ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 100 นัดพบ
“เจ้ามิต้องกังวลจนเกินไป” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม “วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะพิธีปักปิ่นของเจ้า ส่วนเรื่องของหรงซู่…เป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น ช่างมันเถิด ไม่ต้องพูดถึงแล้ว มา พวกเราคุยเรื่องลำดับในงานพิธีปักปิ่นกันดีกว่า”
“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแข็งขัน เพราะข่าวเมื่อครู่ทำเอานางประหลาดใจมากทีเดียว ตอนนี้สติของนางยังไม่ได้กลับคืนมาทั้งหมด…ถึงอย่างไรก็พอมีเหตุผลให้เข้าใจได้กระมัง?
หนานกงมู่เสวี่ยกับต้วนเฉินเซวียนเป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน!
เอ่อ เช่นนั้นหนานกงมู่เสวี่ยก็จะนับว่าเป็นอาจารย์น้าของตน? เช่นนั้นลำดับของต้วนเฉินเซวียนก็คือ…อาจารย์อา?!
พระเจ้า! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าชาตินี้ตนกับต้วนเฉินเซวียนจะไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กันอีกแน่นอน ผลสุดท้ายกลายเป็นว่ากลับมีความเกี่ยวข้องกันในโลกลับๆ อีกใบหนึ่ง?
ไม่ควรมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันแบบนี้เลย!
ช่างเถิดๆ เรื่องราวที่หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นวันนี้ถือว่านางไม่ได้รับรู้ในส่วนนั้นก้แล้วกัน ต้วนเฉินเซวียนเป็นใคร? นางรู้จักด้วยหรือ?
ถึงอย่างไรวันนี้นางเพียงรับรู้ว่าความสัมพันธ์ของท่านอาจารย์กับหนานกงมู่เสวี่ยนั้นไม่ธรรมดา…ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
ไม่ธรรมดา
ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นจะถือว่านางไม่รับรู้ก็แล้วกัน
“โดยรวมแล้วคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เจ้าคล่องแคล่วมากแล้ว ทำได้ดีกว่าข้าในตอนนั้นเสียอีก ในวันงานพิธีจริงขอเพียงเจ้าไม่ตื่นเต้น จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” หนานกงมู่เสวี่ยบีบไหล่นางเบาๆ เมื่อครู่นางนั่งโดยเอามือพยุงน้ำหนักไว้จึงทำให้ตอนนี้เกิดอาการปวดเมื่อยไปหมด
“เอาล่ะ ภาวนาขออย่าให้วันนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก้พอแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม
ที่นางคล่องแคล่วนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว! เมื่อชาติที่แล้วนางกะว่าจะใช้พิธีปักปิ่นนี้กู้ชื่อเสียงของตัวเองเลยท่องและฝึกฝนทุกอย่างอย่างหนักไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนจำขึ้นใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ว่าจะอยากลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง
อีกทั้งตอนนี้อันเพ่ยอิงยิ่งเข้มงวดกับนางมากขึ้นเพื่อความสมบูรณ์แบบที่สุด ช่วงนี้ยิ่งลากตัวนางไปไปสอนเกี่ยวกับระเบียบพิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นงานพิธีปักปิ่นน่ะหรือ? สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วไม่กระเทือนเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นวันหลังข้าจะมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าใหม่นะ” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นแล้วจัดกระโปรงของตัวเองจนเรียบร้อย “บางทีครั้งหน้าข้าอาจจะเขียนจดหมายมาถึงเจ้า หรือเจ้ามาที่ตำหนักของข้าก็ได้เหมือนกัน ข้ายินดีต้อนรับเจ้าตลอดเวลา เพราะหากพูดถึงเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกชอบเจ้ามากทีเดียว อีกทั้งเจ้ายัง…” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยค่อยๆ ลดลงราวกับกำลังพูดกับตัวเอง
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นเตรียมจะส่งหนานกงมู่เสวี่ย “ได้รับคำชมของจวิ้นจู่เช่นนี้ถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก ข้าย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธ ขอเพียงจวิ้นจู่เชิญข้า ข้าย่อมมิอาจปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“ส่งข้าตรงนี้ก็พอแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยเดินไปถึงด้านหน้าประตูเรือนของซูเหลียนอวิ้นแล้วจึงหยุดลง “อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้ารีบกลับเข้าไปพักผ่อนด้านในเถิด ตัวข้าจำทางได้ อีกทั้งข้ามีสาวใช้คอยกางร่มให้ ส่วนตัวเจ้านั้นไม่มี” หนานกงมู่เสวี่ยชี้ไปยังด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับด้วยความยินดี เนื่องจากอากาศด้านนอกนั้นร้อนจริงๆ…อยู่ในห้องสบายกว่ามาก ทว่า…ท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมของหนานกงมู่เสวี่ยเช่นนี้แถมยังมีท่าทีเป็นห่วงราวกับเป็นพี่สาวที่เป็นห่วงน้องเสียจริงๆ! ช่างเป็นคนที่ทำอะไรก็มิอาจทำใจให้ผู้อื่นปฏิเสธตัวเองได้อย่างแท้จริง
“จริงด้วย” ขณะที่หนานกงมู่เสวี่ยกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่นั้น พลันคิดบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหันกลับมาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “หากเจ้าพบหรงซู่อีก…ช่างเถิด ไม่มีอะไร…”
คำพูดของหนานกงมู่เสวี่ยหยุดลง แม้ว่าเมื่อดูจากท่าทางแล้วนางคล้ายมีอีกหลายสิ่งที่อยากพูดต่อ แต่สุดท้ายเพียงถอนหายใจยาวและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
“ข้าจะต้องเอ่ยเรื่องเจ้ากับท่านอาจารย์แน่” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปคว้าปลายเสื้อของหนานกงมู่เสวี่ยไว้ “ข้าจะพูดว่า จวิ้นจู่…อยากจะพบเขา เช่นนี้ได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เพราะเรื่องราวเช่นนี้ นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อชาติที่แล้วสิ่งที่นางเคยทำนั้นมากกว่านี้หลายเท่า ดังนั้นความคิดของหนานกงมู่เสวี่ยข้อนี้…นางมองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร!
มิได้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ หรอกหรือ เพราะถึงอย่างไรในงานพิธีปักปิ่นหนานกงมู่เสวี่ยก็ต้องมาอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็เชิญหรงซู่มาร่วมงานด้วยก็จบแล้ว ทุกคนได้เจอหน้ากันก็จบแล้ว?
กล่าวได้ว่าความคิดของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ง่ายดายมากถึงเพียงนี้!
หนานกงมู่เสวี่ยไม่เอ่ยอะไร แต่ก็มิได้ดึงเสื้อของตนคืนจากมือของซูเหลียนอวิ้น
“เรื่องนั้น อันที่จริงเรื่องนั้นข้าไม่ต้องพูดยังได้! ถึงอย่างไรในวันงานพิธีปักปิ่นวันนั้น ท่านอาจารย์…ก็คงจะมาร่วมด้วย! ถึงเวลานั้นเจ้าอยากพูดอะไรก็ค่อยพูดตอนเจอหน้ากันก็ได้?” คงจะมาร่วมด้วยกระมัง? ซูเหลียนอวิ้นแอบพึมพำในใจ
อันที่จริงแล้วต้วนเฉินเซวียนกับหรงซู่มีบางส่วนที่คล้ายกันอยู่นั่นก็คือพวกเขาจะทำเรื่องใดๆ ตามแต่ที่ตนปรารถนา ไม่ยอมรับข้อผูกมัดของใคร ไม่แน่ว่าวันนั้นหากอากาศดีเขาอาจจะมา? หรือบางทีวันนั้นลมอาจจะพัดแรงไปหน่อยจนทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น
“เพราะว่า…ข้าไม่ค่อยเข้าใจ…ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองนัก…พูดไปพูดมาจะกลายเป็นว่าสื่อความผิดไป ถึงตอนนั้นคงวางตัวลำบากทีเดียว!” ดังนั้นเรื่องราวของพวกเจ้าทั้งสองพวกเจ้าก็จัดการเองจะดีกว่า นางอยากเป็นเพียงคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์จากด้านนอก อย่ายื่นมือเข้าไป อย่ายื่นมือเข้าไป
“แล้วแต่เถิด…” ผ่านไปพักหนึ่ง หนานกงมู่เสวี่ยก็เอ่ยสามคำนี้ออกมาแล้วดึงแขนเสื้อตัวเองกลับจากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
ซูเหลียนอวิ้นยื่นเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดทั้งสามคำนั้นของหนานกงมู่เสวี่ย
แล้วแต่? นั่นหมายความว่าตกลงแล้วใช่หรือไม่?
ได้เลย! ดูท่าแล้วช่วงนี้นางเองก็ต้องหมั่นฝึกฝนวิชากระบี่แล้วกระมัง เพราะมีเพียงวิธีนี้ถึงจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการไปหาหรงซู่ได้อย่างสบายใจ
เฮ้อ…จากนั้นก็ต้องมาคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เขามาที่งานพิธีปักปิ่นของตน
ณ จวนจิ้งอันโหว
“หลิวจือ ช่วงนี้คนเฝ้าประตูได้ส่งจดหมายอะไรมาบ้างหรือไม่?” ต้วนเฉินเซวียนกำลังจัดวางกระบี่เล่มนั้นที่ได้มาจากตาเฒ่า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากนัก
“จดหมายหรือขอรับ?” หลิวจือกระพริบตาปริบๆ “นายท่าน ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้อยู่ในจวนเท่าไหร่นัก ข้าไปถามหลินอั้นให้ดีกว่า เพราะเขาทำงานอยู่ที่จวนตลอด ข้าจะไปถามให้ตอนนี้เลย…”
จดหมาย? หลิวจือเดินไปพลางครุ่นคิดว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้นายท่านถึงได้สนใจเรื่องราวเช่นนี้แล้ว? อีกทั้งหากเป็นเรื่องสำคัญจริง จดหมายจะถูกส่งมาทางคนเฝ้าประตูหรอกหรือ? นั่นจะเป็นการไว้ใจมากเกินไปหน่อยหรือไม่
“หลินอั้น” หลิวจือตะโกนเรียกด้านหน้าประตูแล้วผลักเข้าไป
หลินอั้นได้ยินเสียงดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้ววางสมุดบัญชีในมือตัวเองลง เมื่อมองเห็นผู้ที่ผลักประตูเข้ามาจึงเอ่ยว่า “ครั้งหน้าหากท่านจะเข้ามา โปรดเคาะประตูสักหน่อยได้หรือไม่? แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรจะเคารพมารยาทพื้นฐานนี้บ้าง ขอบคุณมาก”
“ข้ามิได้เรียกเจ้าแล้วหรือ เจ้ามิยอมขานรับข้าเอง ข้าเลยผลักประตูเข้ามา” หลิวจือยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้ “อีกอย่างอย่างเจ้าจะไปมีเรื่องอะไรได้ ทำเรื่องไม่ดีอะไรเอาไว้หรือ? ข้าถึงต้องผลักประตูถึงจะเข้ามาได้ คนอย่างเจ้าน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก”
หลินอั้นเก็บข้าวของบนโต๊ะ ไม่โต้เถียงกับเขาต่อไปอีก มิใช่ว่าเขามิอยากพูดจา แต่เขาขี้เกียจจะเซ้าซี้กับคนตรงหน้าตนมากกว่า