ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 107 มอบกระบี่
“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะตำหนิพ่อข้าหรือไม่ก็ด่าทอองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเสียอีก” หนานกงมู่เสวี่ยไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยาของซูเหลียนอวิ้นมากเท่าใดนักจึงเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ นี่มันยามใดแล้ว แขกคงมากันเยอะแล้ว อีกอย่างนึงเจ้าควรขอบคุณข้านะที่ลากเจ้ามาหลบในที่สงบๆ แบบนี้”
ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินช้าๆ ตามหลังหนานกงมู่เสวี่ยไปเงียบๆ
เพราะความคิดของนางตอนนี้ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนกับเหิงชินอ๋องอยู่
คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยว่าเหิงชินอ๋องนั้นน่ารังเกียจ แต่ยึดมั่นในความรัก? เพราะหากดูจากมุมมองภายนอกแล้ว องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นเหตุให้เขาหย่าจากอนุภรรยาทั้งหมด แต่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หากเปรียบเทียบกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว ต้วนเฉินเซวียนยิ่งเป็นตัวน่ารังเกียจกว่า!
เหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพียงเพราะสำหรับซูเหลียนอวิ้น เหิงชินอ๋องแต่งงานแล้ว แต่ต้วนเฉินเซวียนในชาติที่แล้วยังไม่ได้แต่งงาน
ถ้าไม่ชอบนางก็แต่งงานกับคนอื่นไปซะ ทำไมจะต้องปล่อยตำแหน่งนั้นให้ว่างไว้ด้วย? จะเก็บไว้ให้ใครหรือ?
ทุกครั้งที่ซูเหลียนอวิ้นถามต้วนเฉินเซวียน เขาก็จะตอบแบบขอไปทีหรือไม่ก็หาเรื่องโมโหใส่ สรุปก็คือเขาไม่ยอมบอกว่าทำไมถึงไม่ยอมแต่งงาน แถมยังชอบพูดตัดบทอีกว่าตัวเองไม่มีคนในดวงใจอย่างแน่นอน เขาแค่ไม่อยากแต่งงานเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด
แต่หากตอนนั้นต้วนเฉินเซวียนได้แต่งงาน ซูเหลียนอวิ้นสาบานว่า แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วนางจะรักเขาจนยอมตายแทนได้ แต่หากถึงเวลานั้นเข้าจริง นางคงตะลึงจนอ้าปากค้างและยอมวางมือจากเขาไปในที่สุด
เพราะตัวนางเองก็มีเกียรติ นางยอมเป็นฮูหยินของตระกูลยากจน แต่ไม่ยอมเป็นอนุของตระกูลร่ำรวย การที่ต้วนเฉินเซวียนไม่ยอมแต่งงานเสียทียิ่งทำให้นางมีพลังไม่จบไม่สิ้น ทนการกระทำของเขาได้ทุกอย่าง
พอนึกถึงต้วนเฉินเซวียนเข้า อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มไม่ดีขึ้นมาอีก
วันนี้อันเพ่ยอิงเชิญคนจากจวนจิ้งอันโหวมาเป็นแขกด้วยเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำสิ่งที่ช่วยรักษาหน้ารักษาตาของตนไว้ก่อน ส่วนเขาจะมาหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของเขา แต่เรื่องเชิญหรือไม่เชิญนั้น กลับเป็นเรื่องของพวกตนที่ต้องจัดการ
จวนจิ้งอันโหว…ซูเหลียนอวิ้นอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้ วันนี้คงไม่มาด้วยกระมัง? เพราะในชาติที่แล้ว จวนจิ้งโหวอย่าว่าแต่ไม่ส่งคนมาเลย แม้แต่ของขวัญสักชิ้นเดียวก็ไม่มี!
“อวิ้นเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงรอแล้วรอเล่าจนเห็นซูเหลียนอวิ้นปรากฏตัวขึ้น ตอนนั้นตนคิดอยากจะตำหนินาง แต่เมื่อเห็นหนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้านข้างด้วย คำพูดเหล่านั้นจำต้องกล้ำกลืนลงไปแล้วเปลี่ยนคำพูดเป็น “พวกเรารอเจ้าอยู่ ตอนนี้พวกเราเริ่มกันได้แล้ว”
พิธีปักปิ่นเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เพลงพิธีเริ่มดังขึ้น
หวีผมปักปิ่น ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อในงาน
การวางตัวของซูเหลียนอวิ้นในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นในด้านงานพิธีหรือว่าการแสดงออกทางอารมณ์ล้วนไม่มีที่ติ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือหลินเหวินเสี่ยวและหนานกงมู่เสวี่ย ทำให้พิธีปักปิ่นวันนี้จัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้ายจึงเข้าสู่ช่วงรินสุราให้แขก ซึ่งถือเป็นช่วงท้ายของงาน ซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินไปยังส่วนจัดงานเลี้ยงเพื่อเตรียมตัวจะรินสุราให้กับบรรดาผู้อาวุโสทุกคน
“ท่านหญิงผู้นี้คือฮูหยินโหว นามเดิมว่าจางชื่อ จากจวนจิ้งอันโหว” ผู้เชิญแขกเอ่ยแนะนำ
มือของซูเหลียนอวิ้นที่กำลังรินสุราอยู่นั้นเริ่มสั่นไหว นางฟังผิดไปหรือไม่? จวนจิ้งอันโหว?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง หากนี่ไม่ใช่มารดาของต้วนเฉินเซวียนแล้วจะเป็นใครกัน! พอกวาดตามองไปอีกรอบหนึ่งจึงเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนก็นั่งอยู่ด้านหลังของนางด้วย
ขณะที่นางกำลังเงยหน้าขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น ซูเหลียนอวิ้นก็สบตาเข้ากับต้วนเฉินเซวียนอย่างจัง
ซูเหลียนอวิ้นหลบเลี่ยงสายตานั้นด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงก้มหน้าลงแล้วไม่หันไปมองอีก แต่พอคิดทบทวนดูแล้ว นี่มันไม่ถูก? นางไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมต้องประหม่าเช่นนี้ด้วย พอคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกผ่อนคลายลงแล้วรินสุราให้กับคนด้านหลังต่อไป มือที่สั่นไหวเมื่อครู่ก็ดูคล้ายเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
อันที่จริงต้วนเฉินเซวียนไม่อยากมางานนี้เลย งานนี้มันมีอะไรน่าสนใจตรงไหน? เขาถอนใจ
ทว่าจางชื่อมารดาแท้ๆ ของเขากลับบอกว่า ในเมื่อตระกูลแม่ทัพส่งจดหมายเชิญมาถึงพวกเราแล้ว พวกเราก็ควรจะไป! อีกอย่างอย่าคิดว่าแม่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ถือสาเอาความเจ้าแล้ว เจ้าจะยังไม่ไปอีกรึ…
คำพูดที่เหลือจากนี้ ไม่ต้องบรรยายก็รับรู้ได้ว่าน่ากลัวขนาดไหน
ต้วนเฉินเซวียนไม่ต่อปากต่อคำ เพราะอาจเป็นการขัดคำสั่งแม่ได้และสุดท้ายเขาจึงมาถึงที่นี่วันนี้ นอกจากเหตุผลที่ว่าการขัดคำสั่งแม่เป็นเรื่องยากแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก
เดิมทีเขาเบื่อจนแทบจะหลับไปอยู่แล้ว แต่บังเอิญช่วงที่เงยหน้าขึ้นมานั้นกลับเห็นมือสั่นไหวของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงอดรู้สึกตลกไม่ได้ ทำไมต้องประหม่าขนาดนั้นเชียว?
แต่พอเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นรินสุราให้กับฮูหยินคนอื่นๆ ต่อนั้นกลับรินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นที่สุด ตอนนั้นเขาจึงเริ่มเข้าใจว่านางไม่ได้ประหม่าจนมือสั่น แต่ที่นางมือสั่นนั้นเป็นเพราะว่านางเห็นตนมากกว่า?
เขาจะกินนางหรือ?! ทำไมเห็นหน้าเขาแล้วต้องกลัวถึงขั้นนั้น? เป็นอย่างนี้แล้วยังอยากจะได้กระบี่อีกหรือแถมยังอยากได้กระบี่ชั้นยอดอีก? จะถือไว้รึ
ต้วนเฉินเซวียนแอบคิดในใจว่าที่เขาตัดสินใจไม่มอบกระบี่เล่มนั้นให้นางถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นแล้วคงเป็นการให้ที่เสียเปล่า!
“นายท่านขอรับ นายท่าน!” เมื่อหลิวจือเห็นสายตาเจ้านายตัวเองไม่ละออกจากซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้นก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เขาคิดว่าอีกประเดี๋ยวเขาคงได้รับการตบรางวัลอย่างแน่นอน เพราะเมื่อดูเหตุการณ์จากตรงนี้ สิ่งที่ตนเดาไว้นั้นคงไม่ผิดแน่
“มีเรื่องอะไร?” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“นายท่าน วันนี้ตอนที่นายท่านออกจากจวนมาลืมของอะไรไว้หรือไม่?”
“ลืมอะไร?” ต้วนเฉินเซวียนสับสน “ของอะไรหรือ?”
“ก็กระบี่เล่มนั้นที่ท่านนำกลับมาที่จวนไงขอรับ! นายท่านต้องการมอบให้คุณหนูซูใช่หรือไม่? เหตุใดนายท่านถึงลืมนำติดตัวมาได้!” หลิวจือส่ายศีรษะอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ข้าเปล่า…”
“แต่นายท่านไม่ต้องกังวล!” หลิวจือเอ่ยแทรกต้วนเฉินเซวียนขึ้น “บ่าวนำมันมาด้วย! แถมยังช่วยท่านมอบให้นางไปเรียบร้อยแล้วด้วย! เป็นอย่างไรเล่า เรื่องนี้บ่าวทำได้ดีมากเลยใช่หรือไม่?” เมื่อหลิวจือเอ่ยจบก็เชิดหน้าอย่างพออกพอใจ
นายท่านประมาทเกินไปซ้ำยังหน้าบางขี้อายอีกด้วย จะมอบของให้สตรีก็มอบสิ ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดเสียที่ไหน ในเมื่อลงแรงไปถึงเพียงนี้แล้ว? นายท่านเข้าใจยากเสียจริง แต่ว่าไม่เป็นไรเพราะมีบ่าวที่รู้ใจเช่นเขา รับประกันได้เลยว่าถึงตอนนั้นนายท่านจะ…
“นาย นายท่าน?” หลิวจือจ้องมองต้วนเฉินเซวียนที่ตอนนี้หน้าหมองคล้ำจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน “นายท่านข้าไม่ได้ตั้งใจจะเอาหน้านะขอรับ! จริงๆ” ทำไมเหตุการณ์ถึงไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้เลย? อ้อ เขารู้แล้ว นายท่านคงอายมากจนโมโห! ปากมาก ต้องโทษตัวเองที่ปากมาก!
“เจ้าบอกว่า เจ้านำกระบี่เล่มนั้นมอบให้นางไปแล้ว?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันแล้วจ้องไปยังหลิวจือ “ใครให้เจ้าทำแบบนี้!”
“นายท่านไม่ได้ตั้งใจจะมอบกระบี่เล่มนั้นให้คุณหนูซูหรอกหรือ?” สีหน้าของหลิวจือเริ่มฉายแววแห่งความกังวล “เช่นนั้นนายท่านจะให้ใครกัน? มองผ่านแวบแรกก็รู้แล้วว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นของสตรี อีกอย่างช่วงนี้ก็มีเพียงคุณหนูซูนางเดียวที่ต้องการของขวัญ เพราะคนอื่นๆ ในช่วงนี้ก็ไม่มีใครต้องการแล้ว?”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนเสียงแข็ง ตอนนั้นเขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะโต้ตอบหลิวจือไปว่าอย่างไรดี