ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ - ตอนที่ 275 ผู้เฒ่าประหลาด ชีพจรประหลาด / ตอนที่ 276 นี่คุณ หึงอยู่เหรอ
- Home
- ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ
- ตอนที่ 275 ผู้เฒ่าประหลาด ชีพจรประหลาด / ตอนที่ 276 นี่คุณ หึงอยู่เหรอ
ตอนที่ 275 ผู้เฒ่าประหลาด ชีพจรประหลาด
อวี๋กานกานตามเจียงฉี่ขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของเจียงฉี่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ บวกกับเครื่องหน้าทั้งห้าอันประณีต ให้ความรู้สึกสวยสดงดงามจนจิตใจสั่นไหว
อวี๋กานกานชำเลืองมองฟังจือหันที่อยู่ข้างๆ ผู้หญิงสาวสวยสไตล์นี้ เป็นแบบที่ผู้ชายทุกคนล้วนชอบพอ
เจียงฉี่เคาะประตูแกะสลักจากไม้แดง จากนั้นผลักเข้าไปเบาๆ พาอวี๋กานกานเข้าไปพร้อมกัน ส่วนฟังจือหันยืนอยู่ด้านนอก
พื้นที่ภายในห้องหนังสือกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เข้ามาจะเห็นระเบียงที่อยู่ด้านข้าง ด้านบนตกแต่งด้วยดอกไม้ใบหญ้า ทั้งยังมีกรงนกแก้วแอตแลนติกแขวนไว้ ชมดอกไม้ ดื่มชา เล่นกับนกน้อย เห็นได้ชัดว่าเจ้าของห้องหนังสือนี้ คนเป็นที่รู้จักเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิต
บนโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ สิ่งของทุกชิ้นล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้เฒ่าอายุประมาณเจ็บปีสวมชุดถังจวงสีครีม นั้งอยู่บนเก้าอี้หนังขนาดใหญ่หลังโต๊ะหนังสือ มือทั้งสองวางอยู่บนโต๊ะอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หลังและเอวตั้งตรง เผยกลิ่นอายความหยิ่งยโส
ทว่าดวงตาทั้งสองกลับอ่อนล้า สีหน้าย่ำแย่
ในตอนที่เจียงฉี่หันไปเห็นผู้เฒ่า เธอขมวดคิ้ว “คุณปู่ ลุกขึ้นมาอีกแล้วนะคะ คุณหมอบอกแล้วนี่คะ ว่าให้พักผ่อนเยอะๆ”
ผู้เฒ่าไม่ขยับ ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าว “ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร ก็แค่พักนี้ไม่อยากอาหาร พวกเธอร้อนใจกันไปเอง” เมื่อพูดจบแล้ว สายตาของเขาจ้องที่อวี๋กานกานเขม็ง แววตาเฉียบคมซ่อนความรู้สึก เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของความหลักแหลม ประมาณกำลังสงสัยว่าเธอเป็นใคร
เจียงฉี่รีบอธิบายให้ผู้เฒ่า “ปู่ หนูขอแนะนำนะคะ ท่านนี้คือคุณหมออวี๋ เมื่อครู่ผู้อาวุโสหวงก็พูดว่ารอคุณหมออวี๋ตรวจเสร็จแล้ว ค่อยออกมาวินิจฉัยอาการพร้อมกัน”
ผู้เฒ่าได้ฟังที่เจียงฉี่แนะนำแล้วรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง มองประเมินอวี๋กานกานอย่างละเอียด จากนั้นหันไปมองเจียงฉี่ด้วยสายตาไม่พอใจ แม้ว่าไม่ได้พูดอะไร แต่เจียงฉี่ก็รู้ดีว่าสายตาของคุณปู่หมายถึงอะไร เขากำลังบอกว่าเธอก่อเรื่องวุ่นวาย ไปเชิญเด็กกะโปโลที่ไหนไม่รู้มาตรวจอาการให้เขา
เจียงฉี่เดินเข้าไปกระซิบข้างหูผู้เฒ่าหนึ่งประโยค อวี๋กานกานไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เห็นเพียงแค่ว่าผู้เฒ่าหันควับจ้องมาที่เธอ สายตาตกตะลึงถึงขีดสุด
เพียงครู่เดียว ผู้เฒ่าเจียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ทั้งยังยื่นแขนออกมา “ก็ได้ ให้เธอลองตรวจดู”
เขามองอวี๋กานกานด้วยสายตาคมกริบ ราวกับแสงเอกซเรย์ที่จะสแกนเธอให้ทะลุปุโปร่ง
เจียงฉี่รีบหยิบหมอนรองแขนสำหรับตรวจชีพจรมาวาง จากนั้นจับมือของผู้เฒ่าเจียงวางไว้บนหมอนอย่างเบามือ
อวี๋กานกานคลี่ยิ้มให้ผู้เฒ่า จากนั้นนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสืออย่างสุขุมเยือกเย็น เธอเอื้อมไปแตะข้อมือของผู้เฒ่าอย่างไม่รีบร้อน ทว่าก็ไม่ช้าจนเกินไป
หลังจากที่ฟังชีพจรไปได้ครึ่งนาทีแล้ว อวี๋กานกานเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าผู้เฒ่า นัยน์ตาพลันสั่นไหว สายตาของผู้เฒ่าจับจ้องอยู่ที่เธอตลอด เมื่อเห็นอวี๋กานกานมองตน เขาขยับร่างกายเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ยัยหนู ปีนี้อายุเท่าไร”
“ยี่สิบสองค่ะ”
“เรียนแพทย์ตั้งแต่เมื่อไร”
“…”
“รักษาคนไข้สำเร็จไปแล้วกี่คน”
“…”
อวี๋กานกานรับรู้ถึงความไม่เชื่อมั่นจากคำพูดของผู้เฒ่า เธอลังเลแต่ก็เลือกตัดสินใจที่จะไม่ตอบ ชีพจรของผู้เฒ่าคนนี้แปลกประหลาด เกรงว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงกับลักษณะนิสัยของเขา ดูท่าคงเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสัมพันธไมตรี
หลังจากที่จับชีพจรที่แขนซ้ายเสร็จแล้ว อวี๋กานกานเปลี่ยนไปจับแขนขวา ผู้เฒ่าเอียงศีรษะเล็กน้อย ถามด้วยความสงสัย “เธอจับชีพจรไม่โดนงั้นหรือ”
อวี๋กานกานคลี่ยิ้มให้เขา “ผู้เฒ่าอย่ากระดุกกระดิกไปมาได้ไหมคะ แล้วก็ห้ามพูดด้วยค่ะ”
น้ำเสียงเหมือนกำลังตำหนิเด็กเล็ก เหมือนผู้ใหญ่กำลังคุยกับเด็กไม่มีผิด
ตอนที่ 276 นี่คุณ หึงอยู่เหรอ
ดวงตาทั้งสองของผู้เฒ่าเบิกโพลงทันที กล่าวสั่งสอนด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ว่ายังไงนะ ยัยเด็กนี่ กล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ”
เพลิงพิโรธลุกโชนขึ้นในอก เลือดและพลังชี่พลุ่งพล่านอย่างฉับพลัน หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรยุ่งเหยิง
อวี๋กานกานมองหน้าผู้เฒ่าด้วยความเอือมระอา “ผู้เฒ่าคะ ห้ามโมโห มิฉะนั้นจะไม่มีทางจับชีพจรได้แม่นยำ”
เจียงฉี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบก้าวเข้ามา ช่วยผู้เฒ่าให้ผ่อนอารมณ์ลง “คุณปู่ อย่าโมโหไปเลยนะคะ เมื่อครู่ตอนที่ผู้อาวุโสหวงจับชีพจรก็ย้ำแล้วนี่คะว่าให้ทำใจให้สงบ”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงดังเหอะอย่างเย็นชา จากนั้นเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ยังใช้หางตาชำเลืองมองอวี๋กานกานเป็นบางครั้งบางคราว แววตาอัดแน่นไปด้วยความรังเกียจและพยายามจับผิด
อวี๋กานกานมีประสบการณ์ตรวจคนไข้มากมายหลายปี ย่อมเคยพบเจอคนไข้ทุกประเภทหมดแล้ว เธอถามอย่างไม่สนใจสายตาของผู้เฒ่า “หลายวันมานี้ผู้เฒ่าทานอะไรไปบ้างคะ”
ผู้เฒ่านั่งนิ่งไม่ไหวติง มองอวี๋กานกานด้วยหางตา ทว่ากลับไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับกำลังจะบอกว่า เธอบอกฉันเองว่าห้ามพูด ฉันก็ไม่พูด ไม่บอกหรอกว่ากินอะไรไปบ้าง ท่าทีหาเรื่อง แต่อวี๋กานกานก็ยังคงมองข้ามไม่ใส่ใจ
ต่อให้ไม่ตอบอวี๋กานกานก็รู้แล้วว่าเขาป่วยเป็นอะไร ตาเฒ่านี่นิสัยประหลาดจริง มิน่าล่ะถึงป่วยเป็นโรคแบบนี้
เจียงฉี่เห็นว่าคุณปู่ไม่ยอมตอบ จึงรีบหันไปตอบอวี๋กานกาน “ช่วงนี้คุณปู่ทานอะไรไม่ได้เลย ตอนเช้าต้มโจ๊กข้าวฟ่างถ้วยหนึ่ง ปรากฏว่าทานแค่สองคำก็อาเจียนอีกแล้ว”
อวี๋กานกานส่งยิ้มให้เจียงฉี่ หญิงสาวคนนี้กตัญญูรู้คุณดี ถ้าไม่เห็นแก่ความกตัญญูนี่ อวี๋กานกานคงลุกขึ้นยืนเดินออกไปแล้ว
แต่ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นอะไรกับฟังจือหัน…นี่กำลังตรวจคนไข้อยู่นะ คิดอะไรเหลวไหลอยู่เนี่ย ทำไมถึงเสียสมาธิไปได้ หลังจากที่กำจัดความรู้สึกอีรุงตุงนังแล้ว อวี๋กานกานทำจิตใจให้สงบ รวบรวมสมาธิฟังชีพจร
เมื่อตรวจชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงฉี่ถามอวี๋กานกานทันที “เป็นไงคะ”
ผู้เฒ่าเองก็มองอวี๋กานกานด้วยสายตาหยิ่งผยอง ในแววตาราวกับมีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย หวังว่าจะได้ยินสิ่งที่เขาอยากได้ยินจากปากของอวี๋กานกาน
อวี๋กานกานหันไปมองเจียงฉี่ กล่าวออกมาอย่างจนปัญญาหนึ่งประโยค “ขอโทษนะคะ เกรงว่าฉันคงรักษาอาการป่วยของผู้เฒ่าไม่หาย”
เจียงฉี่เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือด
ส่วนผู้เฒ่าแค่นเสียงหึๆ สองครั้ง “เธอเนี่ยไม่ปกปิดทักษะอันอ่อนด้อยของตัวเองเลยนะ”
อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบาง ไม่ได้พูดอะไรอีก ประสานมือทำความเคารพ จากนั้นหยิบกระเป๋าอุปกรณ์แล้วเดินออกไปทันที
ฟังจือหันอยู่รออยู่ด้านนอกตลอด เมื่อเห็นอวี๋กานกานเดินออกมา เขาเองก็ถามคำถามเดียวกับเจียงฉี่ “เป็นไงบ้าง”
อวี๋กานกานมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “…”
นิสัยของผู้เฒ่าคนนี้ช่างแปลกประหลาด ทั้งยังขี้โมโห ฟังจือหันเรียกให้เธอมาตรวจ เธอไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคนนี้เป็นคนสนทนาด้วยยากมาก แถมตอนเธอออกมา ถามก็ไม่ถามสักคำว่าเธอเป็นไงบ้าง ถูกหาเรื่องหรือเปล่า เป็นห่วงแต่ปู่ของหญิงสาวคนนั้น
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนิทชิดเชื้อขนาดไหนกันนะ
อวี๋กานกานไม่ได้บอกว่าผู้เฒ่าป่วยเป็นอะไร ตอบกลับเพียงประโยคเดียว “ฉันรักษาไม่หาย”
ฟังจือหันขมวดคิ้ว “อาการหนักมากเหรอ”
“นายเป็นห่วงปู่ของคุณหนูเจียงคนนี้มาก นะ” อวี๋กานกานพูดออกมาแล้วเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าน้ำเสียงของตัวเองผิดปกติ จึงเติม “นะ” เข้าไปด้านหลังแบบห้วนๆ ต้องการให้น้ำเสียงฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่ามันกลับทำให้ยิ่งดูแปลกเข้าไปอีก
ฟังจือหันยื่นมือมาจับแขนของเธอ จากนั้นออกแรงดึงเข้าสู่อ้อมกอด โน้มศีรษะลงมากระซิบ “นี่คุณกำลังหึงผมอยู่”