ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 103 นุ่น
“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเปิดประตูห้องซูเหลียนอวิ้นเข้ามาในช่วงยามเหม่า “มิต้องตื่นเต้น ทำตัวให้สบายๆ ก็พอ”
“ท่านแม่ ลูก…ลูกไม่ตื่นเต้นเจ้าค่ะ” ไม่ตื่นเต้นก็แปลกแล้ว! วันนี้เป็นวันงานพิธีปักปิ่นของนาง แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่าหนังตาของตนเต้นตุบๆ อยู่ตลอด?
คงมิได้กำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกกระมัง?
ซูเหลียนอวิ้นมิได้กลัวเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันมงคลเช่นนี้ หากโดนพวกหนอนพวกแมลงทำลายบรรยากาศเข้า แค่คิดนางก็เริ่มรู้สึกเข็ดขยาด
“อวิ้นเอ๋อร์ แม่ให้คนครัวต้มข้าวต้มไว้ให้เจ้าแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมไปกินด้วยล่ะ แต่อย่ากินมากจนเกินไป” อันเพ่ยอิงยื่นมือออกไปที่คอเสื้อของซูเหลียนอวิ้นแล้วจัดความเรียบร้อยให้ “พิธีปักปิ่นใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อถึงเวลาเจ้าต้องคอยตามแม่ไปทักทายแขกที่มางาน หากเจ้ากินมากจนเกินไป…แม่เกรงว่าพอถึงเวลานั้น”
“ท่านแม่ ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขัดอันเพ่ยอิง นางไม่อยากทนฟังต่ออีก หากเมื่อถึงเวลาจริงแล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นล่ะก็ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางคงต้องสละชีพเพื่อขอขมาเรื่องนี้! ต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนั้นจะให้คอยเทียวไปเทียวมาเข้าห้องน้ำอยู่ตลอดหรือ?
ดียิ่ง ตอนนี้นางไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
“เดิมลูกก็ไม่ค่อยหิวอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกินรองท้องสักหน่อย แค่ข้าวต้มก็พอแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ท่านแม่คอยตามกำกับเช่นนี้ ลูกพลอยเริ่มกังวลขึ้นมาด้วยแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นหันตัวไปจ้องมองเงาของดรุณีน้อยที่สะท้อนอยู่ในกระจก นางตั้งใจแต่งหน้าให้ตัวเองบางเบาแบบสตรีวัยเยาว์ เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องสวมใส่ชุดถงจื่อฝู[1]อยู่แล้ว ดังนั้นแต่งให้ดูอ่อนเยาว์หน่อยถึงจะเหมาะสม
เนื่องจากมีเพียงแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พอถึงเวลาสวมชุดจริงในพิธีถึงจะดูโดดเด่นกว่าผู้อื่น
“เช่นนั้นแม่ก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่คงต้องเว้นระยะห่างให้เจ้าบ้างแล้ว” อันเพ่ยอิงมองดูใบหน้างดงามน่าเอ็นดูของซูเหลียนอวิ้นก็ห้ามใจไม่ได้ที่จะยื่นมืออกไปลูบเบาๆ “แม่จะออกไปดูสักหน่อยว่าในงานเลี้ยงยังมีอะไรขาดเหลืออยู่หรือไม่ เมื่อถึงเวลาแม่จะมาเรียกเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ”
เมื่อส่งอันเพ่ยอิงเดินออกไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออดแล้วหันไปมองรูปร่างของตัวเองในกระจก “หลีมู่”
“คุณหนูเรียกบ่าวหรือเจ้าคะ?” หลีมู่ผลักประตูก้าวเข้าไปข้างใน “ชุดของคุณหนูยังมีอะไรขาดเหลืออีกหรือเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่เห็นภาพซูเหลียนอวิ้นยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “คุณหนูเจ้าคะ หากมีปัญหาอะไร รีบพูดออกมาตอนนี้เถิดเจ้าค่ะ! หากขืนยังชักช้าอยู่เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะเจ้าคะ!”
“ไม่มีอะไร” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหลายรอบจึงเอ่ยขึ้น “หลีมู่ เจ้าว่าตอนนี้ข้าต้องใช้นุ่นพวกนั้นแล้วหรือไม่?”
ซูเหลียนอวิ้นกลับลงไปนั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้พลางครุ่นคิด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดล้วนต้องอาศัยเวลาถึงจะเห็นผลทั้งสิ้น ตอนนี้แม้นางจะกินมะละกอทุกวัน แต่ส่วนนั้นของนางก็มิอาจขยายขนาดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้นางจำต้องใช้วิธีที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยกระทำ นางต้องคิดหาวิธีอื่น วิธีนั้นก็คือยัดส่วนนั้นให้ใหญ่ขึ้นมา!
“คุณหนู…แต่คุณหนูบอกเองมิใช่หรือว่า ตอนนี้ต้องสวมชุดถงจื่อฝู หากตอนนี้…นั่นมิเท่ากับเป็นการขัดกับภาพลักษณ์ของชุดถงจื่อฝูหรือ” หลีมู่เอ่ยปากเตือนอย่างระมัดระวัง
อันที่จริงแล้วตอนนี้ในใจของหลีมู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หลีมู่เดาว่าเรื่องนี้คงเกิดมาจากการที่นางปากไวเกินไปในวันนั้น ผลสุดท้ายคุณหนูจึงยังจำฝังใจไม่ลืม ในความคิดของหลีมู่นั้นคุณหนูของตนสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ในส่วนของบางจุดนั้น…ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้!
อีกอย่างหนึ่งนุ่นสองกองนี้ หลีมู่ยังคิดว่าซูเหลียนอวิ้นเพียงคิดเล่นๆ เท่านั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะอยากใช้จริงๆ! แต่เมื่อใช้แล้ว หากเกอดความผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร…
อันที่จริงแล้วแม้ว่าโอกาสเกิดจะน้อย แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้
“หลีมู่ แต่เจ้าลองคิดดูสิ!” ซูเหลียนอวิ้นคลำไปที่หน้าอกตัวเอง แล้วก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าตรงนี้มัน…แต่สุดท้ายแล้วพอเปลี่ยนชุดก็จะเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งขึ้นมา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คงจะดูหลอกตาอยู่ดีมิใช่หรือ”
ซูเหลียนอวิ้นเกิดความกังวลขึ้นมา สุดท้ายแล้วควรใช้ตอนนี้เลยดีหรือไม่ใช้ดี?
“คุณหนูเจ้าคะ เช่นนั้นลองให้บ่าวช่วยคุณหนูรัดให้เลยดีหรือไม่” หลีมู่ตัดสินใจแทนซูเหลียนอวิ้นเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะความรู้ใจซูเหลียนอวิ้นดีของหลีมู่ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นแสดงออกอย่างชัดเจนเพียงนี้แล้ว ต่อให้นางพยายามแนะนำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าจากการแนะนำของนางจะทำให้ซูเหลียนอวิ้นแอบไปทำจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นมิสู้ให้ตนช่วยจัดการให้นางให้เรียบร้อยไปเลยไม่ดีกว่าหรือ! ไม่ใช่ว่าพอตนไม่ทันได้สังเกตเห็น พอถึงเวลาก็ต้องคอยมานั่งกังวลอยู่ตลอดเวลา
กังวลว่านุ่นสองก้อนนั้น จะตกลงมาหรือไม่
“ดีมากหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ไม่เสียแรงที่เป็นสาวใช้คนสนิทของข้า เหนือความคาดหมายของข้ามากทีเดียว!”
หลีมู่ “……”
คุณหนูจะคิดอย่างไรก็ตามใจเถิด หากคิดจะทำอะไรก็ขอให้อยู่ในสายตาของตนให้ตนได้รับรู้ด้วยก็พอ
ใช้เวลาไม่นานนัก ซูเหลียนอวิ้นใช้มือของตนจับไปที่ก้อนสองก้อนที่โผล่ออกมาแล้วพยักหน้าอย่างพออกพอใจ “หลีมู่ฝีมือของเจ้าเยี่ยมมาก ดูไม่ออกเลยแถมยังทำได้แน่นหนามากทีเดียว” ความนุ่มนิ่มนี้เวลาใช้มือสัมผัสถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว!
“คุณหนู!” หลีมู่รีบดึงมือสองข้างนั้นที่กำลังจับเล่นลง “ขืนคุณหนูมัวแต่จับอยู่ หากมันคลายออกมาจะทำอย่างไร! และหากในช่วงงานพิธีมันร่วงลงมาคุณหนูจะทำอย่างไรเล่า!”
“อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ พร้อมก้มหน้ารับความผิด เพราะนี่เป็นปัญหาที่สำคัญมากจริงๆ นางจะไม่จับเล่นอีกแล้ว!
…
“เหลียนอวิ้น!” เสียงหวานๆ ตะโกนเรียกขึ้นจากด้านนอกประตู
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงเรียกจากด้านหน้าประตูก็รีบกลืนข้าวต้มคำนั้นลงไปแล้วตอบรับว่า “เหวินเสี่ยว? ทำไมเจ้ามาเร็วจัง?”
แม้ว่าวันนี้หลินเหวินเสี่ยวจะเป็นเพื่อนช่วยดำเนินพิธี แต่ก็ยังถือว่ามาเช้ามากอยู่ดี นางมาเช้ากว่าเวลาที่นัดไว้ถึงหนึ่งชั่วยาม
“ข้าอยู่ที่จวนก็ไม่มีอะไรให้ทำ มิสู้มาอยู่กับเจ้าที่นี่จะดีกว่าจะได้รีบซึมซับบรรยากาศเอาไว้ก่อน เพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของข้าที่เป็นเพื่อนช่วยดำเนินพิธีในงานปักปิ่น ความรู้สึกของข้าก็ต้องตื่นเต้นอยู่บ้าง” หลินเหวินเสี่ยวหัวเราะคิกคัก ทว่าอีกครู่หนึ่งถัดมา นางก็หัวเราะไม่ออก
หลินเหวินเสี่ยวมองไปยังบริเวณหน้าอกของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “เหลียนอวิ้น เดือนนี้เจ้ากินอะไรเข้าไปน่ะ! ตรงนี้ของเจ้า…ใหญ่ขึ้นมากไปหน่อยหรือไม่?”
เมื่อเดือนก่อนยังแบนราบอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้นูนขึ้นมามากขนาดนี้!
หลินเหวินเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะใช้มือของตนลองจิ้มสำรวจดู “นี่เป็นของจริงหรือ?”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังมือที่กำลังจิ้มอยู่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรดี เพราะมันคือของปลอม ความรู้สึกจริงๆ…ร่างกายของนางมิอาจรับรู้ได้ แต่…
เพื่อให้สมจริงมากที่สุด ซูเหลียนอวิ้นจึงวางชามกระเบื้องในมือของตนลง แล้วนำสองมือกอดหน้าอกตัวเองไว้ จากนั้นจึงเอนกายไปด้านหลังด้วยท่าทางขวยเขิน
“เหวินเสี่ยว! ทำไมเจ้าถึง!”
“เอ๊ะ? ขอโทษๆ” หลินเหวินเสี่ยวรีบดึงมือกลับมาไว้ด้านหลัง “ข้าแค่แปลกใจมากไปเท่านั้น เหลียนอวิ้นเจ้าอย่าถือสาข้าเลย…”
——
[1] ชุดถงจื่อฝู คือชุดจีนโบราณที่ใช้สวมใส่สำหรับเด็ก