ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 108 บทเสริม
ในวันหนึ่งขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังเดินทางอยู่นั้นได้พบกับไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง คงเป็นเพราะเมื่อวานมีลมพัดแรงจึงเป็นเหตุให้ใต้ต้นไม้มีกิ่งไม้มากมายร่วงหล่น กิ่งไม้เหล่านั้นร่วงลงมากองระเกะระกะอยู่บนพื้น
ต้วนเฉินเซวียนหยุดฝีเท้าลงแล้วเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาจากบนพื้น เขาหยิบขึ้นมาสำรวจดูจึงสังเกตเห็นว่ากิ่งไม้เหล่านี้คือต้นดอกสาลี่
“ต้นดอกสาลี่…” เขารำพึงกับตัวเอง
ต้นดอกสาลี่เป็นต้นไม้ที่เก็บความทรงจำเอาไว้มากมาย เมื่อก้มหน้าลง เขาก็ย้อนกลับเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำ
เมื่อกล่าวถึงครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนพบหน้าซูเหลียนอวิ้นเป็นครั้งแรก เขากำลังคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เขาอายุได้เก้าขวบ
ในปีนั้นเขาเพิ่งจะเป็นลูกศิษย์ของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นได้ไม่นาน การบำเพ็ญเพียรบนภูเขานั้นลำบากยากแค้น สิ่งที่เขาต้องทำทุกวันไม่มีอะไรวนเวียนอยู่กับการท่องตำรา ฝึกวรยุทธ์ ท่องตำราและก็ฝึกวรยุทธ์ รวมถึงการต้องช่วยอาจารย์ทำธุระต่างๆ อีกด้วย
วันหนึ่ง ขณะที่เขาช่วยอาจารย์ลงเขาเพื่อไปซื้อเสบียงอาหารประจำวัน เขาก็บังเอิญได้ยินเข้ากับข่าวลือบางอย่าง
“ได้ข่าวรึยัง? งานเทศกาลโคมไฟครั้งนี้จะมีการตัดสินโคมไฟที่สวยที่สุด! เฮ้อ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเกียรตินั้น เพราะผู้ชนะอันดับหนึ่งได้ยินว่าจะได้เงินรางวัลถึงหนึ่งร้อยตำลึงเชียวนะ! พระเจ้าเงินตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเชียวนะ ข้าใช้พอไปตลอดชีวิตเลยเชียว”
“คนหน้าเงิน!” เมื่อคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็ถ่มน้ำลายออกมา “เงินหนึ่งร้อยตำลึงมันจะมีค่าอะไร! ได้ยินว่าการเลือกโคมไฟครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเลือกให้องค์หญิงในวังหลวงนางนั้น! หากองค์หญิงชื่นชอบ จะไปนับประสาอะไรก็เงินแค่หนึ่งร้อยตำลึง?”
“องค์หญิง? องค์หญิงคนไหน?” คนเมื่อครู่ที่อุทานถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงเอ่ยปากถาม “งานใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? สุรุ่ยสุร่ายโดยแท้”
“จะมีองค์หญิงคนไหนได้อีกเล่า! ก็คนนั้นไง…” ผู้ที่กำลังเอ่ยปากกวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีสายตาของผู้ใดสนใจมาทางนี้ ก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ก็คนนั้นไง องค์หญิงกินสามีที่เขาลือกัน! องค์หญิงหย่วนเนี่ยน!”
“ทำไมถึงเป็นนางไปได้? หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับคนทั่วไป คงจะไม่…ทำไมองค์หญิงผู้นี้ถึงได้เปิดเผยเช่นนี้?”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้เชียว! นั่นไม่ใช่ความต้องการขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน!” คนผู้นั้นกระซิบกระซาบ เมื่อได้ยินคนใส่ร้ายองค์หญิงหย่วนเนี่ยน เขาจึงทนไม่ไหวและแย้งออกไป “องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเพียงแค่พูดลอยๆ เท่านั้น แต่ใครเลยจะคิดว่าจะมีคนเก็บเอาไปใส่ใจ เดิมทีคนผู้นั้นบอกว่าจะนำโคมไฟมามอบให้องค์หญิง แต่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนคิดว่าไม่ควรเอามาโดยไม่ตอบแทน นั่นจึงเป็นที่มาของเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เจ้าเอ่ยถึงในตอนแรก!”
“เช่นนั้นคนผู้นั้นคือ…ฮ่องเต้ของพวกเราหรือ?” คนผู้นี้ครุ่นคิด เนื่องจากองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปราณมากองค์หนึ่ง เรื่องที่ลี่หยวนตี้ทะนุถนอมน้องสาวผู้นี้มากเป็นเรื่องราวที่คนในแถบเหนือต่างรู้กันทั่ว
“ไม่ใช่ แต่เป็นเหิงชินอ๋อง!”
“เหิงชินอ๋อง? ทำไมถึงเป็นคนผู้นี้ได้? เขากับองค์หญิงหยวนเนี่ยน…มีความรู้สึกลึกซึ้งกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ไม่รู้ แต่เขาว่ากันว่าทำไปเพื่อเอาใจฮ่องเต้ เรื่องของพระราชวงศ์ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ ช่างเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปทำงานอีก เสียเวลากับเจ้ามามากพอแล้ว”
ต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยฟังการสาธยายเรื่องราวนั้นอย่างตั้งใจ เหิงชินอ๋อง? องค์หญิงหย่วนเนี่ยน?
เหิงชินอ๋องผู้นี้คล้ายว่าจะเป็นบิดาของศิษย์พี่หญิงนี่นา แต่ทำไมถึงเกี่ยวพันกับองค์หญิงอีกคนหนึ่งได้? ไม่ว่าจะอย่างไรต้วนเฉินเซวียนเป็นคนหนึ่งที่เข้าออกวังหลวงบ่อย ด้วยเหตุนี้เหิงชินอ๋อง…ถือได้ว่าเป็นคนที่เขารังเกียจมากคนหนึ่ง
แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับหนานกงมู่เสวี่ย เขาจึงไม่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนได้
“นี่ พี่ชาย เจ้ายืนอยู่ตรงหน้าร้านข้านมนามขนาดนี้ สรุปเจ้าจะซื้อของร้านข้าหรือไม่!” เจ้าของร้านเอ่ยปากเร่ง
เนื่องจากในตอนแรกเขาเห็นว่าเด็กผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจึงไม่อยากที่จะเอ่ยปากเร่ง แต่ตอนนี้เด็กคนนี้ยืนอยู่หน้าร้านเขามานานมากแล้ว สุดท้ายแล้วจะอุดหนุนร้านเขาบ้างหรือไม่?
อย่าบอกนะว่าไม่ได้พกเงินมาด้วย! ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองเท่านั้น แต่ไม่มีปัญญาซื้อ
แม้ว่าเจ้าจะน่ารักก็จริง แต่หากจะซื้อของก็จำเป็นต้องจ่านเงิน!
“อ้อ ซื้อสิ!” ต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยเอามือควักเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบเศษสตางค์ออกมา “ข้าจะเอาอันนี้ อันนี้และก็อันนี้ด้วย! เงินเท่านี้คงพอกระมัง?”
เดิมทีเจ้าของร้านผู้นี้คิดว่าต้วนเฉินเซวียนไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียวเลยครุ่นคิดอยู่นานว่าจะไล่เขาไปอย่างไรดี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะหยิบเศษเงินออกมาเป็นจำนวนมากจนทำให้เขาต้องตกตะลึงและตาพร่าไปหมด
“ได้ๆๆ คุณชายน้อยรอประเดี๋ยว ข้าจะเลือกของดีๆ ให้ท่านเลย ท่านถือกลับไปดีๆ นะ”
“อื้ม” ต้วนเฉินเซียนเท้าสะเอว แล้วใช้สายตาดูถูกมองไปยังเจ้าของร้านที่เพิ่งแสดงท่าทีดูถูกเขาอยู่เมื่อครู่ แต่พอตอนนี้เป็นเพราะว่าตนหยิบเศษเงินออกมา เจ้าของร้านผู้นี้จึงยอมก้มหัวให้ตนเช่นนี้
ตอนนั้นเองจึงนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาที่คนสองคนนั้นคุยกันเมื่อครู่ เงินเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น ทำอย่างกับเป็นเรื่องอะไร พวกหิวเงินแท้ๆ!
“คุณชายน้อยเดินระวังด้วย”
ต้วนเฉินเซวียนรับของมา จากนั้นจึงเดินช้าขึ้นเขากลับไป เทศกาลโคมไฟหรือ? ฟังดูน่าสนุกดีเช่นกัน เพราะตอนนี้ตัวเขาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน
…
“คนนี้แหละ คนนี้แหละ! ครั้งที่แล้วตอนที่มาซื้ออาหารที่ร้านข้านำเงินติดตัวมาตั้งมากมาย!” เวลานี้เจ้าของร้านอาหารคนนั้นชี้ไปที่ต้วนเฉินเซวียนอย่างสั่นเทา “ทุกท่าน ตัวข้าน้อยไม่มีเงินเลย! หากท่านต้องการเงินจริงๆ ไม่สู้ไปลองค้นตัวเขาจะดีกว่าหรือ!”
สายตาระแวดระวังของต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยจ้องไปยังชายฉกรรจ์ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ กลางฝ่ามือของเขาจึงมีเหงื่อเคลือบเอาไว้เป็นชั้นบางๆ จะว่าไปแล้วในตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุเก้าขวบ เป็นเด็กน้อยที่มีวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่คนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำทั้งสิ้น
“เจ้าเด็กน้อย หากเจ้ารู้ความก็รีบส่งเงินออกมาซะ!” ผู้ที่กำลังเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงคุกคามนี้เตะเข้าที่ท้องของต้วนเฉินเซวียน
“ข้า ข้าไม่มีเงิน” ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้กำลังพูดปด ครั้งนี้เขาไม่ได้พกเงินมาจริงๆ สาเหตุเป็นเพราะว่าเขาแอบหนีออกมา เขาจึงต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดชาวบ้านเรียบง่ายไร้รสนิยมทั่วไป ด้านในชุดจึงไม่มีเงินแอบเอาไว้ด้านใน แน่นอนว่าเขาเพิ่งค้นพบตอนที่เขาตัดสินใจจะซื้อโคมไฟ
“ไม่มีเงิน?” ชายอีกคนหนึ่งโมโหขึ้นด้วยคำพูดของต้วนเฉินเซวียน “เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่กันหมดเลยหรือไง? ไม่มีเงิน? ข้าอยากดูว่าเจ้าจะไม่มีเงินยังไง!” ระหว่างที่พูดไปนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าของต้วนเฉินเซวียนเพื่อค้นตัวไปด้วย
“เจ้าหน้าที่ทางการมาตรวจถนน! ทุกท่านโปรดหลีกทางด้วย!” ไม่รู้ว่าเสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นนี้ต้นเสียงมาจากที่ใด
“เจ้าหน้าที่ทางการมารึ? ทำอย่างไรดี?” ชายผู้นั้นทีกำลังจะฉีกเสื้อผ้าออกพลันหยุดมือแล้วหันหลังไปมองด้านหลังด้วยความกังวล
“ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าก็แล้วกัน!” หัวหน้ากลุ่มทำเสียงอาฆาต “พวกเรารีบไปกันเถิด!”
เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว เจ้าของร้านที่นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพงก็ปีนออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณชายน้อย ท่าน ท่านอย่าโทษข้านะ! ข้าไม่สามารถห้ามตัวเองได้! คุณชายน้อยดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน!” เมื่อพูดจบก็รีบปีนออกมาและจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวมามองต้วนเฉินเซวียนอีก
ต้วนเฉินเซวียนหายใจแรงด้วยความสับสน เขากำลังพยายามข่มความเจ็บปวดนั้นให้หายไป เพราะเมื่อครู่เขาไม่ได้เพียงโดนเตะเพียงครั้งเดียว บนใบหน้ายังโดนต่อยปากไปอีกหลายที
“เจ้า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ครู่หนึ่ง ศรีษะของเด็กสาวคนหนึ่งก็โผล่ออกมาตรงหัวมุมถนน “ข้า…เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเขา…ไม่ถือว่าข้าตะโกนเรียกช้าไปใช่ไหม? เจ้า เจ้าลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”
ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตาบวมๆ ของเขาเพื่อมองไปยังหญิงสาวที่กำลังแสดงความกังวลอย่างมากตรงหน้าเขา เมื่อครู่เสียงตะโกนว่าเจ้าหน้าที่ทางการมา คือเสียงนางหรือ? หากเป็นเช่นนี้…คงต้องขอบคุณนางมาก
“ข้าไม่เป็นไร..แค่กๆ” พอเขาเริ่มพูดก็ส่งผลกระทบไปยังปอดของเขา ต้วนเฉินเซวียนน้อยจึงขมวดคิ้ว เนื่องจากรสชาติความเจ็บปวดที่เขากำลังสัมผัสอยู่นี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบทั่วๆ ไป
เขาถูกเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเอาไว้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ด้านที่น่าอับอายของเขาถูกเปิดเผยต่อสายตาคนอื่น…ความรู้สึกนี้ทรมานเสียยิ่งกว่าโดนทำร้ายร่างกายด้วยซ้ำ
“มา ข้าจะช่วยประคองเจ้า” เด็กหญิงกำลังจะยื่นมือออกมาเพื่อพยุงต้วนเฉินเซวียนให้ลุกขึ้น แต่เนื่องจากตัวนางเองมีแรงเพียงน้อยนิด แถมยังต้องคอยกังวลว่าการเคลื่อนไหวของตนเองจะกระทบกับบาดแผลของต้วนเฉินเซวียนหรือไม่ ดังนั้นจึงพยายามอยู่หลายครั้งจนเริ่มถอดใจในที่สุด
“ข้าลุกเองได้! เจ้าไม่ต้องพยุงข้า!” ต้วนเฉินเซวียนรีบเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเท้ากำแพงไว้แล้วยืนขึ้นมาได้ในที่สุด
“ก็ดี พวกเรารีบไปที่ร้านยากันเถอะ!”
“ตกลง…” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า เขาต้องไปจริงๆ แล้ว หากยังไม่ไป เขาเกรงว่าตัวเองอาจตายได้
“เจ้าชื่ออะไร? บ่าวรับใช้ของเจ้าล่ะ? พวกเจ้าพลัดหลงกันหรือ?” ด้วยเพราะต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงเดินกันอย่างเชื่องช้า ระหว่างทางบรรยากาศจึงเงียบงันชวนอึดอัด ต้วนเฉินเซวียนจึงอยากหาหัวข้อพูดคุย
“อืม ข้าชื่อว่า…ไม่ได้ ท่าแม่ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าอยู่นอกบ้านห้ามบอกชื่อตัวเองแก่คนแปลกหน้า ส่วนบ่าวรับใช้และองครักษ์ของข้า…ข้ากับพวกเราคงพลัดหลงกันแล้วจริงๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของซูเหลียนอวิ้นน้อยเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ “ข้าเพียงดูโคมไฟอยู่ครู่เดียวเท่านั้น แต่ตอนที่ข้าหันตัวกลับมาก็พบว่าด้านหลังข้าไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว”
“ดังนั้นเจ้าจึงแอบอยู่ตรงนั้น?”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นน้อยพยักหน้า “แต่พี่ชายรู้ได้อย่างไรว่าข้าพลัดหลงกับบ่าวรับใช้? และชื่อของเจ้าคืออะไร?”
ต้วนเฉินเซวียนเหล่ตามอง เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบ แต่ในตอนนั้นเขาก็เห็นเงาของตัวเองกลับด้านอยู่ในดวงตาของซูเหลียนอวิ้นน้อย หน้าตาฟกช้ำดำเขียว ใบหน้าและเส้นผมเต็มไปด้วยฝุ่น สภาพย่ำแย่อย่างยิ่ง! นี่คือสภาพที่แท้จริงของเขาในตอนนี้!
“ข้า…คุณหนูของข้าก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าเช่นกัน แถมยังชอบใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันแบบนี้ด้วย ดังนั้นพอข้าเห็นเสื้อผ้าชุดนี้จึงเดาออก ส่วนตัวเจ้ายังไม่ยอมบอกชื่อของเจ้ากับข้าเลยแล้วข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร?” ต้วนเฉินเซวียนพยายามหลบสายตาของซูเหลียนอวิ้นด้วยการก้มหน้า
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ แม้ว่าร่างกายของนางจะเปื้อนดินเช่นกัน แต่สำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกอับอายและหัวเสีย เขาหัวเสียที่ตัวเองตอนอยู่บนเขาไม่รู้จักตั้งใจเรียนวิชากับท่านอาจารย์ให้ดีตั้งแต่แรก เพราะหากเขาตั้งใจเรียน วันนี้ภาพที่จะปรากฏแก่สายตาของเด็กหญิงผู้นี้คงจะเป็นอีกด้านของตนที่แตกต่างออกไป?
ภาพของความองอาจดุดันจนสามารถล้มชายร่างสูงใหญ่พวกนั้นได้ ความสง่าผ่าเผยที่จะปรากฏออกมาของเขา ไม่ใช่ภาพเช่นในตอนนี้ที่โดนผู้อื่นรุมทำร้ายจนพูดจาแทบไม่เป็นภาษาแบบนี้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเหลียนอวิ้นน้อยยิ้ม “ถึงโรงหมอแล้ว รีบเข้าไปเถอะ”
“อ้อจริงสิ เจ้าไม่ได้พกเงินมานี่นา!” ซูเหลียนอวิ้นน้อยนึกปัญหานี้ขึ้นมาได้จึงเอามือไปสัมผัสบริเวณผมตัวเองแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาส่งให้ต้วนเฉินเซวียนพร้อมเอ่ยว่า “เอาอันนี้ไปก็แล้วกัน สิ่งนี้คงมีมูลค่าไม่น้อย”
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!” เสียงเรียกที่ซูเหลียนอวิ้นคุ้นเคยแว่วขึ้นมาไกลๆ
“เอ่อ คนที่บ้านมาตามหาข้าแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นรีบยัดปิ่นปักผมใส่มือของต้วนเฉินเซวียน “ลาก่อน”
“เจ้ารอเดี๋ยว!” ต้วนเฉินเซวียนดึงแขนเสื้อของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ “ในเมื่อข้าเอาของของเจ้ามา ดังนั้นข้าต้องตอบแทนสิ่งของแก่เจ้าบ้าง” ต้วนเฉินเซวียนค้นตามตัวของตัวเอง แต่ก็พบว่าวันนี้ตอนออกจากเรือนเขาไม่ได้พกอะไรออกมาเลย! แต่เมื่อเขาก้มหน้าลงก็พบว่าบนพื้นมีกิ่งไม้ร่วงอยู่สองสามก้าน
เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งก้านแล้วยื่นออกไปด้านหน้า “อันนี้ข้าให้เจ้า! ปิ่นปักผมของเจ้าเป็นรูปดอกสาลี่ ข้าจึงขอมอบกิ่งดอกสาลี่ให้เจ้า ข้ารู้ดีว่าของทั้งสองสิ่งนี้มิอาจทดแทนกันได้ แต่เจ้ารอข้าก่อน ในวันหน้าข้าจะต้องคืนปิ่นปักผมดอกสาลี่ที่ดีกว่าอันนี้ให้เจ้า!”
ซูเหลียนอวิ้นมองต้วนเฉินเซวียนที่ถือกิ่งดอกสาลี่อยู่กิ่งหนึ่ง แถมยังพูดจาไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา ตอนนั้นเองนางจึงรู้สึกว่าน่าขันยิ่ง “ตกลง ข้าจะนำมันกลับไปปลูก วันหน้าค่อยเจอกันใหม่”
“ลาก่อน…” ต้วนเฉินเซวียนโบกมือลา พลางเหม่อมองซูเหลียนอวิ้นเดินจากไปพลางโดนบิดามารดาของตัวเองตำหนิ
หากได้พบกันใหม่ เจ้าจะต้องเห็นข้าในอีกด้านที่ต่างไปจากตอนนี้!
แปดปีต่อมา ในงานเลี้ยงของวังหลวง
“พระเจ้า นั่นใช่คุณชายต้วนหรือไม่? หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก”
“อยู่ไหนๆ? ข้าขอดูบ้าง!”
“โธ่ อยู่ตรงนั้นไง เจ้าอย่าเบียดข้าสิ!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงซุบซิบของคนรอบข้างจึงหันหน้ามองตามไปยังต้นเสียงนั้น เขาเป็นคนที่…หน้าตาหล่อเหลามาก…
“คุณชายต้วน!” ซูเหลียนอวิ้นวิ่งเหยาะๆ ตามคนด้านหน้าผู้ที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วอยู่ตอนนั้นไป เมื่อเดินไปถึงข้างหน้าเขาก็เอ่ยว่า “คุณชายต้วน ท่าน ท่านหน้าตางดงามมาก ข้าเลย ข้าเลยรู้สึกว่าชอบท่าน…”
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว คนผู้นี้คือใครกัน? ใจกล้าขนาดนี้เลยหรือ? สารภาพรักต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้?
“คุณหนูคนนี้…เจ้าคือ…” เนื่องจากรอบด้านยังมีคนจำนวนไม่มากจ้องมองอยู่แถมยังอยู่ในวังหลวงอีกด้วย ต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าระงับอารมณ์ของตนไว้หน่อยจะดีกว่าจึงถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“ข้า ข้าคือธิดาของแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวน นามของข้าคือซูเหลียนอวิ้น”
“ซูเหลียนอวิ้น…?” ในหัวของต้วนเฉินเซวียนพลันปรากฏภาพของเด็กหญิงคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน เพราะหากดูจากหน้าตาเพียงอย่างเดียว พวกนางทั้งสองมีหลายส่วนที่คล้ายกันมาก
แต่พอต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวที่สายตาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความชื่นชมในตัวเขา เขาจึงส่ายหน้า ไม่ใช่ เขาคงคิดมากไปเองกระมัง
เด็กหญิงในอดีตตอนนั้นได้เห็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา นางจะชอบเขาได้อย่างไร? เวลาคงผ่านไปนานเกินไปจนทำให้เขาจำผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้สลับกับอีกคน
“อ้อ คุณหนูซูหรือ แต่ว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า หากคุณหนูซูไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าขอตัวลาก่อน” ต้วนเฉินเซวียนเดินอ้อมตัวซูเหลียนอวิ้นไป “ลาก่อน”
ซูเหลียนอวิ้นเมื่อโดนปฏิเสธอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำเอานางไปต่อไม่ถูก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางสารภาพรัก! แต่กลับโดนปฏิเสธโดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้? เฮ้อ แต่นางยังไม่ยอมแพ้! เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พบกัน ต่อไปหากคุ้นเคยกันบ้างแล้วจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่!