ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 109 เสียความมั่นใจ
“ข้าจะทำอะไร จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าด้วยรึ!” ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปเอากระบี่เล่มนั้นคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! หากเอากลับไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมา!”
หลิวจือ ?
“นายท่าน อย่าขี้งกไปเลยขอรับ! ก็แค่กระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างต่อให้เป็นกระบี่ชั้นยอด แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีมันไม่ได้กระมัง? แถมยังมอบให้เขาไปแล้ว มีเหตุผลอะไรให้เอากลับคืนมาเล่า?” หลิวจือยังคงเถียงต่อไป “อีกอย่าง ข้าถือเป็นคนของท่าน หากท่านให้ข้าไปนำมันกลับมา นั่นจะไม่ยิ่งชัดเจนหรือว่าของสิ่งนี้เป็นของท่าน”
นี่ก็จริง…ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า แต่ก็มิถูกอยู่ดี นี่มิใช่ความหมายที่เขาจะสื่อ! อีกอย่างเขาดูเป็นคนที่ยอมสละกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?
ทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนสัมผัสกระบี่เล่มนั้น เขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ไม่รุนแรงแต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และถึงอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็เป็นสตรีนางหนึ่ง แม้เขาจะไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่เคยคิดจะใช้เหตุผลนี้ทำร้ายนาง
ของมีปัญหาเช่นนั้น จะให้เขามอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะเอ่ยปากข่มขู่หลิวจือต่อ แต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากนั้นกลับมีอีกเสียงหนึ่งดึงดูดเขา
เป็นช่วงที่กำลังเตรียมจะประกาศว่าแขกเหรื่อแต่ละคนที่มางานวันนี้ได้มอบอะไรเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับพิธีปักปิ่น
เนื่องจากทุกคนย่อมอยากมีหน้ามีตา หากมีโอกาสให้แสดงออกย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสอย่างแน่นอน อีกทั้งการมอบของขวัญอย่างในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเอาใจจวนแม่ทัพแล้วยังจะทำให้ได้หน้าและมีชื่อเสียงในสังคมอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็เต็มใจจะทำทั้งนั้น
“นายท่าน!” เมื่อหลิวจือเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนจ้องไปยังผู้ประกาศรายชื่อของขวัญโดยไม่ละสายตา ตอนนั้นเขาก็คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยปากออกไปอย่างไม่กลัวตายว่า “นายท่านโปรดวางใจ ข้าพอเดาได้ว่าท่านไม่อยากแสดงตน ดังนั้นที่กระบี่เล่มนั้น ข้าจึงมิได้เขียนชื่อเอาไว้”
อืม พอได้ อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องที่พอทำให้เขาฟังแล้วสบายใจขึ้นมาบ้าง ต้วนเฉินเซวียนคิดในใจ
หากผู้อื่นรู้ว่าเขามอบของขวัญให้ซูเหลียนอวิ้นล่ะก็…จะไม่มีวันเกิดเรื่องนั้นขึ้นอย่างแน่นอน!
ผู้ร่วมงานต่างกำลังฟังการประกาศรายชื่อของขวัญแต่ละชื่อ แม้ว่าตอนแรกจะมีเสียงของผู้ฟังดังขึ้นเป็นระยะว่า ว้าว ของใครกัน ตระกูลไหนกัน เป็นอย่างไรบ้าง แต่พอเข้าสู่ช่วงหลังทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้า เนื่องจากทุกคนล้วนต้องเคยผ่านโลกกันมาบ้าง ของเหล่านี้ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะไปร่วมพิธีใดล้วนต้องมอบของประเภทนี้ให้กันทั้งนั้น
ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมอบภาพวาดธรรมชาติให้ตนทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นของที่ไม่เลวแต่พวกเราทุกคนล้วนดูกันจนเลี่ยน ทุกครั้งที่มีการจัดงานหากบ้านของเราล้วนมอบภาพวาดให้บ้านอื่นทุกครั้ง นั่นจะยังถือว่าเป็นการใช้โอกาสในการมอบของขวัญเพื่อเอาหน้าเอาตาได้อยู่หรือไม่?
และยังมีคนที่มาในงานอีกพวกหนึ่งที่มอบหมากล้อมให้เป็นของขวัญ แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการประลองหมากล้อมในงานฉลองวสันตฤดู แต่พวกเขาทุกคนไม่คิดเหมือนกันไปหน่อยหรือ?
ของขวัญจำพวกหมากล้อมและกระดานหมากล้อมจึงถูกประกาศขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
“หนานกงจวิ้นจู่มอบเครื่องประดับศีรษะไข่มุกสีม่วงหนึ่งชุด!” เมื่อผู้ประกาศรายการของขวัญอ่านจบก็รับของขวัญชิ้นนั้นมา ทว่าในช่วงที่กวาดตามองตอนรับของมานั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ
หนานกงจวิ้นจู่ใช้เงินมือเติบยิ่งนัก!
นี่เป็นความคิดในใจของทุกคนที่เริ่มมองเห็นของขวัญชิ้นนี้ชัดเจน
เนื่องจากอัญมณีสีม่วงถือว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก อีกทั้งเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ อัญมณีไม่เพียงแต่เม็ดเป้งเท่านั้น แต่ยังเป็นอัญมณีสีม่วงที่คุณภาพเยี่ยมอีกด้วย รวมถึงความครบชุดของเครื่องประดับศีรษะชิ้นนี้จึงนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง
สร้อยข้อมือ สร้อยคอ ตุ้มหู หรือแม้แต่สร้อยข้อเท้าก็ยังมี!
ไข่มุกสีม่วงแต่ละเม็ดของสร้อยคอกลมมนไร้ที่ติ เมื่อรวมกับสีของอัญมณีสีม่วงที่สุกใสก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นเครื่องประดับที่ราคาสูงยากจะเอื้อมถึง!
ในตอนนั้นสายตาของแขกเหรื่อในงานต่างมองหนานกงมู่เสวี่ยไม่เหมือนเดิมอีก เดิมทีต่างคิดว่าที่หนานกงจวิ้นจู่ยอมมาช่วยงานพิธีในวันนี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงของซูเหลียนอวิ้นมากแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ให้ด้วย?
หนานกงมู่เสวี่ยทำเป็นไม่สนใจต่อเหตุการณ์รอบตัวด้วยการก้มหน้าดื่มชาต่อไป ราวกับไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบด้านและไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว
เมื่อเห็นว่าหนานกงมู่เสวี่ยไม่สนใจพวกเขา แขกในงานจึงเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าสนใจอีก จึงเบนสายตาไปยังผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างซูเหลียนอวิ้นแทน
ไม่รู้ว่าไปโชคดีมาจากไหนกัน! ถึงได้รับความโปรดปราณจากหนานกงจวิ้นจู่เช่นนี้
แขกในงานต่างแอบคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่ยุติธรรม แต่กลับทำได้เพียงใช้สายตาสำรวจอยู่เงียบๆ เพื่อสังเกตว่าซูเหลียนอวิ้นมีตรงไหนต่างจากคนอื่น เมื่อกลับไปแล้วจะได้ให้ลูกสาวของตัวเองเอาอย่างบ้าง
ไม่แน่หากเอาอย่างนางได้ อาจจะมีโอกาสได้รับของขวัญจากองค์หญิงหรือจวิ้นจู่กับเขาบ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่มีข้อเสียอะไร
ซูเหลียนอวิ้นนั่งหลังตรงไม่ขยับเขยื้อน ต่อให้มีสายตาของผู้คนจับจ้องอยู่รอบด้าน นางก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมามอง ทำเอาคนที่จ้องมองนางมาตลอดต้องเกรงใจจนหันหน้าหนีไปแล้วไม่กล้าหันกลับมามองอีก
ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่าหากเปรียบซูเหลียนอวิ้นกับหนานกงมู่เสวี่ยที่เป็นเชื้อสายของพระราชวงศ์แล้ว ซูเหลียนอวิ้นถือว่าสงบนิ่งกว่ามากนัก!
เนื่องจากหนานกงมู่เสวี่ยในตอนนี้กำลังก้มหน้าดื่มชาอยู่เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้อื่น แต่ซูเหลียนอวิ้นไม่ใช่เพียงไม่ดื่มชา แต่ยังไม่ยอมก้มหน้าลงด้วยซ้ำ!
ต้วนเฉินเซวียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จ้องมองไปยังสายตารอบด้านที่จับจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
ทว่าต้วนเฉินเซวียนเพียงคิดว่า เขาเพียงไม่สบายใจแทนซูเหลียนอวิ้นเท่านั้น! คนตั้งมากมายจับจ้องไปที่นาง แต่นางกลับไม่แม้แต่จะกระพริบตา แต่ตอนที่เขาสบตาเข้ากับนางเพียงครู่เดียว นางกลับมือสั่นจนแทบจะลืมไปว่าการรินสุราต้องรินอย่างไร?
พอนำมาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง!
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจซูเหลียนอวิ้น แต่ในตอนนั้นสายตาทั้งคู่ของซูเหลียนอวิ้นกลับจ้องมองไปข้างหน้า โดยตัดสินใจว่าจะไม่หันไปมองทางอื่นอีก
ต้วนเฉินเซวียนมองอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกว่าน่าขันยิ่ง นี่ตัวเขากำลังทำอะไรอยู่? โมโหใส่ตัวเองอยู่หรือ? แต่เพราะการหันไปมองนางเมื่อครู่นี้จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
เอ๊ะ…? ทำไมถึงรู้สึกว่าซูเหลียนอวิ้นในวันนี้ต่างจากซูเหลียนอวิ้นในวันวาน
ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงจุดๆ หนึ่งบนตัวนาง
หน้าอกของซูเหลียนอวิ้น…
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว นางคงมิได้ยัดอะไรไว้ข้างในหรอกระมัง? เพราะครั้งก่อนตอนที่เขาเห็นนาง รูปร่างของนางเป็นอย่างไรเขายังคงจดจำอยู่ได้อย่างชัดเจน แม้จะไม่ถือว่าใหญ่มากนัก แต่ต้องไม่ใหญ่เท่านี้อย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ต้วนเฉินเซวียนจึงแน่ใจว่า ตรงนั้นของนาง ต้องเป็นของปลอมสักแปดถึงเก้าในสิบส่วน!
หากไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ว่าจุดประสงค์ในตอนแรกของซูเหลียนอวิ้นนั้นประสบความสำเร็จแล้ว เพราะนางทำให้ต้วนเฉินเซวียนตกตะลึงได้จริงๆ แต่อีกครู่ต่อมาปฏิกิริยาของต้วนเฉินเซวียนก็ทำเอานางเสียความมั่นใจ เพราะนี่เป็นสิ่งที่นางไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลย!