จังหวะรัก นักบัลเลต์ - ตอนที่ 4-1 ความสัมพันธ์ที่ไม่คุ้นเคย
พี่อีกงเคยพูดคำนี้กับฉันเสมอ ว่าฉันมักจะดูไม่มั่นคง และน่าเป็นห่วงอยู่เสมอโดยไม่รู้สาเหตุ ดังนั้นเขาเลยมักจะหันมามองอยู่บ่อยๆ
ตอนที่ได้ยินประโยคนั้น ถึงจะดูตลก แต่มันก็ทำให้ฉันคิดแบบนั้น คิดว่าโชคดีแล้วที่ตัวเองเก้ๆ กังๆ และชอบทำตัวน่าเป็นห่วง เพราะฉันเป็นแบบนั้น ฉันถึงสัมผัสความอ่อนโยนของรุ่นพี่ได้อย่างเต็มที่ มันคือความคิดไร้สาระที่ฉันเรียกมันว่าความโชคดี
เขาใจดีจนเกิดเหตุต่างหาก แม้ว่าฉันจะคิดแบบนั้นทุกครั้งที่ฉันอยากจะโทษเขา ซึ่งมันก็ไม่เหมือนเป็นการโทษนักหรอก แต่ฉันก็คิดว่าด้านแบบนั้นของรุ่นพี่ เป็นทั้งการปลอบใจเพียงอย่างเดียวสำหรับฉัน เป็นทั้งความหวัง และก็ยังเป็นพลังด้วย
แน่นอนว่าถ้าเกิดฉันเป็นนักเต้นที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเหมือนกับพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ฉันก็อาจจะสามารถฝันถึงการแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่อีกงได้ เพียงแต่ว่า การได้รับความอ่อนโยนและการเอาใจใส่อย่างละเอียดอ่อนของรุ่นพี่ มันคือความสุขและความตื่นเต้นของฉัน
และด้วยเหตุนั้น แม้จะเป็นการซ้อมในวันนี้ รุ่นพี่ก็ยังมาอยู่ข้างๆ ฉันเพื่อช่วยดูการเคลื่อนไหวด้วยตัวเองอยู่นาน แล้วก็ยังสาธิตให้ดูอีกด้วย การที่ฉันสามารถมองหน้าของรุ่นพี่ได้เท่าที่ต้องการโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ได้พูดคุยกับเขานานขึ้นอีกสักหน่อย แค่นั้นก็ดีตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว
ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจแบบสุดๆ ฉันเลยซ้อมส่วนที่เหลือจนเสร็จโดยไม่ต้องมีใครมาสั่งด้วยซ้ำ หลังจากที่ฉันจัดเก็บห้องซ้อมเต้นเหมือนทุกทีจนเสร็จ แล้วออกมา เข็มสั้นของนาฬิกาข้อมือก็ชี้อยู่ที่เลขเจ็ดเสียแล้ว แต่ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าคุณป้าชวนทานข้าวเย็นด้วยกันวันนี้นี่นา ฉันที่เพิ่งจะนึกถึงคำชวนของคุณป้าขึ้นมาได้จึงรีบเร่งก้าวเท้าทันที
ในตอนที่ฉันผ่านทางเดินไปจนถึงปากทางออกพอดี จู่ๆ เสียงแหลมๆ ก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วโถงทางเดินโดยไม่คาดคิด สถานที่ที่เสียงที่คาดไม่ถึงดังมานั้น คือทางห้องซ้อมเต้นสองที่ทีม Romeo and Juliet ฝึกซ้อมกันอยู่
ด้วยความสงสัย ฉันที่วิ่งจ้ำผ่านทางเดินก็เหลือบไปเห็นเงาคุ้นตาหลายเงาท่ามกลางแสงไฟลางๆ กำลังยืนเรียงกันอยู่
คนที่ยืนหันหน้ามาคือเซจิน คนที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้นคืออีเซ และเงาใหญ่ๆ ที่ยืนห่างออกมาหน่อยเหมือนจะเป็นซูฮยอน การรวมกลุ่มแบบพิลึกพิลั่นนั่นทำให้ฉันเกิดความสงสัย แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เสียงเกรี้ยวกราดของเซจินดังลั่นออกมา ฉันสะดุ้งตัวโยนจนต้องหยุดยืนอยู่กับที่
“ก็บอกว่าแค่ปรับให้เข้ากับฉันไงเล่า!”
“นี่ คิมเซจิน”
“ตรงนี้ ถ้าทำตามที่ฉันบอกมันสบายกว่าไม่เห็นเหรอ! ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ว่าชเวซูฮยอนเป็นหัวหน้านะ”
เสียงของอีเซที่เหมือนถอนหายใจออกมา ฟังดูเหนื่อยมากทีเดียว ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนจะเป็นความต้องการที่ไม่ลงรอยกันของเซจินกับซูฮยอน เซจินดูเหมือนจะโมโหมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่าชเวซูฮยอนเป็นหัวหน้า เธอกระโดดพรวดขึ้นมา พลางตะโกนกรีดร้องอย่างประสาทเสีย
“ฉันไม่ยอมรับเจ้านั่นเป็นหัวหน้าหรอกนะ!”
“นี่ คิมเซจิน พอเถอะ ขอร้องล่ะ!”
“ฉันทำไมล่ะ! เดิมทีนายจะต้องได้เป็นโรมิโอต่างหาก! นายไม่มีศักดิ์ศรีบางเลยรึไง”
“แต่ตอนนี้โรมิโอคือชเวซูฮยอนนี่นา”
อีเซโต้ตอบด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนอย่างชัดเจน พลางขยี้หัวอย่างแรง ดูท่าว่าคงได้เกิดการทะเลาะกันครั้งใหญ่ ฉันเลียริมฝีปากที่กำลังร้อนรุ่มของตัวเองโดยอัตโนมัติ พร้อมกับมองดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ เซจินตะโกนแว้ดๆ จนอย่างกับว่าเขาสีแดงจะงอกออกมาจากหัวของเธอ
“ว้าว ลีอีเซ นายมันไอ้คนทรยศจริงๆ”
“อะไรเล่า”
“นายไม่ใช่เพื่อนฉันรึไง ทำไมต้องไปเข้าข้างหมอนี่ล่ะ”
เซจินชี้นิ้วไปทางซูฮยอนที่กำลังทำหน้าเฉยชาเหมือนกับว่าไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ก่อนจะกรีดร้องออกมาทันที แต่ว่าถึงอย่างนั้น ซูฮยอนก็ทำเพียงแค่มองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ไม่ไหวติงใดๆ
กลับกัน ฉันที่แอบมองกลับเป็นฝ่ายกระวนกระวายใจแทน ฉันก้าวเท้าไปทางพวกนั้นก้าวหนึ่งเพื่อจะหยุดเซจิน แต่จู่ๆ ซูฮยอนก็เข้ามายืนขวางหน้าของเซจินที่เหมือนจะระเบิดออกมาซะเดี๋ยวนั้น พลางบ่นพึมพำเสียงเบาๆ
“พอซะทีเถอะ”
“…ว่าไงนะ?”
“บอกว่าให้พอไง”
ถึงเขาจะกำลังจ้องหน้ากดดันเซจิน แต่ดูเหมือนซูฮยอนจะไม่ได้โกรธอะไร น้ำเสียงของซูฮยอนที่ดูน่ากลัวไม่ต่างไปจากปกตินั่น ทำให้ทั้งฉัน ทั้งเซจินที่กำลังพร้อมหาเรื่องหมอนั่นถึงกับต้องทำหน้าเลิ่กลั่ก
“แค่เวลาจะซ้อมยังไม่พอเลย อย่ามาเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้เลยนะ”
“…วะ ว่าไงนะ”
ดูท่าเขาที่ผุดขึ้นมาบนหัวของเซจินจะพุ่งพรวดออกมาแล้ว เซจินทำหน้าเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังเผยเขี้ยวอันแหลมคม เธอโกรธเหมือนกับจะฉีกเนื้อของซูฮยอนออกเป็นชิ้นๆ เสียตอนนั้นเลย พลางเดินเข้าไปหาเขา
นี่หรือว่า คิดจะชกต่อยกันจริงๆ งั้นเหรอ ด้วยความตกใจฉันจึงคิดจะรีบวิ่งไปทางนั้น แต่ในเสี้ยวพริบตา เซจินที่คว้าคอเสื้อของซูฮยอนเอาไว้ พร้อมกับเสียงคำรามก็เริ่มพ่นคำพูดมากมายที่เหมือนจะเก็บกดเอาไว้ภายในใจออกมา
“ฉันเกลียดนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว”
“…”
“แค่ไปเรียนแลกเปลี่ยนกลับมา มันมีอะไรน่าภูมิใจนักเหรอ”
“…”
“ก็แค่มีเงิน กะอีแค่เรียนแลกเปลี่ยนน่ะเหรอ ใครก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ เลิกแสร้งทำเก่ง ทั้งที่หลบอยู่ข้างหลังพ่อแม่ซะทีเถอะ!”
“นี่ คิมเซจิน!”
อีเซตกใจและพยายามจะหยุดเซจินเอาไว้ แต่สำหรับเซจินที่ระเบิดลงแล้ว เธอไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงของเขาหรอก ฉันรีบเข้าไปคว้ามือของเซจินที่กระชากคอเสื้อของซูฮยอนอยู่
“เซจิน พอเถอะ นะ”
“ใช่ พอเถอะ อย่าทะเลาะกันเลย นะ”
อีเซถอนหายใจอย่างโล่งใจเหมือนกับว่าการมาปรากฏของฉันคือการที่โชคเข้าข้าง พร้อมกันนั้นยังช่วยเสริมคำพูดของฉันด้วย แต่เซจินยังคงไม่มีความคิดที่จะปล่อยคอเสื้อของซูฮยอน เมื่อเทียบกับใบหน้าของเซจินที่กลายเป็นสีแดงขึ้นมาด้วยความโกรธแล้ว ใบหน้าของซูฮยอนยังคงดูสงบและสุขุม
ด้วยความสุขุมเยือกเย็นนั้น ทำให้ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ไปยืนกั้นกลางระหว่างสองคนนั้นพลางแงะมือของเซจินออก แต่เซจินก็ยังไม่หยุด ทั้งยังพ่นคำที่โหดร้ายใส่ซูฮยอนอีก
“คนอย่างนายน่ะ มันเฮงซวยที่สุดเลย”
“เซจิน พอเถอะน่า”
“พอนายกลับมา ทุกอย่างก็เพี้ยนไปหมด ทุนที่ตอนแรกฉันควรจะได้ นายก็มาแย่งไป”
“…”
“ก็แหงละ นายมันได้ท็อปอยู่ทุกวัน คงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้สินะ”
น้ำเสียงของเซจินที่เต็มไปด้วยความแค้น แหลมคมอย่างกับสว่าน ฉันคว้าไหล่ของเซจินมากอดเอาไว้โดยไม่พูดอะไร เพราะนั่นคือวิถีทางเดียวที่ฉันมี ซูฮยอนขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เซจินก็ไม่ยอมเว้นช่องว่างไว้ให้เขา
“ถ้าแข่งกันด้วยฝีมือ ฉันไม่มีทางแพ้คนอย่างนายหรอก”
“…”
“คนอย่างนาย ถ้าหายไปให้พ้นหน้าฉันได้ก็ดี”
คำพูดที่กดดันจิตใจอย่างหนักหน่วงของเซจินทำให้หัวใจของฉันเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ฉันรีบเอามืออุดปากเซจินไว้ พร้อมกับหันไปมองซูฮยอน แม้ว่าซูฮยอนจะยังคงนิ่งเงียบอยู่ แต่มุมปากที่ยกขึ้นมาขณะยิ้มก็ดูหนักอึ้งมากทีเดียว
เสียงเป่าลม ฟิ้ว ดังออกมาจากระหว่างริมฝีปากของซูฮยอน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจสั้นๆ ความเงียบงันที่หนักหน่วงเข้าโอบล้อมโถงทางเดินที่เคยอึกทึกเอาไว้ในพริบตา ใบหน้าของซูฮยอนที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ กลับเข้าสู่โหมดเย็นชาอีกครั้ง ฉันกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกกังวลใจแปลกๆ
“เธอน่ะ…”
ต่อมาเสียงแหบพร่าก็ออกมาจากริมฝีปากของซูฮยอนที่แยกออกจากกัน ซูฮยอนที่เดินมาข้างหน้าฉันและเซจิน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาเหมือนจะเจ็บปวดมากทั้งที่เขาทำหน้าตาเฉยเมย นั่นเป็นเพราะเขามองดูเซจินด้วยดวงตาสั่นไหวอย่างที่ฉันเคยแอบเห็นเขาในชั่วโมงเรียน
“เธอนี่มัน สร้างบาดแผลให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ”
ด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากละสายตาจากซูฮยอน แล้วก้มหน้าลงไปมองพื้นแทน เซจินเองก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ไม่คุ้นเคยของซูฮยอน ระหว่างนั้นฉันก็กลอกตาไปมา แล้วก็รีบผลักเซจินที่ทำท่าเหมือนจะโต้แย้งอะไรออกมา พร้อมทั้งตะโกนขึ้น
“พอเลยทั้งสองคน อีเซ เอาตัวยัยนี่เข้าไปข้างในก่อน”
“อ่อ… อื้อ”
อีเซทำสีหน้าบอกไม่ถูก พลางลากแขนของเซจินเข้าไปข้างในห้องซ้อมเต้น
“นายน่ะ ตามฉันมาหน่อย!”
ฉันจับแขนของซูฮยอนที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพัง แล้วตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด ซูฮยอนเดินตามแรงดึงของฉันมาที่สนามกีฬาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ พร้อมกับท่าทีที่ไม่ได้ดูจะขัดขืนอะไรเป็นพิเศษ
ณ ซอกหลืบ ฉันบังคับให้ซูฮยอนนั่งลงบนม้านั่งที่เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะนั่งลงข้างๆ พลางถอนหายใจ พอได้มองใบหน้าด้านข้างของซูฮยอนที่ยังคงแข็งทื่อ ฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบไปจนถึงหัวใจ
บ้าเอ๊ย ทันทีที่ฉันบ่นพึมพำออกมาแบบนั้นด้วยความรู้สึกหดหู่ ตอนนั้นเองที่ซูฮยอนกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“หัวเราะอะไร”
“เปล่าหรอก”
“บ้าก็ต้องเรียกว่าบ้าสิ นายจะหัวเราะทำไมล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำนั้น ซูฮยอนจึงหันหน้ามามองฉัน
“…เธอรู้อยู่แล้วสินะ”
“…ใช่น่ะสิ เจ้าบ้า”
พอทำหน้าบึ้งแล้วเหลือบตามอง ซูฮยอนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนกับเด็ก หลังจากนั้นเขาก็พิงตัวลงบนพนักพิงม้านั่ง พร้อมกับบิดขี้เกียจ
ดวงอาทิตย์ที่ตกลงทางทิศตะวันตกทำให้เกิดเงาสีแดงหม่นขึ้นในสนามกีฬา ฉันเองก็เอนตัวพิงพนักพิงตามซูฮยอน พวกเรานั่งอยู่ข้างๆ กันแบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักพัก ก่อนที่ซูฮยอนจะหันขวับมามองที่ฉัน แล้วเปิดปากขึ้น
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าบอกให้คิมเซจินรู้ได้ไหม”
“…ถ้าจะบอก ฉันบอกไปนานแล้วล่ะ”
“ก็จริง”
“ถ้าชอบก็ต้องทำดีด้วยสิ ทำไมถึงทำตัวเย็นชาแบบนั้นล่ะ”
“…นั่นสินะ”
ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการสินะ พอเห็นซูฮยอนยิ้มแห้งๆ พลางเกาหัว ข้างในของฉันก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“คนแบบคิมเซจินน่ะ ต้องคอยดูแลปรนนิบัติสิถึงจะถูก แล้วก็ถ้าทำตัวอ่อนโยนด้วยก็จะดี แต่ทำแบบนี้ทุกครั้งมันอะไรกัน”
ฉันอุตส่าห์ตักเตือนอย่างจริงจังแล้วแท้ๆ แต่ซูฮยอนก็ยังเอาแต่หัวเราะคิกคัก และไม่ยอมพูดอะไรออกมา จนทำให้ฉันถึงกับหมั่นไส้ พลางเหน็บแนมอยู่ในใจว่า แหม ช่างสบายใจเสียจริงนะ สำหรับฉัน เพียงแค่คิดถึงรุ่นพี่อีกง ฉันก็รู้สึกจะประสาทเสียเพราะมัวแต่ระแวงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่ละอย่างของตัวเองว่าจะดูผิดแปลกหรือเปล่าเลย
“คำพูดของเซจินน่ะ อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะ”
ที่บอกว่าถ้าหายไปก็คงจะดี ฉันกลืนคำๆ นั้นที่ไม่กล้าจะเติมมันต่อลงไปกลับเข้าไปในลำคอ เพราะการที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นจากคนที่ตัวเองชอบ ไม่มีทางที่ใครจะรู้สึกสบายใจได้หรอก
“ถึงยัยนั่นจะพูดแบบนั้น แต่เดี๋ยวพอเวลาผ่านไป เธอก็คงรู้สึกเสียใจที่หลัง แล้วก็รู้สึกผิดเองแหละ”
ซูฮยอนยิ้มบางๆ ให้กับคำพูดของฉัน ก่อนจะเอื้อมมือมาค่อยๆ ลูบหัวของฉัน ฝ่ามือหยาบกระด้างแต่ก็อบอุ่นมากทีเดียว
ชเวซูฮยอน นายเหมือนจะเป็นคนดีเลยแหละ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา และฉันก็หวังว่าเซจินเองก็จะได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย
“สองคนมาทำอะไรกันที่นี่น่ะ”
เสียงที่อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้ฉันตกใจแค่คนเดียว ฉันและซูฮยอนที่ลุกพรวดขึ้นจากที่เหมือนกระเด้งตัวออกมา เห็นรุ่นพี่อีกงในชุดนักเรียนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ต่อจากนั้นพวกเราก็มองหน้ากันด้วยสีหน้ามึนงง
รุ่นพี่แอบยิ้มออกมาบางๆ ขณะเดียวกันก็เดินเนิบๆ เข้ามาหาพวกเราในทันที ต่อจากนั้นเขาก็โยนกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่าลงมา พลางนั่งลงบนม้านั่งตัวเมื่อกี้ที่พวกเราเพิ่งนั่งไป ก่อนจะบ่นลอยๆ ออกมาว่า ร้อนจังๆ
“รุ่นพี่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอคะ”
ฉันคิดว่ารุ่นพี่ลังเลกับคำถามของฉันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ลืมของไว้น่ะ แล้วยิ้ม ซูฮยอนมองฉันกับรุ่นพี่ที่ทำท่าทางอย่างนั้นสลับกันไปมา แล้วจึงเดินไปนั่งข้างๆ รุ่นพี่อย่างนิ่งๆ ฉันที่กำลังยืนเหม่อมองท่าทางของรุ่นพี่อยู่ จึงทำได้เพียงนั่งลงตรงที่ว่างตรงข้ามฝั่งของซูยอนโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะที่นั่งที่แคบขึ้น เลยกลายเป็นว่าฉันต้องมานั่งตัวติดกับรุ่นพี่ไปโดยปริยาย ฉันเพ่งความสนใจไปที่แขนของรุ่นพี่ที่มาแตะโดนเป็นระยะๆ จนเหมือนว่ามือจะท่วมไปด้วยเหงื่อ
“เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน”
“อ๋อ ฉันมัวแต่รอเซจินก็เลย…”
“ซูฮยอนก็ด้วย ทำไมไม่ซ้อม มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“มาพักแป๊บนึงน่ะครับ”
“หืม…”