าเผยก็มักจะถูกจีฮเยยกย่องว่าเป็นเพราะความตั้งใจของชาวเกาหลีอยู่เสมอ
เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ฉันมาจนถึงที่นี่พร้อมกับรุ่นพี่ ฉันรู้สึกกังวลขนาดไหนกันนะ ถึงจะรู้สึกกังวลว่าจะกลายเป็นภาระของรุ่นพี่ที่กำลังจะได้เริ่มต้นใหม่หรือเปล่า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ฉันกลัวว่าตัวเองที่เคย ‘เอาแต่เต้น’ มาเกือบสิบปี แถมยังฟังอะไรได้ไม่ค่อยชัด จะสามารถเรียนสิ่งที่เรียกว่าการวางแผนได้หรือเปล่าต่างหาก
แต่วิดีโอที่รุ่นพี่เอาให้ฉันดูในตอนนั้นก็ได้กลายมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันตัดสินใจเลือกที่จะมาอังกฤษ วิดีโอสารคดีที่ใส่เรื่องราวความจริงของการเดินทางอันยาวไกล ที่กว่าจะกลายมาเป็นการแสดงการแสดงหนึ่งโดยสมบูรณ์ ได้มอบหัวใจที่สั่นระรัวครั้งใหม่ให้กับฉัน ภายหลังจากความกังวลอันยาวนาน ฉันก็พาตัวเองขึ้นไปบนเครื่องบินลำที่บินมายังอังกฤษ
ระหว่างที่รุ่นพี่ได้เริ่มต้นในฐานะนักเต้นรับเชิญของ Dance Company จนกระทั่งได้กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ฉันก็ได้ทุ่มเทอย่างสุดชีวิตกับชีวิตประจำวัน และภาษาในต่างแดนที่ไม่คุ้นเคย รวมไปถึงการเรียนในโรงเรียนที่ยากกว่าที่คิด
ในตอนแรกๆ ฉันเองก็รู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง แล้วก็เคยทะเลาะกับรุ่นพี่บ้าง แต่รุ่นพี่ก็มักจะคอยอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอ แม้ว่าเมื่อเทียบกับความท้อแท้ที่สูญเสียการได้ยินไปแล้ว เรื่องกังวลเล็กๆ น้อยๆ นี้มันจะไม่มีอะไรเลยก็เถอะ แต่ฉันก็ยังมุ่งมั่นไปกับการตั้งใจเรียน
และในตอนนี้ที่ฉันได้เอาชนะช่วงที่สำคัญมาได้ ฉันก็ได้พัฒนาไปมากจนรู้สึกภูมิใจในตัวเองเลยละ
“นี่ นั่นแฟนเธอใช่ไหม”
ฉันที่เพิ่งจะกัดขนมปังทาเนยพอดีจึงหันหน้าไปตามที่จีฮเยพูด พร้อมกับถามว่า ไหนๆ ม้านั่งข้างหน้าโรงเรียนที่จีฮเยชี้ไปนั้น มีรุ่นพี่อีกงกำลังนั่งอยู่จริงๆ ท่าทางที่กำลังโยกหัวขณะเสียบหูฟังอยู่พร้อมกับมองไปที่ประตูนั่น ดูยังไงก็เหมือนกับว่ากำลังรอฉันอยู่
“คบกันมาตั้งห้าปีแล้วไม่ใช่เหรอ จนป่านนี้แล้วก็ยังหวานกันขนาดนี้เลยเหรอ”
ฉันมองไปที่รุ่นพี่พลางยิ้มหน้าบาน ทำให้จีฮเยมองฉันพลางจิ๊ปาก ก่อนจะเท้าคางแล้วหันไปมองรุ่นพี่ที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง พร้อมกับบ่นพึมพำ
“อย่างว่าแหละนะ ถ้าเป็นผู้ชายแบบนั้นละก็ จะอีกสิบปีหรือยี่สิบปีผ่านไป ฉันก็คงจะชอบเขาจนคลั่งตายอยู่ดี”
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
ฉันรีบยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก ก่อนจะรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอก อากาศชื้นๆ กระแทกเข้ามาในปอดอีกครั้ง
รุ่นพี่ที่ไม่รู้ว่าฉันมาแล้ว กำลังนั่งเหม่อมองฟ้าพร้อมกับดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี เหล่านักเรียนที่ผ่านไปมาในตอนนั้นต่างก็จำรุ่นพี่ได้ แล้วแต่ละคนต่างก็กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ รุ่นพี่น่ะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกของนักเต้นของที่นี่มากทีเดียวเลย
“รุ่นพี่!”
“เฮือก ตกใจหมด!”
ทันทีที่ฉันจับไหล่ของรุ่นพี่พร้อมกับตะโกนเรียก รุ่นพี่ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันมามองฉัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา เส้นผมสีน้ำตาลแดงของรุ่นพี่กำลังปลิวไสวไปตามสายลม
“ข้าวล่ะ”
“เพิ่งกินมาค่ะ”
“ตั้งใจเรียนหรือเปล่าครับ”
“อื้อ แน่นอนสิคะ”
รุ่นพี่ลูบหัวของฉัน พลางกระซิบบอกว่า เก่งมาก ฉันหัวเราะ แหะๆ ขณะที่เอาหัวพิงไหล่ของรุ่นพี่ ตอนนี้ ณ วินาทีนี้ ฉันชอบความสงบนี้จัง ชอบจนอยากจะให้เวลาหยุดลงเสียตรงนี้
“จบเทอมนี้ ฉันจะได้เข้าไปเป็นสต๊าฟในบริษัทของรุ่นพี่แล้วละค่ะ ถึงจะแค่ฝึกงาน แต่วันนี้ฉันก็ได้รับการติดต่อมาด้วยละ!”
“โอ้ จริงเหรอ ไม่เห็นเธอเคยบอกเลยนี่ว่าเคยมาประชุมน่ะ ทำไมไม่บอกก่อนเล่า”
“ก็ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ยังไงละคะ”
เซอร์ไพรส์จริงๆ นะเนี่ย รุ่นพี่พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แล้วจึงจับแก้มของฉันมาจุ๊บเบาๆ การที่รุ่นพี่อยู่ข้างๆ ฉัน จับมือฉัน และต่างฝ่ายต่างรู้สึกถึงไออุ่นของกันและกันแบบนี้ มันทำให้ฉันมีความสุข
ตอนนี้ทั้งฉันที่อยู่ในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับผมบ๊อบสั้น และรุ่นพี่ที่สลัดคราบความเป็นเด็กในสมัยก่อนออกไป พวกเราต่างรู้สึกปีติยินดีกับสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ของ ‘พวกเรา’
“พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วนะคะ”
ในตอนนี้ เพื่อความสุขอันล้ำค่านี้ ฉันพร้อมที่จะก้าวไปอีกก้าวด้วยคำว่า ‘พวกเรา’
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเอาไว้แล้วละ
“ได้โปรดแต่งงานกับฉันเถอะนะคะ”
ฉันกำลังพูดคำที่ตัวเองคงไม่คาดคิดว่าจะพูดมาก่อนถ้าเป็นฉันในวัยสิบเจ็ดปีออกมาอย่างมั่นใจ เพราะในตอนนี้ฉันสามารถใส่น้ำหนักของความจริงใจของฉันลงไปในแต่ละคำพูดได้แล้วยังไงละ
รุ่นพี่จ้องมองฉันด้วยความตกใจ ดวงตาที่กลมโตนั่นดูน่ารักชะมัด ทั้งหน้าม้าที่ปรกลงมาเล็กน้อยบริเวณดวงตาที่เรียวยาว ทั้งริมฝีปากนั้น มันน่ารักจนสุดจะทนไหว
“จริงๆ เลย เธอนี่มันทำให้หัวใจคนอื่นเต้นรัวโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเลยจริงๆ”
รุ่นพี่ยืนนิ่งในท่าอ้าปากค้างเหมือนกับลืมไปว่าจะพูดอะไรอยู่นาน ก่อนที่จะยิ้มออกมาเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แล้วจึงเอาแขนมาโอบรอบคอของฉันเอาไว้ ต่อจากนั้นก็บรรจงแนบริมฝีปากลงมาเหมือนเป็นการบอกว่า แน่นอนอยู่แล้ว
ฉันยิ้มเล็กๆ พร้อมกับกอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้ ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือข้างในจิตใจ ฉันก็เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ แต่พอถึงเวลาที่จูบกับรุ่นพี่ทีไร ฉันก็รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นตัวเองในวัยสิบเจ็ดปีทุกที
“อือ”
ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ถอยห่างไปพร้อมกับความรุ่มร้อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ขยับขึ้นลงเล็กๆ และน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้นิดๆ ที่หูก็ยังคงทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเช่นเคย
“พวกเรามาแต่งงานกันเถอะ”
ท้องฟ้าของลอนดอนที่มักจะมืดมัวอยู่เสมอกำลังทอดตัวไปพร้อมกับรอยยิ้มของรุ่นพี่เหมือนกับภาพวาดสีน้ำ ฉันหัวเราะ หึหึ พลางซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่ และแล้วการเต้นของ ‘พวกเรา’ ก็ได้เริ่มต้นอีกครั้ง
-จบบริบูรณ์-