ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 102 เลื่อนขั้น
“ขอรับ…นายท่าน” หลิวจือลากเท้าหนักๆ ของตัวเองเดินออกจากห้องไป เมื่อเงยหน้ามองฟ้าจึงพบว่าพระอาทิตย์คล้อยต่ำถึงกลางภูเขาแล้ว เห็นดังนั้นน้ำตาของเขาคล้ายจะไหลออกมา
เมื่อครู่นี้ตนทำอะไรลงไป! เขาทำผิดหรือว่าทำถูกแล้วกันแน่? ผู้ใดช่วยคลายข้อข้องใจนี้ของเขาได้บ้าง!
เมื่อครู่อารมณ์เดือดดาลของนายท่านคลายไปหมดแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไมผู้ที่ได้รับการลงโทษถึงกลายเป็นเขาได้?
เวลาโมโหก็ตัวเขา เวลาไม่โมโหแต่ได้รับบาดเจ็บมาก็เป็นเขา นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวจือรู้สึกว่าชะตาชีวิตของตัวเองช่างขมขื่นนัก
……
ณ จวนตระกูลหยาง
“หลิ่นอี้ เจ้าว่าอะไรนะ?! เจ้ารายงานให้ข้าฟังอีกสักรอบ?” น้ำเสียงโกรธกริ้วของหยางเกิ่งรั่งสะท้อนออกมาจากด้านในห้อง
“ใต้เท้า สิ่งที่ข้าน้อยรายงานล้วนเป็นความจริงอย่างแน่นอน” หลิ่นอี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าจากการรายงานของสายสืบในวัง พระสนมแท้งบุตรแล้วจริงๆ ขอรับ”
“พวกสวะ!” มือของหยางเกิ่งรั่งกวาดหนังสือที่อยู่บนโต๊ะตกระเนระนาดไปกองอยู่บนพื้น ตอนนี้สีหน้าของเขาถมึงทึง “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
อย่าบอกนะว่าเป็นความบังเอิญ! ในสถานที่เช่นวังหลวงทุกเรื่องราวมีโอกาสเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่เรื่องบังเอิญน่ะหรือ? เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้น
หลิ่นอี้ยิ่งก้มหน้างุดแล้วเอ่ยว่า “จากรายงานระบุว่าผู้ที่ใต้เท้าส่งตัวไปมอบของให้พระสนมในวันนั้นไปขัดใจพระสนมเข้า…ทำให้พระสนมโมโหเป็นอย่างมากจึงกระทบถึงเด็กในครรภ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระสนมแท้งบุตร”
หยางเกิ่งรั่งสูดหายใจเข้าลึก “นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่?” คนของเขาเองที่ทำให้ลูกสาวของเขาต้องแท้งลูกหรือ? หากพูดเรื่องนี้ออกไปคงทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน! แต่หากไม่มีเหตุผลอื่น ไม่มีผู้มาเป็นแพะแทน ด้วยเหตุผลนี้เขาคงทำได้เพียงกัดฟันและกล้ำกลืนความขมขื่นลงไป
“ยังหา…ไม่พบ” หลิ่นอี้เอ่ยอย่างลังเล “จากการให้การของสายลับ วันนั้นพระสนมถูกขัดใจจนอารมณ์เดือดดาลพลุ่งพล่านอย่างแน่นอน คนในพระราชวังต่างเป็นพยานได้ ด้วยเหตุนี้จึง…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” หยางเกิ่งรั่งเอ่ยขัดคำพูดที่หลิ่นอี้กำลังจะรายงานต่ออย่างไม่แยแส “ตอนนี้พระสนมเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้ที่หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเป็นผู้ที่ไร้ค่าที่สุด เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องราวก็เกิดขึ้นไปแล้ว หากยังคงไล่หาความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร? เด็กผู้นั้นก็ตายไปแล้ว อีกทั้งผ่านมาตั้งหลายวันขนาดนี้ หลักฐานต่างๆ ก็คงจะถูกทำลายทิ้งไปเกือบหมดแล้ว เช่นนั้นแล้วมิสู้คิดหาวิธีใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดจะดีกว่า
เช่นนี้แล้วหลานของเขาจะได้ไม่ตายไปฟรีๆ
“พระสนมยังสาว ขอเพียงบำรุงร่างกายสักหน่อยก็หายดี แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” หยางเกิ่งรั่งก้มลงมองผู้ที่นั่งอยู่กับพื้นตรงหน้าเขา “ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกหรือ?”
“แต่ได้ยินมาว่าด้วยเรื่องนี้ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก ร่างกายสามารถรักษาให้หายได้โดยเร็ว แต่จิตใจ…ตามที่หมอหลวงรายงานคือต้องใช้เวลาอีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่งถึงจะดีขึ้น”
เมื่อหยางเกิ่งรั่งได้ยินดังนั้น หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏอาการไม่สบอารมณ์
จิตใจ? สิ่งนี้คืออะไรหรือ? ลูกสาวโง่ผู้นั้นทำไมถึงไม่คิดใช้โอกาสนี้ทำให้ลี่หยวนตี้สงสารนางและปกป้องนางเพื่อจะได้กุมหัวใจของลี่หยวนตี้มากยิ่งขึ้น แต่นี่กลับมัวแต่นั่งทุกข์ใจอยู่? สภาพจิตใจงั้นหรือ?
อวัยวะเช่นหัวใจนี้มีประโยชน์อะไรกัน? หากทำได้เพียงโศกเศร้าและตรอมใจ มิสู้รีบจับตัวคนที่แอบทำร้ายตนมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยโศกเศร้าก็ยังไม่สาย เพราะหากรอจนความโศกเศร้าหมดไปแล้ว จิตใจกลับสู้สภาพปกติแล้ว เกรงว่าเวลานั้นความรู้สึกสำนึกผิดของลี่หยวนตี้ที่เดิมก็เกิดขึ้นไม่ง่ายอยู่แล้วนั้น คงจะถูกกลืนจนหายไปหมดจนไม่เหลือกระมัง?
หยางเกิ่งรั่งยิ้มเยาะ เขาเป็นลูกผู้ชายดังนั้นย่อมเข้าใจดีว่าความคิดของลูกผู้ชายเป็นอย่างไร
สตรีสามารถอ่อนแอและสามารถออดอ้อนออเซาะได้ แต่ต้องทำอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ส่วนสตรีที่ชอบแสร้งทำว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งกลับเป็นสตรีที่บุรุษไม่โปรดปรานเป็นที่สุด
ด้วยเหตุนี้พฤติกรรมของหยางอวี้หลิงในตอนนี้ หยางเกิ่งรั่งสามารถเดาออกได้ถึงแปดเก้าส่วนจากสิบส่วน ตอนนี้นางคงแค้นใจที่ลี่หยวนตี้ปกป้องนางได้ไม่ดีมากพอ ทั้งยังโกรธผู้เป็นบิดาคนนี้ด้วยที่ส่งคนให้นำของไปให้นางในวันนั้น
เพราะหากวันนั้นตนไม่ได้ส่งของที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นไปให้ บางทีการแท้งในครั้งนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น?
ความคิดที่น่าขันสิ้นดี ในวังหลวงแห่งนี้หากมีคนที่มีใจอยากทำร้ายเรา เขาก็สามารถใช้เหตุผลมากมายมาอ้างได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นในครั้งนี้จัดได้ว่าเป็นวิธีการที่ล้ำเลิศมากวิธีหนึ่งก็เท่านั้น
“นายท่านขอรับ?” หลิ่นอี้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหยางเกิ่งรั่งไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับตนต่อจึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรจัดการอย่างไร…กับพระสนมดีขอรับ?”
“มิจำเป็นต้องสืบหาความจริงอะไรต่ออีก” หยางเกิ่งรั่งเอ่ยเสียงต่ำ
เขาเป็นบิดาแท้ๆ ของหยางอวี้หลิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้จักเนื้อแท้ของนางดีเท่าเขาอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน หากมีผู้ใดมาขัดขวางเส้นทางของพวกเขาหรือว่าลงมือทำร้ายพวกเขา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ในใจของพวกเขาล้วนจะอาฆาตแค้นคนผู้นั้นอย่างถึงที่สุด
ปมปัญหานี้ ถือว่าได้บทสรุปเรียบร้อยแล้ว
“ให้คนไปส่งข่าวแก่หยางอวี้หลิง บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแม้แต่น้อย ส่วนประเด็นที่ว่านางจะเชื่อหรือไม่นั้น นั่นมิใช่ปัญหาที่พวกเราจะสามารถคาดการณ์ได้” น้ำเสียงของหยางเกิ่งรั่งเย็นยะเยือก ตอนนี้แม้แต่คำว่าพระสนมเขาก็ยังไม่ยอมเรียก เขาเพียงเรียกนางว่าหยางอวี้หลิง คนผู้ที่เขาเอ่ยถึงราวกับไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของตน แต่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
“หากนางทำเรื่องโง่ๆ ก็อย่าให้มาเกี่ยวข้องถึงพวกเรา ในเมื่อนางอยากแก้ปัญหาที่ไม่มีค่าอะไรเช่นนี้ก็ปล่อยให้นางหาทางแก้ไปคนเดียว หากนางป่วยใจก็เกิดจากตัวนางเอง แต่ว่าสำหรับเรื่องๆ นี้ เจ้าอย่าให้ผู้อื่นใช้โอกาสนี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเราได้” เพราะไม่ว่าจะอย่างไรหยางอวี้หลิงก็เป็นคนของตระกูลหยาง ต่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะหมางเมินห่างเหินกันอย่างไร แต่ในสายตาของคนนอกแล้ว พวกเขายังถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
คนหนึ่งรุ่งทุกคนรุ่งโรจน์ คนหนึ่งร่วงทุกคนล่มสลาย
ตอนนี้หยางเกิ่งรั่งกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าความคิดของหยางอวี้หลิง เมื่อได้รับการยุยงจากคนบางคนเข้าแล้วจะหันกลับมาโจมตีตนเองเข้าสักวัน
ครั้งแรกที่หยางเกิ่งรั่งรู้สึกผิดนั้นเป็นเพราะว่าความคิดตื้นเขินของเขาที่เลือกจะส่งหยางอวี้หลิงเข้าวัง หลายปีที่ผ่านมานี้ หากไม่มีหลิงเซียงที่เขาส่งเข้าวังตามไปด้วยคอยเตือนสตินาง หยางอวี้หลิงคงจะสิ้นชีวีจากแผนการโหดเ**้ยมไร้ร่องรอยในวังหลังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว
ช่างเถิด ต่อให้ไม่มีหยางอวี้หลิง เขาก็ยังมีคนอื่นๆ อีก
“ตอนนี้ลูกสาวขอท่านน้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ในหัวของหยางเกิ่งรั่งเริ่มนึกไปถึงเด็กสาวผู้นั้นที่เขาเพิ่งส่งเข้าวังไปล่าสุด แม้ว่ารูปลักษณ์จะเทียบหยางอวี้หลิงไม่ติด แต่ว่าสมองของนาง…กลับทิ้งห่างกับของหยางอวี้หลิงไม่รู้กี่ช่วงต่อกี่ช่วงถนน!
“ตามรายงานคุณหนูผู้นั้นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่สาวเป็นอย่างมาก ทั้งยังกังวลว่าลี่หยวนตี้จะเสียใจมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงอยู่เป็นเพื่อนลี่หยวนตี้ตลอดเวลาเพื่อคอยปลอบประโลมจิตใจของลี่หยวนตี้…” คำพูดของหลิ่นอี้ไม่เปิดเผยมากนัก แต่กลับแสดงความหมายออกมาจนหมดสิ้น
ลูกสาวของท่านน้าผู้นี้ ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว